การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คุณยังกินข้าวมื้อเย็นอยู่ใช่มั๊ย

    มาถามว่ารักษาศีล ๕ รึเปล่า

    ถามคุณบ้างดีกว่า การรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ทำยังไง

    (smile) ขอตัวก่อน มีงานอื่นอยู่ แล้วจะมาอ่าน ขอบคุณค่ะ
     
  2. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    เอางั้นหรือ
    แต่เรามีศีลห้า ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด ก็บอกว่าไม่ใช่

    :boo:
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเล่าปังกบฏศาสนาครับ

    ผมถามตรงๆเถอะ ที่คุณคุยโมไว้ตั้งมากมายว่า ได้อานาปานสติมาตั้งแต่อายุ๑๒หนะ ขี้โม้ขึ้นมาเองใช่มั้ยครับ???

    เห็นคุณตั้งคำถามแล้วรู้ได้เลยครับว่า ไม่รู้เรื่องการปฏิบัติเอาเสียจริง น่าเห็นใจนะครับ

    ที่ต้องพยายามวางก้ามว่าตนเองรู้ดี เพราะตั้งหน้าตั้งตาคุยโม้โอ้อวดไว้ตั้งมากมายนี่เอง

    คุณไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้กันแน่ครับ การใช้คำบริกรรม"พุทโธ" หรือ"อานาปานสติ"นั้น

    เป็นเพียงอามีสสัญญาเหมือนกันทั้งคู่เท่านั้น เหมือนเราเคยขึ้นถึงยอดมะพร้าวแล้วด้วยบันไดลิง

    ทีนี้มีคนบอกว่าการขึ้นต้นมะพร้าวนั้น ใช้วิธีตอกหมุดก็ขึ้นได้เช่นกัน คุณอยากรู้ก็จะยากเย็นอะไรครับ

    ก็แค่ค่อยๆไต่บันไดลิงลงมา แล้วทดลองตอกหมุดขึ้นไปใหม่

    แล้วลองพิจารณาดูสิครับว่า ขึ้นได้สะดวกเร็วแบบบันไดลิงหรือไม่ หรือต่างกันอย่างไรก็เท่านั้นเอง

    คุณจะต้องถอดถอนวสีไปเพื่ออะไรครับ??? นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่บอกให้รู้ว่าคุณไม่เคยปฏิบัติได้จริงเลย

    เมื่อใช้อานาปานสติแล้ว จิตสงบตั้งมั่นได้รวดเร็วอย่างไร???

    เมื่อลองสมาทานพุทโธแบบเร็วๆอย่างที่ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อสงบท่านสอนไว้

    แล้วจิตสงบตั้งมั่นได้รวดเร็วหมือนเดิมมั้ยก็เท่านั้นเองครับ

    คุณกบฏศาสนาเล่าปังครับ คุณเองยังสับสน เพราะอคติเต็มหัวใจอยู่นะครับ

    การภาวนาของท่านพระอาจารย์หลวงสนองนั้น ท่านให้ผูกคำภาวนาไว้กับลมหายใจครับ ค่อยๆวางไปทีละขั้นตอน

    ส่วนของท่านพระอาจารย์หลวงพ่อสงบนั้น ไม่ได้ผูกคำภาวนาไว้กับลมหายใจครับ จำเอาไว้ด้วยนะ อย่ามั่วนะครับ

    อ้อ คุณกบฏเล่าปัง ต้องดูว่า ผมตั้งประเด็นว่า คุณกบฏเล่าปังเป็นกบฏศาสนา ดังนั้น

    การกระทำของผมก็คือ การกำจัดกบฏ พวกคดทรยศ ที่เที่ยวแฝงตัวเข้าวัดนู้น ออกวัดนี้ อาศัย อาหารเข้าล่อ เข้าลวง

    เพื่อให้ได้ชื่อว่าตนบำรุง อาศัยปากที่มีน้ำเจิ่งพูดด้วยแต่เพียงเป็นอุบายให้ตนได้ชุบตัวเป็นพวก

    อาศัยบุญเหล่านั้นเพื่อสบประโยชน์ตนในการก้าวขึ้นสู่ดวงดาว แบบนี้ผมไม่ผิดหรอกนะหากจะปรามกบฏแบบคุณ สัก500คน ไม่มากๆ

    ;aa24
     
  4. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    จะสื่ออะไรก็พูดตรงๆไม่ได้หรือไง เล่นสำบักสำนวนให้คิดอยู่นั่นหละ คิดว่าคนอ่านเป็นมหาปาดเหมือนท่านหรือไง เอ หรือว่าคนอื่นรู้เรื่อง หว่า ยี้ตัวเองนะ ยี้ ยี้ ยี้
     
  5. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641


    สิ่งที่คุณกล่าวมาในที่อ้างอิงนั้น มีการกล่าวถึง "ธาตุรู้" เห็นคุณกล่าวถึงคำนี้บ่อยมากๆ แต่ไม่รู้ว่าคุณเข้าใจคำๆ นี้ดีแค่ไหน และเข้าใจเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าเข้าใจตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้กันแน่

    ดังนั้นจึงมาดูกันว่า "ธาตุรู้" ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ว่าเป็นอย่างไร เริ่มจากเรื่องคนเรามีธาตุอยู่ ๖ อย่าง ดังนี้

    ๑๐. ธาตุวิภังคสูตร (๑๔๐)
    . . . . . . . . . . .
    [๖๗๘] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖
    มีแดนสัมผัส ๖ มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็น
    ธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไป
    ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียก
    เขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ
    พึงศึกษาสันติเท่านั้น นี้อุเทศแห่งธาตุวิภังค์หก ฯ

    [๖๗๙] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ นั่น เราอาศัย
    อะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ธาตุนี้มี ๖ อย่าง คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ
    วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มี
    ธาตุ ๖ นั่น เราอาศัยธาตุดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ

    ที่มา : [URLI="http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=8748&Z=9019&pagebreak=0"]http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=8748&Z=9019&pagebreak=0[/URLI]


    จากพระสูตรได้ตรัสสอนให้รู้ว่าคนเราแท้จริงเป็นเพียงธาตุ โดยปรมัตถ์แล้ว สัตว์ บุคคลไม่ได้มี ๖ ธาตุ ได้แก่ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ดังอรรถกถาจารย์อธิบายไว้เพิ่มเติม...

    แต่ในธาตุวิภังคสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงสิ่งที่มีด้วยสิ่งที่ไม่มี จึงตรัสอย่างนั้น. ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสละบัญญัติว่า บุรุษ ตรัสว่า ธาตุเท่านั้นแล้วทรงวางพระหฤทัย กุลบุตรก็พึงทำความสนเท่ห์ ถึงความงงงวยไม่อาจเพื่อรับเทศนาได้. เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงทรงละบัญญัติว่า บุรุษโดยลำดับ ตรัสสักว่า บัญญัติว่า สัตว์หรือบุรุษหรือบุคคลเท่านั้น โดยปรมัตถ์ ชื่อว่าสัตว์ ไม่มี ทรงวางพระทัยในธรรมสักว่า ธาตุเท่านั้น ตรัสไว้ในอนังคณสูตรว่า เราจักให้แทงตลอดผลสาม ดังนี้.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ดุจอาจารย์ให้เรียนศิลปะด้วยภาษานั้น เพราะเป็นผู้ฉลาดในภาษาอื่น. ในธาตุวิภังคสูตรนั้น ธาตุ ๖ ของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่ามีธาตุ ๖. มีอธิบายว่า ท่านย่อมจำบุคคลใดว่า บุรุษ บุคคลนั้นมีธาตุ ๖ ก็ในที่นี้โดยปรมัตถ์ก็มีเพียงธาตุเท่านั้น.

    ที่มา : [URLI="http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14.0&i=673&p=2"]http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14.0&i=673&p=2 [/URLI]

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    แล้วที่นี้ พระสูตรข้างต้นเกี่ยวอะไรกับคำว่า "ธาตุรู้" คำว่าธาตุรู้จริงๆ คือ ความหมายภาษาไทยของ "วิญญาณธาตุ" จากในพระสูตรนั่นเอง ใช้คำเต็มๆ ว่า "ธาตุรู้แจ้ง" ดังอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ ดังนี้

    คำว่า ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ได้แก่ ธาตุตั้งมั่น.
    คำว่า อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) ได้แก่ ธาตุเกาะกุม.
    คำว่า เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ได้แก่ ธาตุแผดเผา.
    คำว่า วาโยธาตุ (ธาตุลม) ได้แก่ ธาตุเคลื่อนไหว.
    คำว่า อากาสธาตุ (ธาตุคือช่องว่าง) ได้แก่ ธาตุที่สัมผัสไม่ได้.
    คำว่า วิญฺญาณธาตุ (ธาตุคือวิญญาณ) ได้แก่ ธาตุรู้แจ้ง.

    จาก : เล่ม ๗๗ อรรถกถา พระอภิธรรมปิฏก วิภังคปกรณ์ (ไตรปิฏกฉบับธรรมทาน)


    จะเห็นแล้วว่าอรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า วิญญาณญาตุ ได้แก่ ธาตุรู้แจ้ง (ธาตุรู้) นั่นเอง แล้วเมื่อธาตุรู้ คือวิญญาณธาตุอย่างนี้ ย่อมจะต้องเนื่องอยู่ในขันธ์ห้า เมื่ออยู่ในขันธ์ห้าแล้ว จะพ้นเสียจากความไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-เป็นอนัตตาได้อย่างไร จะเที่ยงแท้เป็นอัตตาได้อย่างไรโปรดพิจารณาเถิด
     
  6. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    การถามว่ารักษาศีลห้าหรือเปล่า ของเรา ย่อมไม่ยกมาลอยๆ
    มีเหตุผล ยกตามมา และไม่ชวนใครออกทะเล
    ลองอ่านดู

    รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ สำหรับปุถุชน ก็คงต้องไม่หลอกตน
    คำสอนของหลวงพ่อทูลน่าสนใจมาก

    ....ให้ทำความเข้าใจไว้ว่า ศีลจะขาดไปเพราะมีเจตนา ล่วงเกินในศีลข้อนั้นๆ เมื่อเราไม่มีเจตนาจะทำให้ศีลขาดศีลก็ไม่ขาด เช่น เดินไปเหยียบมดแมลงหรือสัตว์อื่นใดตายไปโดย ไม่เจตนา ศีลนั้นก็ยังไม่ขาด อย่าทำใจให้เกิดความเศร้าหมองขุ่นมัวแต่อย่างใด เพราะไม่มีเจตนาจะทำให้ศีลนั้นขาดไป

    ..... ศีลของพระโสดาบัน เรียกว่าสมุจเฉทวิรัติ เป็นศีลเกิดขึ้นจากธรรมโดยแท้ ไม่มีคำว่าศีลขาดและเศร้าหมองแต่อย่างใด เหมือนน้ำที่เต็มแก้วอยู่แล้ว จะเทน้ำเพิ่มลงไปอีกก็ไม่ทำให้น้ำเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นี้ฉันใด พระโสดาบันจะรับศีลจากพระ ก็เป็นเพียงรับโดยกิริยาเท่านั้น หรือจะไม่รับศีลจากพระศีลก็มีความสมบูรณ์อยู่ไม่ได้ขาดหายไปไหน จึงเรียกว่า ปกติศีล ไม่มีการลูบคลำว่าศีลขาดหรือไม่ขาดแต่อย่างใดเพราะมีความละอายในการทำชั่วพูดชั่วและคิดชั่วในอกุศลกรรมอยู่แล้ว



    ฉะนั้นผู้ยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันต้องฝึกใจให้มีความละอายในการทำการพูดและการคิดในทางที่เป็นอกุศลกรรมอยู่เสมอ


    ({)


     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณ00000ครับ

    ที่คุณยกกลอนมา ในเนื้อความก็บอกอยู่แล้วนิครับว่าต้องรู้จัก ตน

    อนัตตาแปลว่า ไม่ใช่ตน เมื่อกลอนที่คุณยกมาบอกว่า คุณรู้จักตน ที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้แล้ว

    คุณจะถามหาอนัตตาธรรมไปเพื่ออะไรอีกหรือครับ???

    ถ้าคุณต้องการจริงๆ ผมเสนอแนะว่า ควรไปอ่านพระสูตรในเรื่องอนัตตลักขณสูตรครับ....

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณสับสนครับ

    เรื่องที่ผมพูดไปนั้น ไม่ได้มีข้อมูลมาก่อนครับ

    แต่สัมผัสได้ว่าคนกลุ่มนี้ เป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีลครับ ชอบสร้างภาพ

    เวลาไม่ถูกใจอะไร จะแสดงออกอย่างมามายมากโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกใครทั้งสิ้น

    ติดกับดับตนเองอยู่ประจำ แต่ก็กล้าแสดงว่ามีความเป็นผู้รู้ เป็นผู้มีศีลธรรม โดยไม่รู้จักอายตนเองบ้างเลยครับ

    ;aa24
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คนที่ยังทุขอยู่มีมาก ท่าเค้าทุขมากกว่าเราเพราะเราสามารถลดทอนทุขนั้นได้บ้างแล้ว

    เค้าและเราล้วนทุขทนอยู่ทั้งสิ้น จะรังเกียดหรือ เห็นคนที่ทุขมากกว่า เห็นน้อยกว่า
    ว่า ผิด และต้องเป็นอย่างเราทุขน้อยอย่างเราจึงจะดีหรือปล่าว

    อนุโมทนาธรรมทุกท่าน นำธรรมมาสาทยายได้ความรู้มากขึ้น
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณศิรัสพลครับ

    คุณไม่รู้ตัวอีกหรือครับว่า คุณไม่ใช่ลูบคลำแบบธรรมดานะครับ

    แบบคุณต้องเรียกว่าลูบคลำแบบตาบอดคลำช้างเลยทีเดียวครับ

    ผมจำได้นะครับว่า เราเคยถกกันหลายครั้งมาแล้ว

    ทุกครั้งที่ผมถามไป คุณมักเลี่ยงที่จะตอบ แต่จะตอบเท่าที่คุณคิดอยากพูดเท่านั้น

    คุณยังค้างคำตอบผมไว้ตั้งมากมาย ว่างๆผมว่าจะลองนำกลับมาให้คุณตอบ

    เพื่อจะได้ให้คุณได้สำนึกว่า พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล

    ไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อด้วยความงมงายนะครับ

    พระพุทธเจ้าจึงได้ชื่อว่า เป็นศาสดาเอกของโลกไม่ใช่เพราะโชคช่วยนะครับ

    พระองค์ท่านเป็นนักเหตุผล ที่ผู้ปฏิบัติตามแล้วจะเห็นเหตุเห็นผลเช่นเดียวกับพระองค์ท่านครับ

    ผมรู้ว่าผู้เป็นมิจฉาทิฐิแก้ยากอยู่แล้วครับ แต่เพื่อปกป้องพุทธศาสนาผมจะทำครับ

    อย่าลืมกลับไปตอบคำถามที่ผมได้ถามทิ้งไว้ให้หมดด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากครับ

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณศิรัสพลครับ

    คำว่า "เกิด" หมายความว่า สิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่เกิดขึ้น เราเรียกเกิดใช่มั้ยครับ

    คำว่า "ดับ" หมายความว่า สิ่งที่มีอยู่ก่อนนั้นดับไป เราเรียกว่าดับใช่มั้ยครับ

    คุณอย่ามั่วเองสิครับว่า "จิตดวงเก่าจะเป็นปัจจัยแก่ดวงใหม่ก่อน พอเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงใหม่แล้วจึงค่อยดับไป"

    เป็นไปได้หรือครับว่าจิตจะมีพร้อมกันครั้งเดียวทีละสองดวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ

    คุณเอาหลักฐานมาชี้ให้เห็นด้วย ถ่ายทอดเป็นปัจจัยให้กันตอนไหน

    ในเมื่อดวงหนึ่งยังไม่ได้ดับไป ส่วนดวงใหม่ก็ยังไม่เกิดเลย

    เพราะท่านอรรถกถาจารย์เองท่านก็กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า

    จิตจะมีพร้อมกันทีเดียวสองดวงไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเต้าเจียวครับ

    คุณเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดค้างคำถามผมไว้ตั้งมากมาย ไม่คิดจะกลับไปตอบเลยหรือครับ

    ตกลงใครกันแน่ครับ ที่จนมุมแล้วยังไม่ยอมรับ เป็นพวกผู้ร้ายปากแข็ง

    ส่วนเรื่องที่จิตเป็นกลางหรือปัจจุบันธรรมนั้น คุณพูดเหมือนคุณรู้ คุณช่วยบอกด้วยครับ

    ที่ว่าปัจจุบันธรรมหรือจิตที่เป็นกลางนั้น วางจิตไว้ที่ไหนครับ???

    ถ้าคุณเลี่ยงที่จะไม่ตอบอีก ก็อย่าพยายามเอาเรื่องที่ไม่เคยปฏิบัติถึงมาโชว์อีกเลยนะครับ

    ผมจำได้ว่าคำถามนี้ผมเคยถามคุณไปแล้วนะครับ

    ;aa24
     
  13. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ถึงคุณธรรมภูต (ขอลัดคิวคุณธรรมะสวนังก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยไปต่อ)

    ผมตอบให้คุณได้อยู่แล้วครับ แต่คุณก็ถามมาทีละข้อๆ ซิครับ อย่าเล่นถามมาทีละเยอะๆ แบบรุมถามขนาดนั้น เหมือนนักข่าวเขาจะตอบคุณได้ทันได้อย่างไรครับ ก็ต้องตอบกันเท่าที่ตอบได้ แต่ละข้อจะตอบผมจะตอบให้ดีที่สุดซึ่งจะต้องใช้เวลา อย่าถามเล่นถามใหม่ ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ทันตอบ ถามมาเหมือนไม่ต้องการจะรู้คำตอบจริงๆ

    บอกคุณแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ตอนนี้ผมไล่ตอบความเห็นของคุณธรรมะสวนังก่อน พอถึงความเห็นคุณผมจะทยอยตอบให้ครับ
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเต้าเจี้ยวครับ

    ผมก็เห็นใครๆเค้าก็บอกว่ามีศีลห้าเหมือนคุณทั้งนั้น บางคนศีล๘ ศีล๑๐ด้วยซ้ำไป

    ถ้าเพียงแค่คิดเท่านั้นแล้ว ศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ บริสุทธิ์ได้ ทุกคนก็บรรลุไปหมดแล้ว

    หรือคุณกำลังจะบอกว่า ศีล๕คุณบริสุทธิ์แล้ว ผมก็จะบอกว่าเพียงคิด ผมไม่เชื่อครับ

    คุณก็บอกมาสิครับ คุณคิดยังไงจึงทำให้ศีลบริสุทธิ์ได้

    ถ้ายังต้องรักษาศีล๕อยู่ แล้วคิดว่าศีลบริสุทธิ์นั้น อย่าโกหกตัวเองอยู่เลยครับ

    ถ้าศีลรักษาเราได้เมื่อไหร่นั่นหนะ ผมถึงจะเชื่อครับ

    แค่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดหยาบๆ ยังเอาไม่อยู่เลย ก็การขยันกดไม่เห็นด้วยนั่นไง

    คนที่เค้ามีธรรมเป็นเครื่องกั้น เค้าใช้เหตุและผลในการหาความจริงในการไม่เห็นด้วยครับ จำเอาไว้นะครับ

    ;aa24
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณศิรัสพลครับ

    คุณมาแก้ตัวตอนนี้ไม่รู้สึกว่าสายไปหน่อยหรือครับ

    คุณลองกับไปอ่านของเก่าๆแล้วคุณจะรู้เองครับ

    คำถามผมส่วนใหญ่แล้วตอบได้ง่ายครับ คือใช่หรือไม่ใช่

    ตอนนี้เอาแค่กระทู้นี้ที่ผมถามไปก็พอครับ

    ;aa24
     
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    เหรอ ..
    กลับไปย้อนอดีตดูได้ทุกเมื่อ
    เราบอกแล้วว่าเราระวังคอมเม้นท์ของตัวเองเสมอ
    เพระมันจะเป็นหลักฐานชั้นดี ในสัมปรายภพ
    เราจะกล่าวธรรมจนถึงจุดที่เราเห็นว่าสมควร
    และรู้ในจุดที่ควรหยุด

    คุณมิใช่หรือ ที่เทียวกล่าวหาคนไล่หลังเสมอ
    ง่ายหรือที่คุณจะหยุดก่อนใคร ถ้าเขาไม่หยุด

    ถ้าจะไม่รู้ตัวเอง

    นิสัยคุณน่ะ ก็ตามที่คุณชอบว่าและกล่าวหาคนอื่นนั่นแหละ
    เอาไว้ไปขึ้นศาลกรรมกันก็ได้ ดีออก บัญชีเขามีไว้หมด ไม่ต้องแจกแจงมาก


    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  17. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697


    คำสอนของหลวงพ่อทูลที่ยกมาก็ชัดดีแล้วนี่
    ดิฉันบอกหรือว่าแค่คิด ศีลก็บริสุทธ์ได้
    ส่วนด้านล่างนี่ ตลกไปไหมที่จะสรุปคนอื่น มันสื่ออะไรอยู่นะ [​IMG]

    อ้างอิงคุณธรรมภูติ
    ถ้ายังต้องรักษาศีล๕อยู่ แล้วคิดว่าศีลบริสุทธิ์นั้น อย่าโกหกตัวเองอยู่เลยครับ
    ถ้าศีลรักษาเราได้เมื่อไหร่นั่นหนะ ผมถึงจะเชื่อครับ
    แค่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดหยาบๆ ยังเอาไม่อยู่เลย ก็การขยันกดไม่เห็นด้วยนั่นไง
    คนที่เค้ามีธรรมเป็นเครื่องกั้น เค้าใช้เหตุและผลในการหาความจริงในการไม่เห็นด้วยครับ จำเอาไว้นะครับ

    :boo:
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ทะเลาะกันเก่งจังครับ
    แต่ก็ดีครับ

    ต่อไปนี้คงจะมีอะไรดี ๆ ขึ้นอีกครับ
    ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เอ้า วสี คุณธรรมภูติ ชักเข้าชักออกได้ มีที่ไหน หากมีวสีแล้ว เพียงน้อมนึก
    จิตที่มีสติมันก็พาแล่นไปแล้ว แล้วไม่ได้เกิดจากเจตนาด้วย

    วสีของคุณธรรมภูตินี่ท่าทางจะคิดเอา ด้นเอา แล้วกระมัง ถึงได้กำหนดได้
    ว่าจะเข้า หรือ ออก เจตนาถอนออกได้ เจตนาไม่เข้าได้

    ดู๊ดู พูดออกมาเองว่า ลม กับ บริกรรมพุทโธ ก็เหมือนกัน เหมือนกันได้ยังไง
    ในเมื่อ บริกรรมพุทโธแล้วต้องทิ้งมาต่อด้วยอานาปานสติถึงจะเข้าสู่ฌาณลำ
    ดับสูงกว่าได้ หากพุทโธบ้านคุณเสมอกันกับลมหายใจ แล้วทิ้งพุทโธไปทำไม

    บริกรรมเร็วจิตรวมหนะใช่ แต่มันรวมได้เท่ากับทำอานาปานสติเหรอ นี่ไปเอา
    มาจากไหน ถึงได้แยกความละเอียด ความหยาบไม่เป็น

    ในเมื่อหากไม่ทิ้งบริกรรมพุทโธมันไปได้ไม่ถึงไหน จิตรวมได้แค่ขั้นต้นๆ แล้ว
    พี่ลงไปริกรรมเร็วๆ แล้วจิตรวม ขอโทษ รวมได้เท่าอานาปานสติเหรอ

    ถ้าไม่เท่า แล้วไปยกทำไมว่า บริกรรมพุทโธแล้วจิตรวมได้เร็วกว่าอานาปานสติ

    รวมได้เท่ากันยังไม่เท่า ไปยกว่า จับคำบริกรรมไม่ทิ้งสังขารดีกว่าอานาปานสติ

    แล้วขอโทษ หากมีวสีจริง คุณกบฏธรรมภูติดูทันเหรอว่า จิตมันรวมด้วยเหตุปัจจัยใด

    เป็นเพราะ บริกรรมพุทโธ หรือว่า จิตที่มีวสีละเอียดแล้วน้อมนึกองค์ฌาณแล้วลัด
    เข้าด้วยวสีที่มีอยู่ก่อน อบรมไว้ดีแล้วไปเลย

    นี่แปลได้อย่างเดียวคือ พี่กบฏธรรมภูติเองนั้นแหละ ยังไม่ได้ วสี เลย

    ส้มหล่นตกตระกร้าไปหลายดอก แล้วทำข่มคนอื่นว่าไม่รู้ เที่ยวยกวสี
    ยกการภาวนาขั้นสูงๆของอานาปานสติมาข่มคนอื่น นี่คงไปแทะตำรามา
    นั้นแหละ

    เพราะไม่อย่างนั้น จะไปตะลึงพรึงเพลิดทำไม กับการรวมจิตได้ด้วยบริกรรมพุทโธ

    ไร้สาระ
     
  20. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อันนี้ เห็นว่าน่าสนใจ ..ยกมาตอบ

    อ้างอิงคุณธรรมภูติ

    1 ส่วนเรื่องที่จิตเป็นกลางหรือปัจจุบันธรรมนั้น
    คุณพูดเหมือนคุณรู้ คุณช่วยบอกด้วยครับ

    2 ที่ว่าปัจจุบันธรรมหรือจิตที่เป็นกลางนั้น
    วางจิตไว้ที่ไหนครับ???

    3 ถ้าคุณเลี่ยงที่จะไม่ตอบอีก ก็อย่าพยายามเอาเรื่องที่ไม่เคยปฏิบัติถึงมาโชว์อีกเลยนะครับ
    ผมจำได้ว่าคำถามนี้ผมเคยถามคุณไปแล้วนะครับ

    ......

    1จิตเป็นกลาง กับปัจจุบันธรรม ไม่ทราบว่าดิฉันไปบอกว่าเหมือนกันแต่เมื่อใด
    ที่เห็นในกระทู้นี้เลย จะพูดว่า...คนวางจิตเป็นกลาง วางอคติลง เขาจึงจะสามารถพิจารณาถึงธรรมทุกด้าน ว่าธรรมใดจริงไม่จริง คนมีอคติ จะไม่สามารถหาประโยชน์จากปัจจุบันได้
    น่าจะบอกว่า จิตที่เป็นกลางจึงจะเห็นปัจจุบันธรรม ธรรมตามจริง
    จิตเป็นกลาง คือ จิตที่อยู่เหนือทวิภาวะของธรรมที่มีสองด้านเป็นธรรมชาติ จิตแบบนี้จึงจะแยกดีชั่ว ผิดถูกได้ เพราะไม่อคติ ..
    ส่วนถ้าจิตเป็นปัจจุบันธรรม (โดยนัยยะเข้าถึงจริงๆ พ้นสมมุติปรงแต่ง ) โดยจริงแล้ว โลกกุตระปรมัตถธรรม ไม่มีอดีต อนาคต และไม่มีปัจจุบัน คำว่าทันปัจจุบัน ก็คือ ทำลายเวลาอันเป็นผลมาจากวิบาก
    แต่ในที่นี้ หรือโดยส่วนใหญ่ เราหมายเอาถึงทันปัจจุบันให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าทันจริง ปัจจุบันก็จะไม่มีทันที

    2 จิตเป็นปัจจุบันธรรมของเราคงหรืออาจจะคิดไม่เหมือนคุณ (ไม่ทราบ)
    ส่วนจิตเป็นกลางวางไว้ที่ไหน จิตนี่เป็นธาตุรู้(รู้อารมณ์) ความเป็นกลางนั้นก็เป็นอารมณ์ซึ่งเกิดที่จิตนั้น จนกว่าจะพ้นจากธาตุรู้ในที่สุดด้วย ส่วนจิตคุณจะวางไว้ที่ไหนของคุณ อันนี้ก็ไม่ทราบนะ

    3 อ้อ เคยถามหรือ เลี่ยงไม่ตอบด้วยหรือ เหอๆๆ ลองไปยกมาให้ดูนะ


    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...