การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ส่วนคุณนี่แย่กว่า

    ไม่ได้อะไรเลย
    ได้แต่ความทรงจำ...
     
  2. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    จิตอยู่กับพุทโธ ด้วยความมีสติ
    ไม่เผลอไม่คอยกังวลกับเรื่องอื่น
    ก็เป็นปัจจุบันธรรม

    จิตพิจารณาเรื่องราวในอดีต
    เพื่อถอดถอนกิเลส
    ด้วยสติปัญญา ก็เป็นปัจจุบันธรรม

    หรือจะพิจารณาเรื่องอนาคตก็ได้
    ด้วยความมีสติปัญญากำกับ
    ก็เป็นปัจจุบันธรรมเช่นกัน
     
  3. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ก็ปัจจุบันธรรมของคุณ
    หมายถึงอย่างไร
    เราจะได้ตอบถูก..

    :boo:
     
  4. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    หมายถึงปัจจุบันนี่ล่ะครับ
    ความหมายไม่ได้อยู่กับกาลเวลา หรือสถานที่ใด ๆ

    เรามุ่งที่จุดไหน
    สติเราอยู่ที่นั่น
    นั่นคือปัจจุบันธรรม
     
  5. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ดึกแล้วทำไมวันนี้คุณเต้าเจี้ยวมีเวลาโพสต์ล่ะครับ
    ปกติตอนดึก ไม่ค่อยเห็นคุณเต้าเจี้ยวนี่ครับ
     
  6. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ปัจจุบันธรรมของเรา ก็คือรู้แจ้ง ในรูปในนาม หรือในกายในจิตนี้ นี่เอง
    ถ้าเหมือนกันนะ
    เราก็คิดแบบคุณ เตชพโล

    ต้องไปแล้ว
    อนุโมทนาค่ะ

    *
     
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    โอ.. โพสต์พร้อมกัน ไล่กัน
    ( เผอิญแวะไปที่อื่น.. เลยไม่เห็นโพสต์ก่อนทีคุณตอบ ..ชอบไปหลายที่)

    วันนี้ เน็ตเขาเร็วค่ะ

    ไม่งั้น คงไม่ได้มาตอบโต้กับใครเลย มันช้ามากๆ..
    ไปแล้วค่ะ

    *
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  8. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    "หวานเป็นลมขมเป็นยา" สุภาษิตนี้บวกกับความเห็นท่านเตช ผมตีความ
    หมายว่าการรับอารมณ์ทุกชนิด ไม่เลือกว่าเป็นกุศลหรืออกุศล

    .......แต่ไม่รู้เมื่อก่อน ใครกันน่ะที่เถียงคอเป็นเอ็นว่า ต้องให้จิตปราศจาก
    อกุศล ไม่เช่นนั้นคุกตะรางก็ไม่พอขังคน

    ......อีกอย่างน่ะครับ การให้ธรรมะ มันต้องขึ้นอยู่กับผู้ให้ด้วยครับว่า....ผู้ให้
    นั้นอยู่ในสถานะใด เป็นพระสงฆ์หรือฆราวาส

    เป็นพระสงฆ์นึกจะทำอะไรก็ทำ มันไม่ได้ครับ มันมีพระวินัยมีแบบมีแผน
    บังคับไว้ครับ การจะเป็นครูบาอาจารย์ในสถานะของบรรชิต สิ่งที่ควรให้
    ความสำคัญที่สุดก็คือ โลกวัชชะ ถ้าเป็นดังนี้ ชาวบ้านชาวเมืองเขาจะขาด
    ศรัทธา ไม่น่าเชื่อถือ เดี๋ยวจะคิดเอาว่า อะไรกันหว่า! มาสอนให้ชาวบ้านละ
    แต่ตัวเองยังหลงอยู่เลย

    แต่ถ้าเป็นฆราวาสก็เป็นอีกเรื่องครับ คิดจะอ้าปากกว้างๆ ด่าใครใส่ไมค์
    ข้ามจังหวัด ก็คงไม่มีใครให้ความสำคัญ คิดเสียว่า สักแต่ว่ามีปากครับ
     
  9. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านเตชครับ ตอบอย่าเล่นคำมากได้มั้ยครับ
    ตอบแบบสั้นๆ แต่ความหมายมันกว้าง ลักษณะนี้
    ดูแล้วใจไม่ถึงหรือไม่เข้าใจ อย่าเอาบ่อน้ำไปเทียบกับทะเลซิครับ

    รบกวนอธิบายคำนี้"สติเราอยู่ที่ไหน นั้นคือปัจจุบันธรรม"
    ขอให้ยาวกว่านี้ เอาให้คนที่พึ่งศึกษาเข้าใจด้วยครับ
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>2ชาติ บรรลุธรรม. . .*, albertalos, สับสน!

    สวัสดีคนตื่นเช้า:cool:
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG]


    อรุณสวัสยามเช้า ... ฝากดอกบัวก่อนฝากคำ
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ถามแบบนี้..มันบอกถึงการปฏิบัติ บอกถึงสติปัญญา ของตนเองว่า ไม่เคยสัมผัสสภาวะนี้เลยจริงๆ
    " การจดจำอารมณ์ ความรู้สึก กองลม ละเอียด หยาบ หรือสุขทุกข์ หรือเฉยๆ ..ในขณะนั่งสมาธิได้อย่างจำไม่ลืม จำความรู้สึกนั้นได้อย่างไม่ลืมแนบแน่นนึ้เมื่อใด..
    ก็สามารถ ระลึกรู้ได้ รู้ถึงความรู้สึกที่เคยสัมผัสนี้ได้ทุกครั้ง เขาเรียกจดจำ..สภาวะ ได้"(มัวแต่สอนดูสัญญากันจนเบลอ แล้วมาบอกสอนดูจิต)
    จิตที่เป็นสมาธิเท่านั้น จึงจะจดจำสภาวะได้อย่างชัดเจนแบบไม่ลืม...หาก
    เลิกนั่งสมาธิ แล้วเมื่อกลับมานั่งสมาธิอีกเมื่อใดก็สามารถนึกน้อมเอา สภาวะความรู้สึก ที่เคยได้สัมผัสนี้มาเป็นอารมณ์ใหม่ได้ทันที..นึกน้อมก็ตั้งมั่น..นี่ไงวสี..ที่ท่าน ธรรมภูติกล่าวไว้ !
    ไอ้ผู้ "ทรงจำ" หัด "ทรงธรรม" สักนาทีซี่จะเห็นเอง มัวแต่เป็นไอ้ขี้ฟ้อง ลูกผู้ชายหน่อย...น่าอายจริงๆ..รีบสาธุเร็ว ผมแสดงธรรมให้ฟัง กราบธรรมก็ได้ หากจะไม่กราบคนเร็ว...!:':)'(
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เรื่องราวทั้งหลายต่าง ๆ ครอบโลกธาตุ
    ไม่ว่าเรื่องอะไร
    จะรู้ได้ก็ด้วยจิตผู้รู้นี้เท่านั้น

    ของเพียงมีสติกำกับจิตกำกับใจ
    ปัจจุบันธรรมก็อยู่ครอบโลกธาตุ

    ปัญญาคอยสอดแทรกด้วยการพิจารณาถอดถอนความเห็นผิด
    ไม่ใช่ดูอยู่เฉย ๆ จะไม่สามารถถอดความยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ได้

    ในเบื้องต้นต้องมีสติเป็นเครื่องผูกจิตไว้กับหลัก
    เช่น พุทโธ หรือ อานาปานสติ ก็ได้

    อย่าไปตามสภาวะที่ตนเข้าใจ เช่น โกรธ ไม่พอใจ
    เพราะสภาวะอารมณ์พวกนี้เป็นหลักไม่ได้
    หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอด

    สิ่งที่จะถือว่าเป็นหลักได้
    ต้องคงที่ หนักแน่น เช่น พุทโธ หรือ อานาปานสติ เป็นต้น
    ไม่โยกย้ายเปลี่ยนแปลง เหมือนสภาวะของอารมณ์ต่าง ๆ
     
  14. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    การคิดเห็นแบบนี้ เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ดังเราจะเห็นว่าขัดแย้งกับพระสูตรและการปฏิบัติจริง หลายๆ อย่าง ทีนี้จะตอบจากการปฏิบัติจริงบ้างครับ

    การปฏิบัติจริงนั้น หากยังไม่ได้สมาธิระดับฌาน ผู้ปฏิบัติก็สามารถรู้ว่าจิตดับไปได้ การที่สามารถรู้ว่าจิตดับไปได้นี้ ไม่ใช่ว่ามีจิตเที่ยงแท้แบบหนึ่ง หรือดวงหนึ่ง หรือลักษณะหนึ่งคอยทำหน้าที่รู้อยู่ตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ผู้ปฏิบัติสามารถรู้ได้ เพราะเมื่อจิตดวงใหม่ หรือลักษณะใหม่เกิดขึ้นแล้วต่างหาก...

    ขอยกตัวอย่างการปฏิบัติจริงเช่น เวลาที่ผู้ปฏิบัติเกิดสุขทางใจ แล้วสุขทางใจได้ดับลงกลายเป็นอุเบกขา ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ได้ฌานจะไม่สามารถรู้เท่าทันในช่วงที่สุขเวทนาดับลง (เป็นช่วงก่อนที่จะเกิดอุเบกขาขึ้น) เนื่องจากจิตเกิดดับต่อเนื่องกันรวดเร็วมากหากไม่มีฌานแล้วจะไม่สามารถได้ทัน แต่ผู้ปฏิบัติที่สามารถรู้ว่าจิตที่มีสุขนั้นได้ดับไปแล้ว ก็เพราะผู้ปฏิบัติรู้ว่าอุเบกขาได้เกิดขึ้นในจิตแล้วต่างหาก กล่าวง่ายๆ คือ ตอนจิตดวงเก่าดับไปนั้นไม่รู้ แต่ที่มารู้ว่าดับไป ก็คือ ตอนที่จิตดวงใหม่เกิดขึ้นมาแล้วครับ

    ส่วนคำที่คุณเน้นย้ำจากพระสูตร คือ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ นี้ไม่ใช่เรื่องจิตเที่ยงอะไร แต่จริงๆ หมายถึง การที่จิตได้รับการอบรมเจริญวิปัสสนาอยู่เนื่องๆ นั่นเอง การรู้อยู่ การเห็นอยู่ ก็คือ การหมั่นเจริญวิปัสสนา อาจจะแปลประโยคข้างบนแบบภาษาชาวบ้านว่า จิตเมื่อหมั่นเจริญวิปัสสนาอยู่อย่างสม่ำเสมออย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ ๕

    ท่อนนี้จะคล้ายกับท่อนที่ ๒ นั่นเอง ว่าหากความสิ้นไปแห่งอาสวะ จะต้องเกิดจากผู้ปฏิบัติหมั่นเจริญวิปัสสนา เวลาเจริญวิปัสสนาจะทำให้รู้ จะทำให้เห็นตามเป็นจริงใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร ต่างๆ เมื่อหมั่นเจริญวิปัสสนานี้แหละถึงจะทำให้สิ้นอาสวะ ไม่ได้หมายถึงการมีจิตเที่ยงแท้ไม่เกิด-ดับเป็นอัตตา มาคอยเป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็นอะไรครับ
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเต้าเจียวครับ

    คุณไม่น่าที่จะเป็นพวกสมาธิสั้นไปได้เลยนิครับ

    คุณพูดว่า แต่เรามีศีล๕ ก็ชัดเจนนะครับว่ามีแล้ว ไม่ต้องรักษาอีกแล้ว

    ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด ก็จะบอกว่าไม่ใช่ ก็ชัดเจนอีกนั่นแหละว่า "ใช่" มีศีล๕แล้ว

    คุณพูดเองชัดๆว่ามีแล้ว ก็เป็นการจะคุยว่า ตนเองศีล๕ที่บริสุทธิ์แล้วนั่นเอง

    แถมยังบอกอีกว่า ถ้าคิดว่าไม่ใช่ แสดงว่าการมีศีล หรือไม่มีศีลนั้น เกิดจากคิดเอาเองใช่มั้ยครับ???

    ที่ผมพูดถึงเรื่องกดไม่เห็นด้วย คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า ทำตัวเป็นตัวตลกโดยไม่ต้องสรุปอะไรเลยครับ

    มันสรุปในตัวมันเองแล้วหละครับ แค่ติดกับดักอาการของจิตที่แสดงออก

    ต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ปรากฏ กิเลสก็สนองตอบทันที่โดยไม่ลังเล

    ตกลงสรุปให้ฟังด้วยว่า มีศีล๕แล้ว หรือยังต้องรักษาศีล๕อยู่ครับ???

    ;aa24
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่มีศีล5แล้ว ศีล5บริบูรณ์ ก็เข้าระดับพระโสดาบันแล้ว (เข้าใจเองนะ จะถูกรึเปล่าก็ไม่รู้นะ)

    ปุถุชนก็ยังต้องรักษาศีล5 อยู่ เพราะยังไม่มีศีล5แบบบริบูรณ์
    อาจจะมีสติรักษาจิตเป็นช่วงๆ มีศีล5แบบไม่ต้องรักษาก็มีบ้างแต่ไม่บริบูรณ์คือมีหลงบ้าง
    อาจจะมีสมาธิรักษาตนไม่หลงตามกิเลสที่มายั่วได้บ้างตามกำลังสมาธิ(ฌาณ)
    แต่ไม่บริบูรณ์คือยังมีหลงบ้าง มีสมาธิก็ไม่หลง ตกจากสมาธิก็หลงไป
    เพราะยังไม่มีสมาธิแบบธรรมชาติเกิดในตน มีแต่สมาธิที่กำหนดขึ้นให้มีในตนตามรูปแบบต่างๆ

    ปุถุชนคือผู้ที่ยังพร่อง ผลที่ได้อาจเป็นส้มหล่นยังไม่ใช่ของจริง
    แต่คนไม่รู้อาจจะคิดว่าได้จริง พอไม่ใช่ของจริงวันหนึ่งมันก็เสื่อม
    ความจริงก็โผล่ออกมาแทนที่ คนที่รู้ตัวทันก็เข้าใจ คนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป
    ความจริงก็คือความจริง เราปฏิเสธความจริงไม่ได้หรอก
    มีแต่สมควรรู้ทันความจริงของเราเอง

    หวัดดี เต้าเจี้ยวและสหาย

    ปล.เห็นท่าน 00000 บอกลาแล้วใจหาย ถ้ากระไรเมื่อไรท่านมีธรรมมีปัญญาเป็นของตนเองแล้ว
    ได้โปรดมาเผยแผ่เป็นธรรมทานให้เราสดับบ้างนะ จะเป็นพระคุณอย่างสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2010
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    วสี บ้านคุณสิเป็นแบบนั้น

    ปฐมฌาณยังไม่ขึ้นเลย จะคล่องแคล้วในวสีเสียแล้ว

    ไอ้ที่คุณบรรยาย นั้นมันส้มหล่นธรรมดาๆ แล้วหลงยึด
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ไม่น่าเชื่อ...ห้องนี้น่าจะเปลี่ยนชื่อห้องนะครับ จาก อภิญญา-สมาธิ เป็นห้อง..
    "สำบัดสำนวน ชวนปวดหมอง"
    หรือห้อง "แถ"
    หรือห้อง "รับจ้างเถียง"
    หรือห้อง "แถแถกเหงือก ภาค1"(ห้องปลาหมอ)
    ...เอ้าน่าโหวตจริงๆจะเอาชื่อไหนดีครับท่านประธานสมาชิก..!
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เฉลยเสียหน่อยก็ได้

    ไอ้เรื่อง วสี กับ ภาวนาพุทโธ ที่พี่ภูติแอบเกาะ ทำเป็นภาวนาได้ จิตรวมได้
    แล้วอิงไว้เพื่อ สร้างสรรค์บารมีแก่เว็บบล๊อกของตน เนี่ยะ ผมหลอกให้เขาเผยไต๋

    คนที่มีวสีในอานาปานสติ มาข่มคนอื่นว่า อานานปานสติไม่ถึงไหน แปลว่า ตน
    ต้องคล่อง นี่พพี่ภูติทำทีเป็นข่มผมมาตลอด ก็น่าจะแปลว่า มันใจใน วสี ในอานาน
    ปานสติ

    แต่นี่อะไร ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย กลับโง่ดักดานไปร่วมเกาะพานพุ่มเอาบุญเข้าถือ
    ภาวนาพุทโธมาเสริมตน จนมองเห็นว่า ภาวนาพุทโธทำให้จิตรวมจนพิจารณาขันธ์5
    ได้ตวามความเป็นจริง ดั่งที่ลงในบล๊อกและแสดงในหัวกระทุ้นี้

    เวรกรรมแท้ๆ เพราะอะไรพาไปก็ไม่รู้ ภาวนาพุทโธนี่มันไม่ทิ้งกาย ไม่ใช่สมาธิที่
    จะทิ้งกายไปเหลือแต่จิต พูดตามปริยัติคือ ภาวนาอึ๊กยังไงมันก็แค่ อุปจารสมาธิ

    หากไม่ยกขึ้นกรรมฐาน เกษา โลมาฯ แล้วก็ไม่มีวันรวมไปเป็น อัปปนาสมาธิ

    นี่คงเพราะฟังมากไป อัดมาสองรูหูเต็มไป จนมึน จนเบลอ เลยเถิดว่า ภาวนา
    พุทโธจะแนบแน่นไปเป็นอัปปนาสมาธิ แล้วไปนู้น..ถอนอวิชชาได้ด้วย

    ไปอัปปนาสมาธิไม่ได้ จะไปพูดขั้นจิตเด่นดวงเพียงส่วนเดียวยังไม่เกิดเลย แล้ว
    ไอ้ที่พี่ภูติชอบนักชอบหนาว่า จิตเดิมแท้ ยังไม่ถึงขั้นเลย แต่ไปยกมาว่าแยก
    ขันธ์ได้ พิจารณาได้ตามความเป็นจริง

    ผมก็เลยผูกเรื่อง วสี ซึ่งเป็นความคล่องในฌาณ มาลองแย๊บๆดูว่า พี่จะเลย
    เถิดหลง บรรยายวิธีการปฏิบัติตามที่ผมผูกล่อไว้หรือเปล่า

    ก็ปรากฏว่า อธิบายมา...แหม ชำนิชำนาญ

    โถ่....เวรกรรม

    ถ้าเกิดข้อสงสัยเรื่องนี้ ป่วยการจะบรรยาย เชิญไปทัศนาธรรมจากหลวงพ่อพุธ
    ในกระทู้นี้ละกัน click


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2010
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สมาธิที่ เป็นสัมมาสมาธิ มีเมื่อไร จะไม่ขึ้นอยู่กับ กรรมวิธี

    จะเพ่งไปที่ใจแทน แล้วดูอาการที่ใจ ทิ้งสมมติบัญญัติ ทั้งสิ้น

    พุทโธ หรือ อานาปานสติ หรือ กรรมฐานใดๆ เป็นเริ่มต้น เป็นบาท

    พอเข้าสู่ สัมมาสมาธิ จะมองที่ใจ ที่ตัวรู้่ ว่าออกรู้อะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...