การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ในพรหมชาลสูตร สำหรับผู้ที่ได้ศึกษามาอย่างจริงจัง
    จะเห็นว่าทรงตรัสถึงทิฏฐิ ๖๒ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตสังขาร คือ
    จิตที่ผสมอารมณ์แล้วเกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์

    หรือ ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    และสิ่งที่เนื่องกับขันธ์ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )
    ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน
    เพราะจิตไปยึดมั่นถือมั่นว่าเที่ยง ว่าเป็นตน จึงเป็นทิฐิผิด

    ส่วนพระพุทธองค์ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ เกิดสัมมาทิฐิขึ้นที่จิตแล้ว
    จิตไม่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้ว
    จิตของพระองค์ไม่ปรุงแต่งแล้ว ทรงบรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว

    (smile)
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    [๓๔] ๘. (๔) อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร
    จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด
    กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่า
    จักษุ ก็ดี
    โสตะ ก็ดี
    ฆานะ ก็ดี
    ชิวหา ก็ดี
    กาย ก็ดี
    นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผันเป็นธรรมดา
    ส่วนสิ่งที่เรียกว่า
    จิตหรือใจหรือวิญญาณ
    นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา
    จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
    จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

    ^
    ชัดเจนอยู่แล้วนะ สำหรับผู้ศึกษาพระพุทธพจน์ แบบไม่คลำแต่ตัวหนังสือ
    ควรดูบริบทแวดล้อมให้รอบคอบ จะได้ไม่เกิดความเสียหายต่อพุทธพจน์

    ณ ตรงนี้ ตรัสถึงอายตนะภายใน ๖ อันประกอบด้วย
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ


    (smile)
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    จิตหรือใจหรือวิญญาณ ที่กล่าวถึงในบทนี้ จึงหมายถึง
    จิตสังขาร หรือ จิตที่ผสมอารมณ์แล้วเกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์
    หรือ มโน(ใจ)
    หรือ มโนวิญญาณ
    ไม่ได้หมายถึง จิต (ธาตุรู้)

    เนื่องจากจิต เป็น ธาตุรู้ ต้องรู้ตลอดทุกกาลสมัย
    ธาตุรู้ ย่อมไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ได้
    แต่สิ่งที่ถูกจิตรู้ (อารมณ์) ต่างหาก ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา

    จิตปุถุชน รู้ผิดจากความเป็นจริง (จิตไม่รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง)
    เห็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตน
    เมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปรวนแปรไป
    จิตก็ปรวนแปรตาม (เพราะจิตยึดขันธ์ ๕ เป็นตน)

    จิตพระอริยสาวก ตรงกันข้ามกับ จิตปุถุชน อย่างสิ้นเชิง
    จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง จิตรู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
    ไม่เห็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นตน
    เมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปรวนแปรไป
    จิตก็ไม่ปรวนแปรตาม (เพราะจิตปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นตน)

    (smile)
     
  4. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    แน่ใจนะครับ ว่าคุณนั้นเข้าใจไม่ผิด และผมเข้าใจแบบลูบคลำๆ

    ผมรู้ว่าผู้เป็นมิจฉาทิฐิแก้ยากอยู่แล้วครับ แต่เพื่อปกป้องพุทธศาสนาผมจะทำครับ

    ผมจะไล่คุณให้จน คอยดูต่อไปครับ
     
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    รู้ว่าผู้เป็นมิจฉาทิฐิแก้ยาก.....

    สมมุติว่ามีใครเป็นมิจฉาทิฐิหรือมีความเห็นผิดจริงๆ ก็ไม่มีใครแก้เขาได้ นอกจากเขาแก้ของเขาได้เองเมื่อสิ่งต่างๆมีกำลังพร้อม......

    เปรียบเหมือนคน ที่เป็นเหมือนบัวใต้น้ำ จิตมีมิจฉาทิฐิเต็มไปหมด แม้พระอรหันต์มาโปรดตรงหน้า แสดงธรรมสั่งสอนมากมายแค่ไหน ก็แก้ไขอะไรเขาไม่ได้
    แล้วกับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะเอาอะไรไปแก้มิจฉาทิฐิได้..
    แต่ถ้าแค่จะไล่ให้จนด้วยการยกเอาพระสูตรมาตีความกัน ก็อาจจะไล่ให้จนกันได้ หรือไม่ได้ก็ไม่รู้นะ...

    (นี่ผมไม่ได้จะชี้ จะว่าใครเป็นมิจฉาทิฐินะครับ แค่สมมุติเท่านั้น)
     
  6. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอบคุณ คุณ 2 ชาติบรรลุธรรม ที่ออกมาเตือนสติครับ

    ที่ใช้ภาษาอย่างนั้น เพราะต้องการให้คุณธรรมะสวนังได้ฉุกคิด ผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่สามารถจะแก้ความเห็นของเขาได้ แต่เราก็ต้องทำตามหน้าที่ของเรา คือ แสดงความจริงตามพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ ไม่ให้ใครมาบิดเบือนได้ เรียกว่าทำให้ "อธรรมวาทีอย่าให้มีกำลัง"


    อย่างข้อความที่คุณธรรมะสวนังกล่าวเอาไว้ว่า "จิตหรือใจหรือวิญญาณ" (จากในประโยค "ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว" ที่พวกมิจฉาทิฐิเห็นผิดกัน) นั้นว่าหมายถึง "จิตสังขาร" ลองมาดูกันว่าอรรถกถาอธิบายไว้ว่าอย่างไร หมายถึงอะไร

    - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ในวาระของนักตรึก มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้

    สมณะหรือพราหมณ์ผู้ตรึกนี้ ย่อมเห็นความแตก ทำลายของจักษุเป็นต้น แต่เพราะเหตุที่จิตดวงแรกๆ พอให้ปัจจัยแก่ดวงหลังๆ จึงดับไปฉะนั้น จึงไม่เห็นความแตกทำลายของจิต ซึ่งแม้จะมีกำลังกว่าการแตกทำลายของจักษุเป็นต้น. สมณะหรือพราหมณ์ผู้ตรึกนั้น เมื่อไม่เห็นความแตกทำลายของจิตนั้น จึงยึดถือว่า เมื่ออัตตภาพนี้แตกทำลายแล้ว จิตย่อมไปในอัตตภาพอื่นเหมือนอย่างนกละต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วไปจับที่ต้นอื่นฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนี้.

    คำที่เหลือในวาระนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.

    [URLI="http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=5#เอกัจจสัสสตวาทะ"]
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=5[/URLI]

    ซึ่งจากอรรถกถาจารย์อธิบาย จะเห็นแล้วว่าพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หมายถึง "จิต" ที่เป็นทั้งธาตุรู้และเป็นทั้งจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยจิตนี้เวลาทำงานจะมีการเกิดขึ้น แล้วดับไปทีละดวงๆ ต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว จริงๆ แล้วก่อนที่จะดวงเก่าจะดับไปนั้น จิตดวงเก่าจะเป็นปัจจัยแก่ดวงใหม่ก่อน พอเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงใหม่แล้วจึงค่อยดับไป พอจิตดวงใหม่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยแก่จิตดวงต่อไปก่อนอีก แล้วจึงค่อยดับไปอย่างนี้
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เห็นด้วยอย่างมากเลย ผู้เป็นมิจฉาทิฐิแก้ยากอยู่แล้ว
    เพราะไม่ยอมแก้ไขความเป็นมิจฉาทิฐิที่ตัวเอง
    แต่จะไปแก้ไขผู้เป็นสัมมาทิฐิให้เป็นมิจฉาทิฐิตาม

    ก็คงต้องคอยดูกันต่อไปล่ะค่ะ
    ผู้รวยอริยทรัพย์ เมื่อรู้จักรักษาอริยทรัพย์นั้นๆ
    ย่อมไม่จนเพราะโดนพวกมิจฉาทิฐิไล่หรอก


    (smile)
     
  8. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อนุโมทนา กับคุณศิรัส..

    แต่คนหลายคน ก็ไม่อาจรู้ตัวว่าจนมุมหรือไม่จนมุม
    หรือจะจนไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ตัวก็ได้
    ขนาดคนอื่นเห็น ตัวเขาก็ยังไม่เห็น
    แถมดีไม่ดี คนที่ไม่เห็นแบบเขาก็อาจจะมีมากอีกต่างหาก

    คนที่วิ่งตามกัน ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ดี ก็อาจเป็นวิบากร่วมกันมา
    ถึงจุดที่ใครแก้ไขตัวเองได้ ก็จะพัฒนาไปเอง
    แต่ต้องอยู่ที่ตัวเขาอยากพัฒนาตัวเองจริงๆ
    ไม่ใช่อคติ วิ่งตามกันไป เพราะจะไม่สามารถหาประโยชน์จากปัจจุบันได้

    มีแต่คนที่วางจิตเป็นกลางได้เท่านั้น วางอคติลง
    เขาจึงจะสามารถพิจารณาถึงธรรมทุกด้าน ว่าธรรมใดจริงไม่จริง
    ใคร่ครวญดูแล้ว บุคคลประเภทนี้มีอยู่
    การกล่าวธรรมมาจนถึงจุดที่ถึงควร จึงมีอยู่..

    เราว่า สำคัญก็อยู่ตรงที่ เมื่อคนเกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมา เขาก็จะถ่ายทอดต่อไป
    เป็นเมล็ดพันธ์ที่สำคัญมาก ที่จะดำเนินต่อไป..
    เหมือนที่เราได้รับเมล็ดพันธืนั้นมาจากครูบาอาจารย์ หรือคนรุ่นก่อนเรามา..

    ({)
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอนจิตดับ แสดงว่ารู้ดับ แสดงว่า ณ เวลานั้นไม่รู้ไรเลย
    แล้วจะมาบอกได้ยังไง

    แสดงว่าต้องรู้อยู่ตลอดเวลา ถึงบอกได้ว่า
    ตอนนี้จิต(ที่ผสมอารมณ์)ดวงนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    จิต(ที่ผสมอารมณ์)ดวงใหม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    จิตไม่ได้เกิดดับ แต่อารมณ์ที่มาเกิดที่จิตนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปต่างหาก
    จิตเป็นผู้รู้ ผู้เห็นอยู่


    ***
    ดูก่อนท่านผู้มีอายุ จิต ของข้าพเจ้า ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้แล
    จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้


    ***
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะของ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่
    เราไม่กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะของ ผู้ไม่รู้ ไม่เห็น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่อย่างไร จึงมีความสิ้นแห่งอาสวะ
    เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ว่า
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้
    ความเกิดขึ้นแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณดังนี้
    ความดับแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้
    จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะ


    ^
    จิตผู้ปฏิบัติต้องรู้ ต้องเห็นตลอดสายของการปฏิบัติ
    เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของขันธ์ ๕ นั่นเอง


    (smile)
     
  10. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    คำพูดเป็นของจริง
    ถ้าอยู่กับคนจริง ถึงจะมีราคา..
    ไม่งั้น คนจะยี้...

    :boo:
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้าไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นชอบแล้ว ไม่มีทางที่จิตจะเป็นกลางได้

    สัมมาทิฐิ ปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติสัมมาสมาธิ

    จึงจะเห็นธรรม ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายยึด กับฝ่ายปล่อย

    จิตจึงจะเป็นกลางที่แท้จริง เพราะปฏิบัติทางสายกลาง (อริยมรรคมีองค์ ๘)


    (smile)
     
  12. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    สัมมาสมาธิของคุณ
    เห็ยฝ่ายยึดและปล่อยอย่างไร

    ไม่ถามฝ่ายยึดก็ได้
    แต่อยากทราบคุณปล่อยอะไร อย่างไร และเกิดอะไร..

    ({)
     
  13. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    นั่นสิเนอะ คำพูดที่จะเป็นจริงได้ ต้องพิสูจน์ได้ด้วยเหตุด้วยผล จึงจะมีราคา
    แต่คำพูดที่อ้างอิงจากตำรา ไม่ลงมือปฏิบัติจนรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็น่ายี้เนอะ


    (smile)
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณศิรัสพลครับ ใครกันแน่ครับที่เป็นมิจฉาทิฐิแบบไม่ลืมหูลืมตาบ้างเลย

    อย่างคุณไม่เรียกว่ารู้หรอกนะครับ เรียกว่านายพักลักจำเอามาพูดโดยไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงเลยเสียมากกว่า

    ผมมึคำถามให้คุณตอบตั้งมากมาย คุณไม่เคยคิดจะตอบกลับเลยนะ

    เอาแต่สิ่งคุณอยากพูดมาพูดเพื่อหักล้างเท่านั้น โดยขาดเหตุผลก็เอา

    และเอาแต่อรรถกถาจารย์มาอ้าง เพื่อแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ผมยกมาให้พิจารณากัน

    ผมพูดไว้ตรงไหนครับว่าจิตเที่ยง จิตเป็นอัตตา

    เอาหลักฐานที่ผมพูดชัดๆมาให้ดูสิครับ อย่าเอานิสัยชอบกล่าวร้ายคนอื่นไว้ก่อนมาใช้สิครับ

    ผมถามไปคุณช่วยตอบชัดๆด้วยนะครับ ในพระสูตรมีกล่าวไว้ว่า

    พระโสดาบันนั้น เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพานแล้วใช่มั้ยครับ???

    ตกลงกายของพระโสดาเป็นผู้เที่ยง? หรือโลกุตรจิตของพระโสดาเป็นผู้เที่ยง?

    คุณตวรระวังการกล่าวร้ายของคุณด้วยนะ จะเป็นการกล่าวร้ายพระบรมศาสดานะครับ???

    คนที่มีมิจฉาทิฐิอยู่ประจำใจ มักเก็บอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไว้ไม่ได้

    ใครเสนออะไรมา เมื่อไม่ถูกใจมักแสดงอาการไม่เห็นด้วยออกมาในทุกทางเท่าที่จะทำได้

    นี่หรือคนที่คิดว่าตัวเองรู้ แม้แต่กิเลสขั้นหยาบๆแค่นี้คุณยังเอาไม่อยู่เลย

    ;aa24
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ฝ่ายยึด-ตอนจิตฟุ้งซ่านหวั่นไหวปรุงแต่งไปตามอารมณ์
    ฝ่ายปล่อย-ตอนจิตสงบตั้งมั่น เพราะปล่อยวางอารมณ์ได้ ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์

    (smile)
     
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ถ้าปล่อยของคุณ มีแค่นี้ . .
    มันก็เป็นอย่างที่คุณเป็น..

    :boo:
     
  17. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เต้าเจี้ยว [​IMG]
    คำพูดเป็นของจริง
    ถ้าอยู่กับคนจริง ถึงจะมีราคา..
    ไม่งั้น คนจะยี้...


    เราไม่ได้หมายอย่างที่คุณคิด
    ลองอ่านดูดีๆ เถอะ
    ถ้าแค่นี้ไม่เข้าใจ เวลาตีความในข้อธรรม จะเป็นอย่างไรกัน.. หือ?

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  18. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้าปล่อยของคุณ มีมากกว่านี้
    คุณก็คงเก่งกว่าพระพุทธองค์

    (smile)
     
  19. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    รักษาศีลห้าหรือเปล่า ??

    คูณกำลังจะสื่ออะไร
    ปล่อย ของพระพุทธองค์ เป็นตามที่คุณบอกหรือ ??

    อ้างอิงคุณ ธรรมะสวนัง
    ฝ่ายยึด-ตอนจิตฟุ้งซ่านหวั่นไหวปรุงแต่งไปตามอารมณ์
    ฝ่ายปล่อย-ตอนจิตสงบตั้งมั่น เพราะปล่อยวางอารมณ์ได้ ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์


    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ความคิดเป็นสังขารขันธ์ เกิดจากจิตของแต่ละคน
    จิตของใครของเค้าซะด้วย ปรุงแต่งไปตามอารมณ์
    ซึ่งเป็นธรรมดาในโลก

    ถ้าชอบกัน ถึงจะไม่หมายอย่างที่คิด ก็กดอนุโมทนาให้กัน
    ถ้าไม่ชอบกัน ถึงจะหมายอย่างที่คิด ก็จะไม่เห็นด้วยซะอย่าง

    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...