NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    Madonna of the Rocks
     
  2. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    วันนี้กลับมาจากค่ายแล้ว ด้วยความร่าเริง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความชี่นบาน เวลา 3-5 วันที่ หายไป ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเหนื่อยล้า แต่ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับมีความรู้สึกอันเป็นสุข อย่างบอกไม่ถูกกับความมหัศจรรรย์ของธรรมชาติที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบ และข้าพเจ้าพร้อมจะนำสิ่งสร้างสรรค์ และคีย์ที่ธรรมชาติกระซิบบอกแก่ข้าพเจ้ามาแบ่งปันให้กับทุกท่านที่สนใจในกระทู้นี้

    F = THE FOOL AND THE FULL


    เป้าหมายของจิตวิญญาณภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ คือการกลับคืนสู่ความรู้


    พุทธมหายาน


    ธรรมชาติที่บอกข้าพเจ้ากระซิบบอกว่า "เน้น" ในการใช้สติปัญญาพิจารณา


    ด้วยรัก

    JINTAWADEE
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2010
  3. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    F = THE FOOL AND THE FULL


    เป้าหมายของจิตวิญญาณภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ คือการกลับคืนสู่ความรู้


    พุทธมหายาน

    จิตวิญญาณเมื่อมาเกิดภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการกลับคืนสู่ความรู้ เพราะ

    ความหมายที่แท้จริงของจิตวิญญาณ คือ จินตนาการ + ความรู้

    คำที่คุณหนุมานกล่าวไว้เสมอว่า "เราทุกคนมาจาก สัจจะ และจะกลับคืนสู่สัจจะ" จึงเป็นคำที่มีความหมายถูกต้อง เพราะ

    สัจจะ คือ ความจริง ซึ่งความหมายที่แท้จริง คือความเป็นจริงตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ ซึง

    ความเป็นจริงตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ คือ จินตนาการ + ความรู้

    ดังนั้น เราทุกคนมาจาก ความรู้ และจะกลับคืนสู่ความรู้ในที่สุดเสมอ

    มนุษย์ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ และอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น การที่เราจะกลับคืนไปสู่ความรู้ หรือ ดวงจิตอันประภัสสรของเราอีกครั้งนั้น ธรรมชาติท่านก็ได้เมตตาสอนข้าพเจ้าไว้ว่า KEY ที่สำคัญคือ FULL (เต็ม) เราจำเป็นต้องทำให้เต็ม (FULL) ในทางสร้างสรรค์อันไม่ตั้งอยู่บนความเบียดเบียน

    สาเหตุที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเพราะความต้องการที่จะเรียนรู้ หรือ มีประสบการณ์ ดังนั้นเมื่อแรกเกิดเราทุกคนจึงต้องเริ่มต้นจากความไม่รู้ (THE FOOL)เหมือนกันทั้งหมด โดยมีจิตภายในเป็นตัวกำหนดสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ภายนอก ว่า เราต้องการเรียนรู้สิ่งใดและจากประสบการณ์ใดบ้าง โดยประสบการณ์ทั้งหลายจะถูกทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างสมดุลย์ทั้ง 2 ขั้วตามธรรมชาติ บางท่านเรียกกฏนี้ว่า "กฏแห่งการกระทำ" ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้ ท่านก็จำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน นั่นคือ การเป็นผู้รับ ซึ่งกฏนี้สามารถกระทำได้ในแง่บวก (กรรมดี) และ แง่ลบ (กรรมชั่ว)

    การที่จะทำให้กระบวนการเรียนรู้เต็มได้ ธรรมชาติท่านก็ได้ให้ KEY แก่ข้าพเจ้าไว้ง่าย ๆ ดังนี้

    1.ขั้นตอนการเรียนรู้
    2.ขั้นตอนการพัฒนา
    3.ขั้นตอนการสร้างสรรค์

    ธรรมชาติสอนข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าต้องทำทั้งสามอย่างนี้ให้เต็ม

    1. ขั้นตอนการเรียนรู้ ธรรมชาติสอนข้าพเจ้าว่าขั้นตอนเริ่มแรกของการเรียนรู้ ก็ต้องเริ่มต้นจากคำว่า "เต็ม" ก่อนเช่นกัน คือ การตั้งกำลังใจให้เต็มไว้ก่อน คือมีเจตนาเต็มที่ มีกำลังใจเต็มที่ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง ไม่มีความลังเลสงสัยในสิ่งทีเรากำลังเรียนรู้ หรือตั้งใจจะทำ มีศรัทธานอก และ ศรัทธาใน สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อให้เกิดความมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ อันจะทำให้เราค้นพบความเป็นจริงของธรรมชาติ การที่มีคำกล่าวที่ว่า "เมื่อนักเรียนพร้อม ครูจะปรากฏตัว" ข้อความเหล่านี้เป็นความจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่อเรามีความพร้อมอย่างแท้จริง คือ เริ่มจากการสร้างกำลังใจให้เต็ม มีความต้องการเต็มที่ที่จะเรียนรู้ความเป็นจริง ปราศจากความหวาดกลัว และสามารถก้าวข้ามผ่านความเชื่อที่ทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย ซึ่งทั้งความกลัว และความลังเลสงสัยนั้นล้วนเป็นพลังงานในด้านลบทั้งสิ้น

    คุณครูที่จะปรากฏต่อหน้าท่าน มาสอนท่าน นั่นก็คือ ธรรมชาติทั้งหลายที่รายล้อมตัวเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ ปากกา เพื่อนร่วมงาน นิตยสาร ข้อความในโทรทัศน์ ธรรมชาติทั้งมวลล้วนแต่กำลังสั่งสอนเราอยู่ตลอดวันเวลา เป็นครูให้แก่เรา และชี้แนะหนทางให้แก่เราเสมอ เพียงแต่ว่าเราทั้งหลายส่วนใหญ่ยังคงปราศจากสติรู้เห็นมันอย่างชัดเจน

    ธรรมชาติภายใน เป็นตัวกำหนดธรรมชาติภายนอก = จิตภายในเป็นตัวกำหนดสภาพแวดล้อม หรือ สร้างประสบการณ์ภายนอกเสมอ


    2. ขั้นตอนการพัฒนา คือกระบวนการปฏิบัติ และ ฝึกฝน อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ จนเกิดเป็น "นิสัย" หรือ ปฏิบัติจนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ จนมองเห็นความพิเศษในความเป็นปกติของธรรมชาติ

    การหลีกเลี่ยงนิวรณ์ห้า และปฏิบัติตามหลักอิทธิบาทสี่ คือ การสร้างกำลังใจให้เต็มในการปฏิบัติ ฝึกฝน ให้เกิดเป็น "นิสัย"

    ท่านจะเริ่มเข้าใจว่า "เหตุการณ์ทีท่านกำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น ได้สอนอะไรท่านบ้าง ท่านได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง และเป็นเพราะเหตุใด"

    ทั้งนี้ความเข้าใจและการตีความของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับระดับสติสัมปชัญญะของท่าน สิ่งนี้เรียกว่า "กระบวนการพัฒนาของสติสัมปชัญญะ" ซึ่งมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับระดับของการเรียนรู้ และพัฒนา (ปฏิบัติ+ฝึกฝน)

    เมื่อระดับสติสัมปชัญญะของท่านพัฒนาสูงขึ้นไปอีกท่านก็จะค้นพบความจริงของธรรมชาติในระดับที่สูงขึ้นไปอีก และท่านจะเริ่มค้นพบความสามารถพิเศษบางอย่าง ซึ่งท่านสามารถใช้คุณประโยชน์จากสิ่งที่ท่านค้นพบได้ บางท่านเรียกสิ่งนี้ว่า"ดราละ" บางท่านเรียกว่า "อภิญญา" แต่ในการยกระดับสติสัมปชัญญะของท่านทุกครั้ง ธรรมชาติมักจะส่งบททดสอบอันยิ่งใหญ่มาสู่ตัวท่านเสมอเพื่อทดสอบว่าภาวะจิตของท่านนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง

    การค้นพบธรรมชาติภายนอก = การค้นพบธรรมชาติภายใน
    ธรรมชาติภายใน คือ จิตวิญญาณ = จินตนาการ + ความรู้
    จินตนาการ + ความรู้ = เป้าหมายในการเรียนรู้ ภายใต้ร่างกายมนุษย์

    3. กระบวนการสร้างสรรค์

    เมื่อกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้น และกระบวนการพัฒนาเกิดขึ้น คือสามารถเปลี่ยนความเชื่อไปสู่ความรู้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป ธรรมชาติก็บอกว่า ต้องทำกระบวนการสุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) นั่นคือ การสร้างสรรค์

    การสร้างสรรค์ คือการส่งเสริม และสนับสนุนซึ่งกันและกัน อย่างเต็มที่ นั่นคือการแบ่งปัน ความรู้อันสร้างสรรค์ที่ท่านทั้งหลายได้ค้นพบจากธรรมชาติ เพราะความรู้ อันปราศจากการแบ่งปัน ย่อมปราศจากความหมาย และไร้ค่า เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะทุกดวงจิตนอกจากจะมาเพื่อการเรียนรู้ การกลับไปสู่ความรู้แล้ว ยังมีอีกภารกิจที่สำคัญ คือการสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน

    เพราะแต่ละคนย่อมได้รับ KEY จากธรรมชาติ และตีความหมายในทิศทางที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคล เพราะความถนัด และ ความชอบของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งสิ่งนี้ธรรมชาติได้บอกข้าพเจ้าว่า ท่านสามารถค้นพบได้ ในแนวทางของพุทธมหายาน เพราะทุกวิถีทางล้วนถูกต้องทั้งหมด และสามารถนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ เพราะพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ให้อิสระในการเลือกแก่มนุษย์

    ทุกขั้นตอนล้วนแต่ต้องตั้งอยู่บนความสร้างสรรค์อันไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่น

    เพราะจุดมุ่งหมายคือ

    การพลิกจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้ (THE FOOL TO THE FULL) = เต็ม

    การพลิกจากขั้วลบไปสู่ขั้วบวก = เต็ม

    การพลิกประสบการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นให้เป็นไปในแนวทางสร้างสรรค์ทั้งหมด (เต็ม)


    กระบวนการเรียนรู้ทั้งสามขั้นตอนถูกใช้เหมือนกันหมดในทุกมิติโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและปราศจากจุดสิ้นสุดตามกฏของธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนสภาพไปตามมิติที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น สภาพแวดล้อมทั้งหลายที่ปรากฏในมิติของท่าน ต่อหน้าท่านทั้งหลายในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ โต๊ะ ปากกา พวกเขาต่างก็มีความเป็นจริงในโลกอื่น มิติอื่น เพียงแต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏในโลกอื่น หรือมิติอื่นนั้น ไม่ได้ปรากฏในสภาวะเดียวกันกับที่ปรากฏในมิติของโลกมนุษย์ ทุกมิติใช้กฏเกณฑ์เดียวกันหมดทั้งสิ้น


    ทุกท่านล้วนมีอำนาจปัจจุบันอยู่ในมือ ที่ท่านทั้งหลายสามารถที่จะเลือก ท่านทั้งหลายมีเส้นทางความเป็นไปได้หลากหลายอยู่อย่างพร้อมเพรียงโดยขึ้นอยู่กับ การกระทำ หรือ ตัวกระทำ ว่าท่านได้ปฏิบัติตนสอดคล้องกับเส้นทางสายใด


    ท่านปรารถนาเส้นทางสายใด วางกำลังใจเต็มที่ในเส้นทางสายนั้น ฝึกฝนปฏิบัติอย่างเต็มที่ในเส้นทางสายนั้น สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์อันสูงสุด (เต็มที่)ในเส้นทางสายนั้น ความเป็นจริงในเส้นทางสายนั้นย่อมปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุก ๆท่านตามต้องการเสมอ


    ด้วยรัก (สีแดง คือ สีแห่งความรัก และ ความอบอุ่น ต้นกำเนิดพลังงาน ตามแนวคิดบวกอันสร้างสรรค์)


    JINTAWADEE
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    การแบ่งแยก คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง เพราะผิดไปจากทางของตน ผิดจากหนทางการปฏิบัติของตน

    การแบ่งแยก คือพลังงานในด้านลบ


    ด้วยรัก

    JINTAWADEE
     
  5. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ข้อความที่ 437 พิมพ์เมื่อเวลา 10.45 p.m. วันที่ 5/05/2553

    ข้อความสำคัญ "เน้น"

    ด้วยรัก

    JINTAWADEE
     
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    "เน้น" = GRAND = หลักสำคัญ = ข้อความสำคัญ = สัจจะ = ตัวกระทำสำคัญอันจะยังผลให้เกิดการเต็มโดยสมบูรณ์แบบ

    มีหลักใหญ่ เพียง 3 ชั้น (ขั้นตอน)


    1. เรียนรู้ (การก้าวผ่านความเชื่อ สู่ ความรู้)ทำให้เต็ม คือ ทำเต็มที่ (กำลังใจเต็ม)


    2. พัฒนา (ปฏิบัติ ฝึกฝน) ทำให้เต็มที่ (กำลังใจเต็ม)


    3.สร้างสรรค์ (การสนับสนุน เกื้อกูล การถ่ายทอดภูมิปัญญา) ทำให้เต็มที่ (กำลังใจเต็ม)



    ทั้งสามสิ่งนี้ คือการทำให้เต็มครบ 3 ชั้น บางท่านเรียกการทำให้เต็มทั้งสามชั้นว่า ............... (บางท่านรู้ได้ทันที โดยการใช้สติปัญญาพิจารณา)

    *****เมื่อท่านใช้สติปัญญาเข้าพิจารณา ท่านจะพบความจริง*****

    ด้วยรัก (รักฉันนั้นเพื่อเธอ)
    ALL MY LOVE FOR U

    JP (JINTAWADEE)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  7. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ

    (ขออนุญาตินำบทความที่ดีมาเพื่อเพื่อนธรรมได้ทบทวนกันครับ)

    อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ

    วิจักขณ์ พานิช


    ด้วยเหตุที่ว่าชีวิตที่แท้เปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด ในทางกลับกันชีวิตจึงเสี่ยงต่อความโกลาหลที่มากตามไปด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ของจิตเป็นสิ่งที่น่าพึงปรารถนาหรือน่าหวั่นไหว มุมมองแตกต่างที่ว่าจะนำพาให้เราได้ไปพบกับทางเลือกของการพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้ สู่การใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมในทุกลมหายใจเข้าออกเพื่อเผชิญหน้ากับสัจธรรมความเป็นอนิจจังดังกล่าว หรือทางเลือกที่จะ “ควบคุม” ความเป็นไปได้ที่โกลาหลด้วยการไม่ยอมรับสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง จากนั้นจึงพยายามปิดกั้นศักยภาพอันไพศาลนั้นออกไปจากชีวิตเสีย การควบคุมดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า อาจด้วยเพราะผลที่เห็นได้ชัดถนัดตา และดูเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุอย่างฉับไว ไม่ว่าจะเป็นระดับสังคมที่เห็นกันได้ดาษดื่นจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย เช่น เจ้านายควบคุมลูกน้อง พ่อแม่ควบคุมลูก ครูควบคุมนักเรียน รัฐบาลควบคุมสื่อ รถถังควบคุมประชาชน เป็นต้น

    แต่การควบคุมที่ว่านั้น กำลังทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นคนเก็บกด เมื่อคนเราไม่รู้จักที่จะเผชิญหน้ากับแง่มุมที่หลากหลายของชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ชีวิตในแต่ละวันจึงกำลังถูกควบคุมความเป็นไปได้ที่กว้างใหญ่ จนไม่หลงเหลือพื้นที่ภายในให้กับการเรียนรู้ เราต่างกำลังถูกจองจำในทุกๆ ด้าน ยิ่งเราเลือกที่จะควบคุมชีวิต หรือสยบยอมชีวิตให้กับการควบคุมมากเท่าไหร่ ดูเหมือนความเครียดของผู้คนในโลกสมัยใหม่ก็ดูจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นคำถามที่ว่าทางออกแห่งการควบคุมและกดทับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะหรือ เรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคงกับการดำรงชีวิตอยู่มากขึ้น หรือการควบคุมที่ว่านั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ส่งผลดีใดๆนอกเสียจากความจำเป็นที่ต้องเพิ่มดีกรีของการควบคุมให้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ

    การแบ่งขั้วระหว่าง “โลก” กับ “ธรรม”

    ผู้คนจำนวนมากเมื่อตระหนักว่าชีวิตพบกับทางตัน ก็ตัดสินใจเลือกที่จะผละจากปัญหาแล้วหันหน้าเข้าหาวัด แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ในปัจจุบัน แม้แต่ในบริบทของศาสนธรรม กลับไม่มีคำสอนที่สามารถช่วยบรรเทาความสับสนของผู้คนให้ลดน้อยลงได้ สิ่งที่เรามักได้ยินได้ฟังจากปากของชาววัดกลับเป็นข้อความในแง่ปฏิยัติหรือปฏิเวธที่ถอดเอามาจากพระคัมภีร์ อย่างไม่มีนัยของความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติของการสร้างสัมพันธ์กับอารมณ์ในชีวิตจริงเอาเสียเลย

    “เลิกยึดมั่นกับมันเสีย อดีตมันผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
    ปล่อยวางมันซะ แล้วชีวิตจะพบกับความสุขสงบที่แท้”

    “โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องบ้า ๆ ของอารมณ์ จงควบคุมสติให้
    อยู่กับลมหายใจ อย่ามัวพลัดหลงไปกับอารมณ์ร้ายพวกนั้น”

    “ ความสุข ความทุกข์ เป็นเรื่องทางโลก ผู้ที่เข้าใจธรรมะ
    มีชีวิตอยู่เหนือสุข เหนือทุกข์”

    “อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ไปเลย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง”
    “ความรัก คือ บ่อเกิดของความทุกข์”
    ...เป็นต้น

    การยัดเยียดหลักการทางธรรมให้พอกทับหลักการทางโลกนั้น อาจทำให้รู้สึกโล่งใจไปได้สักพัก แต่หากผู้ฟังเลือกที่จะ “เชื่อ” คำสอนเหล่านั้น ชีวิตทางธรรมที่ไปรับเอามาก็ดูจะไม่มีอะไรต่างไปจากชีวิตแบบเดิม ๆ เพราะมันยังคงเป็นชีวิตแห้ง ๆ เต็มไปด้วยหลักการล้านแปด อันปราศจากความชุ่มชื้นแห่งประสบการณ์ตรงของการเดินทางด้านใน แม้จะได้ชื่ออันสวยหรูว่าเป็น “ชีวิตทางธรรม” ก็ตามที

    แม้แต่ในเรื่องของการฝึกจิตภาวนา บ่อยครั้งก็ยังหนีไม่พ้นกลเกมแห่งการควบคุมอีกเช่นเดียวกัน เทคนิคมากมายที่ถูกนำมาใช้ไปในลักษณะของเป้าหมายสูงสุด เพื่อควบคุมอารมณ์ด้านลบไม่ให้ออกมามีอิทธิพลเหนืออารมณ์ด้านบวก จนถูกมองว่าเป็นกลวิธีการแก้ปัญหาความทุกข์ที่ปลายเหตุอย่างได้ผลทันตา ความสุขสงบจากการภาวนาจึงอาจกลายเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งไปโดยปริยาย เมื่อนั้นการภาวนาก็หาได้เป็นกระบวนการฝึกฝนที่จะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับทุกแง่มุมของชีวิตได้อย่างปราศจากความกลัว มันได้กลับกลายเป็น “การลาพักร้อนจากชีวิต”หรือ “ทางเบี่ยงจิตวิญญาณ” ซึ่งหากเราฝึกฝนจนมีความชำนาญมากพอ ก็อาจจะค้นพบหนทางที่จะภาวนาแล้วหลีกหนีจากความโกลาหลทางอารมณ์ที่รุมเร้า พักจิตไว้ในฌาณขั้นใดขั้นหนึ่ง แล้วพึงเสพความสุขสงบจนเป็นที่พอใจ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามฝึกนั้น กลับไม่ได้ทำให้เราเติบโตทางจิตวิญญาณ หรือรู้จักชีวิตดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เรากำลังพยายามแยกชีวิตออกเป็นสองส่วน “ชีวิตทางโลก” กับ “ชีวิตทางธรรม” ชีวิตที่แตกแยกส่วนเช่นนั้นยังห่างไกลจากความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ในศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงมากนัก มหาสิทธานาโรปะ ตันตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของพุทธวัชรยาน ได้ตระหนักรู้ในข้อจำกัดที่ว่านี้ ท่านใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตศึกษาหลักพุทธปรัชญาจนแตกฉาน ชื่อเสียงและความสามารถของท่านเป็นที่เคารพเกรงขาม จนได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียอย่างมหาวิทยาลัยนาลันทา จนมาวันหนึ่งขณะนาโรปะกำลังนั่งอ่านพระคัมภีร์อย่างคร่ำเคร่ง เงามืดได้พาดทอเข้าปกคลุม นาโรปะหันไปพบกับหญิงแก่นางหนึ่ง เดินกะเผลก ๆ ด้วยไม้เท้า สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดลุ่ยคลุมผิวหนังเหี่ยวย่นอันเหม็นสาบ หญิงแก่มองมาที่นาโรปะ

    “เจ้ากำลังอ่านอะไร”
    “อาตมากำลังอ่านพระคัมภีร์ที่ว่าด้วยหลักพุทธปรัชญาขั้นสูง
    ที่อาตมาคงไม่สามารถอธิบายให้หญิงแก่อย่างท่านเข้าใจได้”

    หญิงแก่จึงถามต่อว่า
    “เจ้าเข้าใจคำทุกคำที่ว่าไว้ในพระคัมภีร์หรือเปล่า”
    “แน่นอน อาตมาเข้าใจคำทุกคำตามพระคัมภีร์”

    หญิงแก่ได้ยินดังนั้น ก็ดีใจยิ่งนัก แย้มยิ้ม หัวเราะ กระโดดโลดเต้น
    ควงไม้เท้า ร่ายรำไปรอบ ๆ

    นาโรปะเห็นหญิงแก่มีความสุขเช่นนั้น จึงกล่าวต่อไปว่า
    “มากไปกว่านั้น อาตมายังเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งทั้งหมดที่แฝง
    ไว้ในพระคัมภีร์อีกด้วย”

    พอได้ยินดังนั้น หญิงแก่ถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้น ร้องไห้
    ครวญครางด้วยความเศร้าโศก

    นาโรปะแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง รีบเข้าไปประคองหญิงแก่
    พร้อมถามว่าทำไมถึงต้องโศกเศร้าถึงเพียงนั้น

    หญิงแก่จึงตอบนาโรปะว่า

    “เมื่อข้าเห็นมหาบัณฑิตผู้เลื่องลือสามารถหลอกตัวเองว่าสามารถ
    เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งแห่งชีวิต ด้วยการเอาแต่นั่งอ่านพระคัมภีร์ไปวัน ๆ
    มันทำให้ข้ารู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก”


    นาโรปะได้ยินคำของหญิงแก่ ก็ถึงกับหน้ามืด รู้สึกราวกับคำกล่าวนั้นได้ตอกย้ำให้เขาหวนตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตที่แท้ที่เขาไม่เคยได้สัมผัส

    หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น นาโรปะถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาไม่สามารถหลงระเริงอยู่กับเกียรติยศชื่อเสียงจอมปลอมที่คนรอบข้างต่างยกยอสรรเสริญถึงความรอบรู้ของเขาได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจสละคราบนักบวช ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมุ่งหน้าสู่ป่าลึกทางทิศตะวันออก เพื่อตามหาคุรุผู้สามารถสอนหนทางแห่งการสัมผัสคุณค่าของการมีชีวิตที่แท้

    ชีวิตของนาโรปะเป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ซึ่งใช้เวลากว่าค่อนชีวิต ภายใต้เกราะป้องกันทางหลักการที่ล้ำลึก ชื่อเสียง เกียรติยศ สถานภาพ คำสรรเสริญเยินยอจากภายนอก กลับไม่ได้ทำให้ชีวิตภายในของเขาชุ่มชื้นอย่างที่ควรจะเป็น การศึกษาธรรมะโดยไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์กับอารมณ์นอกจากจะทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตธัมมะธัมโมที่ขาดความชุ่มชื้นแล้ว เรายังไม่สามารถที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครได้อีกด้วย เพราะเมื่อเราเลือกที่จะสร้างเกราะมาป้องกันเลือดเนื้อแห่งชีวิต เพื่อที่จะหลีกหนีต่อความทุกข์และความเจ็บปวด เราก็กำลังตัดขาดชีวิตของเราเองออกจากผู้คนรอบข้างไปด้วยพร้อม ๆ กัน แม้อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ผิวเผินอยู่บ้าง แต่สายใยเหล่านั้นก็ออกจะตื้นเขินเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแท้จริง นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ว่าหากเราจะมานั่งจิบน้ำชาถกเถียงกันเรื่องของพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงสังคมกันแล้ว การภาวนาเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตนักต่อสู้ทางสังคมรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นการทำงานเพื่อสังคมกับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณก็ยังคงต้องเป็นของแสลงต่อกันราวกับน้ำกับน้ำมันที่แยกชั้น ไม่สามารถผสมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลงตัวเสียที

    อ้างอิง
    http://palungjit.org/threads/อารมณ-์-รากฐานแห่งตันตระ.190574/


    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** การกระทำเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ****

    สังขาร วัตถุ...ไม่เที่ยง
    สัจจะธรรม....คือ ธรรมเที่ยง
    สัจจะ...คือ การปฏิบัติใน หลักโลกุตตระ
    การกระทำจากสัจจะ....คือ แก่นสาร ทำความจริงให้กับตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ณ. [​IMG]
    เมื่อวันใดที่คนเราสามารถเข้าใจจิตของตนได้จริงแท้แล้ว
    เมื่อนั้นเราก็จะสามารถเข้าใจสรรพสิ่งได้ท่องแท้เช่นกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    *-* ขอบคุณและชื่นชมมากค่ะ ที่เข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในสิ่งข้าพเจ้า "เห็น"
    <!-- google_ad_section_end -->__________________


    ขอขอบคุณสำหรับ KEY จาก น้อง LADY OF LIGHT และ น้อง ณ.


    ความเข้าใจ และ มองเห็น เป็นของคู่กัน เพราะเมื่อเราเข้าใจเช่นไร เราย่อมเห็นตรงกับสิ่งที่เราเข้าใจเสมอ

    ความเข้าใจ เป็นปัจจัยภายใน
    การมองเห็น เป็นปัจจัยภายนอก

    ภาวะจิตภายใน เป็นตัวกำหนดสภาพแวดล้อมภายนอกของคน ๆ นั้นเสมอ เพราะ จิตข้างในเป็นตัวผลักดันทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ตัวตนภายนอกสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์นั้น ๆ ได้

    มองได้ทั้งแง่ดีและแง่ร้าย (สร้างสรรค์ หรือ ทำลาย) อยู่ที่ความเข้าใจว่าเป็นไปในทิศทางใด

    มนุษย์เกิดมาเพื่อสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันในแนวทางสร้างสรรค์ เมื่อท่านรู้ และ เข้าใจในแนวทางสร้างสรรค์ ท่านก็สามารถแบ่งปัน สนับสนุนเกื้อกูลตามวิถีทาง ตามจริตของท่านให้กับ ผู้ร่วมเดินทางที่อยู่ภายใต้เครื่องพรางแห่งกาลเวลา (TIME)ท่านอื่นได้เช่นกัน

    ธรรมชาติบอกข้าพเจ้าเสมอว่า "ความรู้ที่ปราศจากการแบ่งปัน นั้นไร้ค่า เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม"

    การแบ่งปัน คือ การเสียสละเพื่อความสร้างสรรค์

    ด้วยรัก

    JINTAWADEE
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    โปรดจงมาดูด้วยปัญญา

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ JINTAWADEE [​IMG]
    ข้อความที่ 437 พิมพ์เมื่อเวลา 10.45 p.m. วันที่ 5/05/2553

    ข้อความสำคัญ "เน้น"

    ด้วยรัก

    JINTAWADEE


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    "เน้น" = GRAND = หลักสำคัญ = ข้อความสำคัญ = สัจจะ = ตัวกระทำสำคัญอันจะยังผลให้เกิดการเต็มโดยสมบูรณ์แบบ

    มีหลักใหญ่ เพียง 3 ชั้น (ขั้นตอน)


    1. เรียนรู้ (การก้าวผ่านความเชื่อ สู่ ความรู้)ทำให้เต็ม คือ ทำเต็มที่ (กำลังใจเต็ม)


    2. พัฒนา (ปฏิบัติ ฝึกฝน) ทำให้เต็มที่ (กำลังใจเต็ม)


    3.สร้างสรรค์ (การสนับสนุน เกื้อกูล การถ่ายทอดภูมิปัญญา) ทำให้เต็มที่ (กำลังใจเต็ม)



    ทั้งสามสิ่งนี้ คือการทำให้เต็มครบ 3 ชั้น บางท่านเรียกการทำให้เต็มทั้งสามชั้นว่า ............... (บางท่านรู้ได้ทันที โดยการใช้สติปัญญาพิจารณา)

    *****เมื่อท่านใช้สติปัญญาเข้าพิจารณา ท่านจะพบความจริง*****

    F = THE FOOL AND THE FULL


    เป้าหมายของจิตวิญญาณภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ คือการกลับคืนสู่ความรู้


    พุทธมหายาน

    จิตวิญญาณเมื่อมาเกิดภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการกลับคืนสู่ความรู้ เพราะ

    ความหมายที่แท้จริงของจิตวิญญาณ คือ จินตนาการ + ความรู้

    คำที่คุณหนุมานกล่าวไว้เสมอว่า "เราทุกคนมาจาก สัจจะ และจะกลับคืนสู่สัจจะ" จึงเป็นคำที่มีความหมายถูกต้อง เพราะ

    สัจจะ คือ ความจริง ซึ่งความหมายที่แท้จริง คือความเป็นจริงตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ ซึง

    ความเป็นจริงตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ คือ จินตนาการ + ความรู้

    ดังนั้น เราทุกคนมาจาก ความรู้ และจะกลับคืนสู่ความรู้ในที่สุดเสมอ

    มนุษย์ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ และอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น การที่เราจะกลับคืนไปสู่ความรู้ หรือ ดวงจิตอันประภัสสรของเราอีกครั้งนั้น ธรรมชาติท่านก็ได้เมตตาสอนข้าพเจ้าไว้ว่า KEY ที่สำคัญคือ FULL (เต็ม) เราจำเป็นต้องทำให้เต็ม (FULL) ในทางสร้างสรรค์อันไม่ตั้งอยู่บนความเบียดเบียน

    สาเหตุที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเพราะความต้องการที่จะเรียนรู้ หรือ มีประสบการณ์ ดังนั้นเมื่อแรกเกิดเราทุกคนจึงต้องเริ่มต้นจากความไม่รู้ (THE FOOL)เหมือนกันทั้งหมด โดยมีจิตภายในเป็นตัวกำหนดสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ภายนอก ว่า เราต้องการเรียนรู้สิ่งใดและจากประสบการณ์ใดบ้าง โดยประสบการณ์ทั้งหลายจะถูกทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างสมดุลย์ทั้ง 2 ขั้วตามธรรมชาติ บางท่านเรียกกฏนี้ว่า "กฏแห่งการกระทำ" ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้ ท่านก็จำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน นั่นคือ การเป็นผู้รับ ซึ่งกฏนี้สามารถกระทำได้ในแง่บวก (กรรมดี) และ แง่ลบ (กรรมชั่ว)

    การที่จะทำให้กระบวนการเรียนรู้เต็มได้ ธรรมชาติท่านก็ได้ให้ KEY แก่ข้าพเจ้าไว้ง่าย ๆ ดังนี้

    1.ขั้นตอนการเรียนรู้
    2.ขั้นตอนการพัฒนา
    3.ขั้นตอนการสร้างสรรค์

    ธรรมชาติสอนข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าต้องทำทั้งสามอย่างนี้ให้เต็ม

    1. ขั้นตอนการเรียนรู้ ธรรมชาติสอนข้าพเจ้าว่าขั้นตอนเริ่มแรกของการเรียนรู้ ก็ต้องเริ่มต้นจากคำว่า "เต็ม" ก่อนเช่นกัน คือ การตั้งกำลังใจให้เต็มไว้ก่อน คือมีเจตนาเต็มที่ มีกำลังใจเต็มที่ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง ไม่มีความลังเลสงสัยในสิ่งทีเรากำลังเรียนรู้ หรือตั้งใจจะทำ มีศรัทธานอก และ ศรัทธาใน สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อให้เกิดความมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ อันจะทำให้เราค้นพบความเป็นจริงของธรรมชาติ การที่มีคำกล่าวที่ว่า "เมื่อนักเรียนพร้อม ครูจะปรากฏตัว" ข้อความเหล่านี้เป็นความจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่อเรามีความพร้อมอย่างแท้จริง คือ เริ่มจากการสร้างกำลังใจให้เต็ม มีความต้องการเต็มที่ที่จะเรียนรู้ความเป็นจริง ปราศจากความหวาดกลัว และสามารถก้าวข้ามผ่านความเชื่อที่ทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย ซึ่งทั้งความกลัว และความลังเลสงสัยนั้นล้วนเป็นพลังงานในด้านลบทั้งสิ้น

    คุณครูที่จะปรากฏต่อหน้าท่าน มาสอนท่าน นั่นก็คือ ธรรมชาติทั้งหลายที่รายล้อมตัวเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ ปากกา เพื่อนร่วมงาน นิตยสาร ข้อความในโทรทัศน์ ธรรมชาติทั้งมวลล้วนแต่กำลังสั่งสอนเราอยู่ตลอดวันเวลา เป็นครูให้แก่เรา และชี้แนะหนทางให้แก่เราเสมอ เพียงแต่ว่าเราทั้งหลายส่วนใหญ่ยังคงปราศจากสติรู้เห็นมันอย่างชัดเจน

    ธรรมชาติภายใน เป็นตัวกำหนดธรรมชาติภายนอก = จิตภายในเป็นตัวกำหนดสภาพแวดล้อม หรือ สร้างประสบการณ์ภายนอกเสมอ


    2. ขั้นตอนการพัฒนา คือกระบวนการปฏิบัติ และ ฝึกฝน อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ จนเกิดเป็น "นิสัย" หรือ ปฏิบัติจนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ จนมองเห็นความพิเศษในความเป็นปกติของธรรมชาติ

    การหลีกเลี่ยงนิวรณ์ห้า และปฏิบัติตามหลักอิทธิบาทสี่ คือ การสร้างกำลังใจให้เต็มในการปฏิบัติ ฝึกฝน ให้เกิดเป็น "นิสัย"

    ท่านจะเริ่มเข้าใจว่า "เหตุการณ์ทีท่านกำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น ได้สอนอะไรท่านบ้าง ท่านได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง และเป็นเพราะเหตุใด"

    ทั้งนี้ความเข้าใจและการตีความของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับระดับสติสัมปชัญญะของท่าน สิ่งนี้เรียกว่า "กระบวนการพัฒนาของสติสัมปชัญญะ" ซึ่งมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับระดับของการเรียนรู้ และพัฒนา (ปฏิบัติ+ฝึกฝน)

    เมื่อระดับสติสัมปชัญญะของท่านพัฒนาสูงขึ้นไปอีกท่านก็จะค้นพบความจริงของธรรมชาติในระดับที่สูงขึ้นไปอีก และท่านจะเริ่มค้นพบความสามารถพิเศษบางอย่าง ซึ่งท่านสามารถใช้คุณประโยชน์จากสิ่งที่ท่านค้นพบได้ บางท่านเรียกสิ่งนี้ว่า"ดราละ" บางท่านเรียกว่า "อภิญญา" แต่ในการยกระดับสติสัมปชัญญะของท่านทุกครั้ง ธรรมชาติมักจะส่งบททดสอบอันยิ่งใหญ่มาสู่ตัวท่านเสมอเพื่อทดสอบว่าภาวะจิตของท่านนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง

    การค้นพบธรรมชาติภายนอก = การค้นพบธรรมชาติภายใน
    ธรรมชาติภายใน คือ จิตวิญญาณ = จินตนาการ + ความรู้
    จินตนาการ + ความรู้ = เป้าหมายในการเรียนรู้ ภายใต้ร่างกายมนุษย์


    3. กระบวนการสร้างสรรค์

    เมื่อกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้น และกระบวนการพัฒนาเกิดขึ้น คือสามารถเปลี่ยนความเชื่อไปสู่ความรู้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป ธรรมชาติก็บอกว่า ต้องทำกระบวนการสุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) นั่นคือ การสร้างสรรค์

    การสร้างสรรค์ คือการส่งเสริม และสนับสนุนซึ่งกันและกัน อย่างเต็มที่ นั่นคือการแบ่งปัน ความรู้อันสร้างสรรค์ที่ท่านทั้งหลายได้ค้นพบจากธรรมชาติ นั่นคือการถ่ายทอดภูมิปัญญา (ปัญญาประดิษฐ์) เพราะความรู้ อันปราศจากการแบ่งปัน ย่อมปราศจากความหมาย และไร้ค่า เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะทุกดวงจิตนอกจากจะมาเพื่อการเรียนรู้ การกลับไปสู่ความรู้แล้ว ยังมีอีกภารกิจที่สำคัญ คือการสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน

    เพราะแต่ละคนย่อมได้รับ KEY จากธรรมชาติ และตีความหมายในทิศทางที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคล เพราะความถนัด และ ความชอบของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งสิ่งนี้ธรรมชาติได้บอกข้าพเจ้าว่า ท่านสามารถค้นพบได้ ในแนวทางของพุทธมหายาน เพราะทุกวิถีทางล้วนถูกต้องทั้งหมด และสามารถนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ เพราะพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ให้อิสระในการเลือกแก่มนุษย์

    ทุกขั้นตอนล้วนแต่ต้องตั้งอยู่บนความสร้างสรรค์อันไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่น

    เพราะจุดมุ่งหมายคือ

    การพลิกจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้ (THE FOOL TO THE FULL) = เต็ม

    การพลิกจากขั้วลบไปสู่ขั้วบวก = เต็ม

    การพลิกประสบการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นให้เป็นไปในแนวทางสร้างสรรค์ทั้งหมด (เต็ม)


    กระบวนการเรียนรู้ทั้งสามขั้นตอนถูกใช้เหมือนกันหมดในทุกมิติโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและปราศจากจุดสิ้นสุดตามกฏของธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนสภาพไปตามมิติที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น สภาพแวดล้อมทั้งหลายที่ปรากฏในมิติของท่าน ต่อหน้าท่านทั้งหลายในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ โต๊ะ ปากกา พวกเขาต่างก็มีความเป็นจริงในโลกอื่น มิติอื่น เพียงแต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏในโลกอื่น หรือมิติอื่นนั้น ไม่ได้ปรากฏในสภาวะเดียวกันกับที่ปรากฏในมิติของโลกมนุษย์ ทุกมิติใช้กฏเกณฑ์เดียวกันหมดทั้งสิ้น


    ทุกท่านล้วนมีอำนาจปัจจุบันอยู่ในมือ ที่ท่านทั้งหลายสามารถที่จะเลือก ท่านทั้งหลายมีเส้นทางความเป็นไปได้หลากหลายอยู่อย่างพร้อมเพรียงโดยขึ้นอยู่กับ การกระทำ หรือ ตัวกระทำ ว่าท่านได้ปฏิบัติตนสอดคล้องกับเส้นทางสายใด


    ท่านปรารถนาเส้นทางสายใด วางกำลังใจเต็มที่ในเส้นทางสายนั้น ฝึกฝนปฏิบัติอย่างเต็มที่ในเส้นทางสายนั้น สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์อันสูงสุด (เต็มที่)ในเส้นทางสายนั้น ความเป็นจริงในเส้นทางสายนั้นย่อมปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุก ๆท่านตามต้องการเสมอ


    ด้วยรัก (สีแดง คือ สีแห่งความรัก และ ความอบอุ่น ต้นกำเนิดพลังงาน ตามแนวคิดบวกอันสร้างสรรค์)




    ด้วยรัก (รักฉันนั้นเพื่อเธอ)
    ALL MY LOVE FOR U

    JP (JINTAWADEE)<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** คนจริงรักษาสัจจะ ****

    ทำจริง จริงจัง เต็มที่...คือ สัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    คุณความคิดเห็นข้างบน โพสเป็นความคิดเห็น ที่ 444 ห้าๆๆเกี่ยวกันป่าวคะ
    เพราะเมื่อกี๊ก่อนกดเข้ามาเห็นเลข 444 จะเข้ามาสะแดงความคิดเห็นแล้ว
    อินเตอร์เน็ตก็เออเร่อไป เว็บดับวูบไป ซะงั้น ต้องเข้าใหม่อีกรอบ
    พอดีเคยเข้ามาอ่านเจอบอร์ดนี้ได้เกือบเดือนแล้วค่ะ แต่อ่านไม่จบ ไม่ถึงคนสุดท้ายสักที
    อยากจะสะแดงความคิดเห็นแต่ก็ไม่รู้จะสะแดงอะไร แบบว่าอ่านแบบงงงง
    เลยอ่านไเรื่อยๆ พอดีมีอยู่วันนึงค่ะ มีคนโทรเข้ามาตอน 11.11 ตอน 5 ทุ่ม 11 นาที
    รู้สึกจะเป็นเบอร์ตู้จาก กทม. ไม่ค่อยมีใครที่อยู่ กทม. โทรมาหาเลย
    คิดอยากจะโทรกลับ แต่ดันไปคิดถึงเรื่องมนุษต่างดาว เลยแอบหลอนเล็กน้อย

    ช่วงนั้นไปอ่านเจอเรื่องมนุษต่างดาวหรืออะไรนอกโลกสักอย่างเลยหลอนค่ะ
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** ธรรม คือ การกระทำ ***

    การกระทำ...ตามองเห็นได้ จบแล้วก็ผ่านไป
    ตัวกระทำ....มองไม่เห็นด้วยตา เสมือนถ่ายVDOเก็บไว้ จะติดตัวเราไปชั่วกัปชั่วกัลป์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    เอ่าไม่ทัน ๆ 55555 โดนแซงไป 2 แล้ว "คุณความคิดเห็นข้างบน"
    หมายถึงคุณ (JINTAWADEE) ค่ะ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** แรงดึงดูด ****

    โลก มีแรงดึงดูด
    วัตถุธาตุ... เป็นสิ่งที่มองเห็น ถูกดูดติดอยู่กับโลก
    มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้....เป็นสังขาร ประกอบด้วย ดินน้ำลมไฟ ก็ถูกดูดติดอยู่กับโลก เช่นกัน

    วิญญาณ....เป็นตัวตนแท้จริง ที่มองไม่เห็นด้วยตา
    บนโลกนี้....วิญญาณที่มองไม่เห็น อาศัยในสังขารวัตถุธาตุที่ตามองเห็น
    ตัวตนแท้จริงของเรา...ก็อาศัยอยู่ในสังขาร เนื้อหนังในร่างกายมนุษย์
    เราจึงไม่รู้ว่า....ตัวตนแท้จริงของเราเป็นอย่างไร เพราะตามองไม่เห็น

    ถ้าวิญญาณของเรา...ยังมีพันธะผูกพัน อะไรก็ตามบนโลก
    เมื่อสังขารดับลง....วิญญาณก็ต้องเกิดใหม่ ด้วยสังขารบนโลกอีกครั้ง

    สัญญา...เป็นพันธะผูกพัน เมื่อมีการกระทำร่วมกันมา
    เป็นแรงดึงดูด ให้ตัวตนที่มองไม่เห็นได้พบกัน
    คนสองคนชาติก่อน เคยเก็บดอกไม้ต้นเดียวกันมา
    พอเห็นร่างกายสังขารกันแวบเดียว ก็รู้สึกชอบ มีอารมณ์ขึ้นมา


    การหลุดพ้น จากการเกิดใหม่...คือ หลุดพ้นไปจากโลก ออกไปนอกโลก
    จะหลุดไปจากโลกได้....ก็ต้องหมดพันธะ กับทุกสิ่งบนโลก
    คือ หมดพันธะ กับสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ประกอบด้วย ดินน้ำลมไฟ

    แล้วโลกดูดอะไรของเราไว้ เราถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด ติดอยู่บนโลก
    พันธะที่ดึงดูดเราไว้กับโลก ... ก็คือ นิสัย
    เพราะ นิสัยมนุษย์....จะผูกพันกับสังขารวัตถุธาตที่มองเห็น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    ว๊าววววว....ขอบคุณท่านหนุมาน ผู้นำสาร ข้อความของท่านสุดยอดจริงๆค่ะ
    *** แรงดึงดูด **** เข้ากับสถานะการในยามนี้ที่ข้าพเจ้าต้องประสบพบเจอได้เป็นอย่างดี ขอบคุณมากนะคะที่โพสข้อความดีดีให้อ่านเสมอมา อารมณ์นี้ต้องร้องเพลงนี้
    อยากจะหลุดพ้นโลกแต่ติดแรงดึงดูด 55555 จัดหนักกันเลยทีเดียว
    *** คือนั้นคืนไหนใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ *** ฮิ๊วววว
     
  17. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    ตื่น แล้วจะ เห็น

    ดวงตาเห็นธรรม
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** แนะนำให้ฟังเพลงที่เป็นคำถาม ****

    วงT-BONE เขาถามไว้ด้วย เพลงแรงดึงดูด
    เราหนุมาน ผู้นำสาร ได้ตอบแล้วนะ
    เรื่อง แรงดึงดูดใจ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    ข้าพเจ้าจินตวดี ก็เคยมีความคิดผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ธรรมชาติได้สอนข้าพเจ้าว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือธรรมชาติ แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณอันอยู่ภายในตัวเรา (ปัจจัยภายใน) ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์มักถูกบดบังด้วยปัจจัยภายนอกจนมองเห็นว่าข้อมูลทั้งหลายเป็นเรื่องนอกโลก หรือ ต้องเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวเสมอ จนลืมนึกถึงความเป็นจริงของธรรมชาติของจิตวิญญาณอันแท้จริง ที่ต้องสนับสนุนเกื้อกูลกันโดยรอบ มนุษย์ไม่ได้มีเพียงตัวตนเดียวโดด ๆ ในโลกนี้และจักรวาลนี้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องอีกในระดับมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติที่อยู่ภายใต้เครื่องพรางแห่งกาลเวลา หรือ อยู่ภายนอกเครื่องพรางแห่งกาลเวลาก็ตาม"

    ธรรมชาติได้ให้ KEY แก่ข้าพเจ้า ด้วยคำว่า "อุบัติเหตุ" ถ้าข้าพเจ้ามองในแง่ไม่สร้างสรรค์อาจคิดถึงเหตุเภทภัยใด ๆที่จะเกิดขึ้น แต่จิตของข้าพเจ้าภายในกลับบอกออกมาว่า "เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นหรือเกิดขึ้นเพื่อบอก สอนหรือ เตือนอะไรบางอย่างแก่เรา" โดยรอให้เราใช้สติปัญญาที่เปรียบดั่ง กุญแจ (KEY) เข้าพิจารณาหรือ ไขเข้าไปเพื่อค้นพบความจริง

    เลข 444 และ 11 บอกอะไรแก่ท่าน เพราะอะไรที่ท่านเข้ามาที่บอร์ดนี้ เพราะ แรงดึงดูด หรือ พันธะบางอย่างหรือไม่ สัญชาติญาณภายใน จะบอกท่านได้เป็นอย่างดี


    การปล่อยวาง คือ การวางใจในสัญชาติญาณ


    สัญชาติญาณ คือ ธรรมชาติอันแท้จริงของจิตวิญญาณอันปราศจากการปรุงแต่ง


    ด้วยรัก และ รอ (เงื่อนไขภายใต้เครื่องพรางแห่งกาลเวลา = TIME)

    JINTAWADEE
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2010
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ความฝัน

    ข้าพเจ้าไปที่เมืองแห่งหนึ่ง ปากทางเข้ามี เจดีย์เก่าแก่ เมืองนั้นประกอบไปด้วยผู้คนหลายเชื้อชาติ ข้าพเจ้ามองไม่เห็นคนไทย จนจะถึงปากทางออกจึงเจอศาลาทรงไทย ภายในศาลาทรงไทยนั้นมีคนไทยอยู่จำนวนหนึ่งแต่เพียงน้อยเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังดีใจที่ได้พบคนไทย พวกเขาร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข ข้าพเจ้าออกนอกเมืองนั้นมา พบนักวิชาการมากมาย พวกเขากำลังอยู่ในพิพิธภัณฑ์ดูมุงดูรูปภาพหนึ่งที่สำคัญมาก ข้าพเจ้าบอกว่ารูปภาพที่ท่านกำลังดูอยู่นั้น "ของเทียม" ข้าพเจ้าจะพาไปดู "ของแท้" ข้าพเจ้าอาสาพานักวิชาการเหล่านั้นไปดูรูปของจริง ที่เมืองที่ข้าพเจ้าพบมา ตรงปากทางเข้า ข้าพเจ้าต้องขับรถข้ามสะพาน แต่สะพานกลับหักกลาง ข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งจะขับรถข้ามไปโดยอาศัยกำลังใจเต็มที่ มีเสียงบอกข้าพเจ้าว่า "รอน้ำขึ้นก่อน สะพานจึงจะมาเสมอกัน แล้วจะทำให้ข้ามง่าย" แต่ข้าพเจ้าไม่รอ ขับรถข้ามสะพานไปเลยทั้งที่ใจก็ยังกังวล แต่ปรากฏว่า ข้าพเจ้าพานักวิชาการเหล่านั้น ข้ามสะพานเข้าเมืองไปได้ เมื่อถึงเมืองนั้นแล้ว พวกเขาแยกย้ายกันไปโดยไม่เหลียวหลัง ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น ภารกิจสิ้นสุด


    JINTAWADEE
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...