ความแตกต่างระหว่างการฝึกแบบพระป่าและปัญญานำ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 25 เมษายน 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มี รูปแบบการปฏิบัติธรรมะเท่าที่เห็นตอนนี้ คือ แบบหนึ่ง คือ ฝ่ายพระป่า และ สมถะนำ
    อีกแบบหนึ่ง คือ ฝ่ายปัญญานำ หรือ แบบกึ่งเซ็๋น หรือ แบบเว่ยหลาง หรือ แบบหลวงพ่อเทียน
    ทั้งสองแบบแตกต่างกันอย่างไร ? จะกล่าวให้ฟัง

    แต่ ขอเกริ่นนำก่อนว่า ทั้งสองแนวทางนั้นนำไปสู่ การหลุดพ้นได้ แต่แนวทางพระป่า สมบูรณ์แบบกว่า อย่างไรนั้นเดี๋ยวจะกล่าวให้ฟัง

    อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ใช้ปัญญานำ ไม่เน้นไปที่การทำสมาธิ แต่เน้น ทำให้รู้สึกตัว ให้เกิดญาณทัสนะ

    ก็ต้องถามว่า
    1 เมื่อเกิดญาณทัสนะแล้ว ถึงที่สุด แห่งธรรมหรือไม่ ตอบว่า ยังไม่ใช่ที่สุดและยังต้องยกวิปัสสนาขึ้นพิจารณาต่อ
    2 มีประโยชน์อะไรเมื่อได้ญาณทัสนะ ตอบว่า ทำให้คนได้ญาณทัสนะมีปัญญามากขึ้นเห็นตามความจริงมากขึ้น นำไปสู่การวางทุกข์ได้เป็น
    3 จำเป็นต้องได้ญาณทัสนะ ไหม ตอบว่า จำเป็นต้องได้ญาณทัสนะจึงจะดำเนินไปได้ตรงทาง
    4 สายพระป่ามีญาณทัสนะไหม ตอบว่า มีแน่นอน แต่ท่านมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่ตื่นกับ ญาณทัสนะ เรียกว่า วางญาณทัสนะลงได้
    4 ญาณทัสนะ เป็นอย่างไร ทำอย่างไร

    ตอบว่า ญาณทัสนะ คือ ตัวปัญญาอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเมื่อจิตมีกุศลมากพอ อันจะทำให้รู้สึกตัวว่า ปรุงแต่งอยู่ มีหลายระดับ เช่น วิมุตติญาณทัสนะ มัคคามัคญาณทัสนะ ( ไปหาดูเอาเอง) นักปฏิบัติทุกท่านจะมีญาณทัสนะเกิดขึ้น และจะสามารถ ทำให้รู้เท่าทัน ความปรุงแต่ง และโลกสมมตินี้ได้กระจ่างขึ้น ตามลำดับชั้นแห่งปัญญา

    อาการที่ได้ญาณทัสนะเป็นอย่างไร ตอบว่า เหมือนคนหลับอยู่แล้วตื่นขึ้นมารู้ตัวว่า ได้หลับไป ไม่ใช่เรื่องวิเศษ แต่ก็เป็นความวิเศษที่สุด เป็นความเรียบง่ายบนความซับซ้อน

    ทำอย่างไรจึงจะได้ญาณทัสนะ

    ในวิธีการ ของหลวงพ่อเทียน คือ ทำให้ตื่นด้วยการ เจริญสติ เว่ยหลาง ฮวงโป เซ็น หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ แต่ขอบอกตามตรงนะครับว่า การได้ญาณทัสนะ จะต้องมีเหตุ และ เหตุของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าจะไปฝึกตามหลวงพ่อหรือ วิธีการของท่านแล้วจะได้เหมือนกันทุกคน เพราะอินทรีย์แตกต่างกัน
    กุศลที่สร้างมายังแตกต่างกัน การให้คนไปปฏิบัติแบบนั้น จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องได้ผลเหมือนกัน

    การจะทำแบบหลวงพ่อเทียน หรือ เว่ยหลาง หรือ ฮวงโป ให้ได้ผล จะต้องสะสมอินทรีย์ บุญ จนเพียงพอที่จะเติมเต็มแล้ว จึงจะไปฝึกแล้วได้ผลดี

    สำหรับคนที่ ยังมีนิสัย สันดาน ที่ฝึกได้ยาก เบื่อง่ายหน่ายเร็ว วอกแวก ก็ยังไม่สมควรไปฝึกแบบนั้น

    การทำญาณทัสนะ ให้เกิด จะต้องเป็นผู้มีสติ ว่องไว รวดเร็ว จับ ความว่างบนความไม่ว่างได้ทัน มีสติปัญญาไหวพริบ ดี

    เช่น บางคนเคลื่อนไหวมืออยู่ จิตไปเห็นแยกระหว่าง ความคิด กับ ความรู้สึกได้ ไปสังเกตุทันได้ว่า ระหว่างขยับมือ ไม่มีความคิดชั่วขณะ และขณะนั้นจิตก็คิดขึ้นมาชั่วขณะ ซึ่งเกิดปัญญาเห็นได้ว่า นี่คือความคิด นี่คือรู้สึก จิตก็เกิดตื่นขึ้นมา หยุดปรุงแต่งไป เหลือแต่ ความรุ้สึกตัวล้วนๆ
    นี่ เกิด ญาณทัสนะขึ้นทันที

    แต่ทีนี้ ความฉลาดตรงส่วนนี้ เป็นเพียงเบื้องต้น ความหลอกของกิเลส ยังไม่ใช่ แค่ ล่อหลอก ระหว่างความคิดกับความรู้สึกที่ปนกันเท่านั้น ยังมี

    ความหลงกับความรู้สึก ความปรุงกับความรู้สึก เหนือขึ้นไปอีกหลายระดับ ซับซ้อน

    บางคนจึง พึงพอใจกับญาณทัสนะเบื้องต้นที่ตนได้ เรียกว่า อุปกิเลส


    ขอพูดแค่นี้ก่อน เยอะ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คนเมื่อได้ ญาณทัสนะเบื้องต้น หรือ องค์ปัญญาเบื้องต้น ก็ตื่นเต้นระคนดีใจ
    ว่า นี่แหละ คือ สิ่งที่พระศาสดาพูดไว้ไม่มีผิด จะไปผิดได้อย่างไร มันเหมือนคนตื่นจากหลับ
    ก็ต้อง ชัดเจน เป็นปัจจัตตัง ใครจะมาพูดอย่างไรเสียให้ยาก สิ่งนี้เรารู้ได้ด้วยตัวเราเองแล้ว

    เรียกว่า อุปกิเลส คือ ศรัทธากล้า ปัญญากล้า

    เข้าใจใน สมมติ และ ปรมัตถ์
    ก็จะเกิดปัญญา เห็นว่า นี่ทำไมจะต้องไปนั่งสมาธิให้เมื่อยตุ้ม ในเมื่อ ทำแบบนี้แล้วเกิดผลทันที และ ผลนั้นไม่ได้อยู่ที่ สมาธิ ทำฌาณเลยสักนิดเดียว

    นี่ พวกปัญญานำ เขาเห็นกันแบบนี้ แม้หลวงพ่อปราโมทย์ เว่ยหลาง ฮวงโป เห็นตัวนี้หมด
    เช่น คำกล่าวที่ว่า จะต้องไปหาที่ไหน แค่วางลงไปให้หมด ไม่ต้องแสวงหาจึงจะเจอ
    บางท่านจึงสอนว่า ให้ไปเดินเฉยๆ ไม่ต้องอยากทำอะไร บางท่านเดินไปเดินมา พบ
    ทัสนะขึ้นทันที

    ก็เกิด การถกเถียงกัน ว่าแบบใดจึงจะถูก

    ในสมัย เว่ยหลาง กับ ชินเชา ก็โต้แย้งกันมาแล้ว แต่ว่า ในตอนที่โต้แย้งกันนั้น

    เว่ยหลาง น่าจะได้โคตรภูญาณแล้ว ดังโศลกที่เขียน ว่า ไม่มีกระจกไม่มีฝุ่นจะต้องไปทำอะไร
    ชินเชาน่าจะ ดำเนิน มรรควิถี แต่ ไม่ได้หมายความว่า ได้เป็นพระอริยบุคคลนะครับ
    จากโศลกที่ว่า

    มีกระจก มีฝุ่นมาจับ เราต้องคอยปัดฝุ่นเสมอ

    ย้อนมาดูที่ หลวงพ่อปราโมทย์ ที่บอกว่า ให้ดูเฉยๆ นี่ท่านก็คงจะหวังให้ ศิษย์ของท่านเกิดอาการฟลุก คือ เห็นทัสนะ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ด้วยการไม่ต้องเอา ปัญญาไปคิดพิจารณาอะไร เหมือนแมวจับหนู ตาม คุณ ศุภวรรณ กรีน คือ รอตะคุบ
    ดูไปเถิด ดูไป เดี๋ยวมันอิ่มมันพอ มันเห็นเอง

    แม้ท่านฮวงโป ก็บอกว่า อย่าไปวิพากษ์ จิตหนึ่งนั้น ลองไปให้ความหมายสิ มันจะกลายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา

    แม้แต่ ท่าน รินไซ ปรมาจารย์เซ็น ยุคต่อมา ไม่สอนอะไรเลย ศิษย์มาถามอะไร เอาไม้ฟาดลูกเดียว แถมยัง เปล่งเสียง ดังๆ ให้จิตหยุดปรุงทั้งปวงด้วย

    นี่คือ วิถีแห่งการสร้าง ญาณทัสนะ คือ การหยุดปรุงแต่ง ทั้งปวง

    แล้ว ถามว่า ทำไมหลวงตามหาบัว พระป่าสายพระอาจารย์มั่น ให้ กลับไปนั่งสมาธิ กำหนดพุทโธ บริกรรมให้แนบไป

    แล้ว วิธีใดกันแน่ ที่เหมาะสม ที่ควรต่อ นักปฏิบัติอย่างแท้จริง

    เดี๋ยวค่อยมาพูดต่อครับ
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    รอไม่ไหวครับ ขอแสดงความเห็นหน่อย

    วิธีไหนๆก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าทางนั้นถูกจริตเรา ถูกไหม

    จะปัญญานำ หรือสมถะนำ ทุกอย่างไม่มีฟลุ๊คในพุทธศาสนาครับ

    กระผมเห็นว่า ที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรต่อนักปฎิบัติอย่างแท้จริงและเที่ยงตรงที่สุด คือ ปรับปัญญาให้เป็นสัมมาทิฎิก่อน หากปฏิบัติเพราะเขาว่าดี เพราะเขาว่าเหมาะสม เพราะเห็นเขาทำแล้วได้ดี แต่ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถแทงทะลุตลอด มันก็ผิดตั้งแต่เริ่มแล้วล่ะ

    เห็นพูดถึงเซน ก็จะพูดถึงเซนบ้าง
    การบรรลุซาโตริ เซนมุ่งให้มนุษย์เข้าถึงธรรมชาติแท้ของตัวเอง โดยมีแนวคิดดำเนินชีวิตด้วยวิธีฝึกตนให้มีสติอยู่กับตน สู่จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นเรื่องปัจเจกซะส่วนใหญ่ หมายความว่ารู้เฉพาะตน ถ้าอธิบายก็ไม่ใช่เซน ถูกไหม
    แต่ดูรวมๆ คนมักเหมาเป็นเรื่องทางของดูจิต

    ต่างจากการดูจิตในสติปัฏฐาน4 ตรงพิจารณาจิตในจิต
    กาย เวทนา จิต ธรรม
    การพิจารณา กาย หรือเวทนา หรือจิต ล้วนเป็นไปตามจริต เป็นไปตามความละเอียดและปัจจัยของบุคคลนั้นๆ

    หลวงพ่อเทียนเน้นไปทางกายและได้เวทนาแถมมา
    หลวงพ่อปราโมทเน้นดูจิตนั่นก็ได้เวทนาทางจิตแถมมา
    แต่ผลลัพธ์ย่อมเข้าทางปัญญา นั่นคือธรรม ซึ่งก็ต้องมาพิจารณาธรรมในธรรมกันต่อไป

    ส่วนสมถะจะเข้าฌาณกันลึกอย่างไร ก็ต้องถอยออกมาสู่วิปัสสนา
    ตรงนี้กระบวนการปัญญาธรรมพึ่งเริ่มต้น ที่นี้ผมจะไม่พูดแนวอะไรดีหรือไม่ดี เพราะจากสิ่งหนึ่งสู่สิ่งหนึ่ง ทุกอย่างย่อมเกื้อกูลกัน เป็นปัญญาหลุดพ้นเหมือนกัน

    ทั้งสองทางที่ยกตัวอย่างมานั้น นั่นอยู่ในสติปัฏฐาน4 ทั้งนั้น
    มีทั้งปัญญาและสมถะคู่กันและเราไม่แบ่ง ว่านี่สมถะ นี่ปัญญา

    ท่านพุทธทาส ภาพของท่านคนเข้าใจกันทั่วว่าท่านเป็นสายปัญญา
    แต่น้อยคนที่ทราบว่าท่านก็ทำอาณาปาสติตลอดจนท่านสิ้นลม

    คุยกันหนุกๆตามเหตุนะอาจารย์ ไม่ได้มาโจมตีกัน หุหุ

    :cool:
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เดี๋ยวคุณค่อยๆ อ่านไปแล้วคุณจะรู้เอง ว่า ฟลุ๊ค หรือไม่ฟลุ๊ค เป็นอย่างไร
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ยังแยกประเด็นไม่ถูก ระหว่าง พระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้อง กับ กุศโลบาย
    และ คุณก็แยกไม่ถูกระหว่าง คำสอนที่ครบ หรือ ไม่ครบ
    และ คุณก็แยกไม่ถูกระหว่าง คำสอนที่พาไปถึงและไม่ถึง

    คุณจะบอกว่า วิธีไหนๆ ก็ดีหมดไม่ได้หรอกครับ อ่านก่อน วิเคราะห์ก่อน

    คุณ อย่าบิดเบือน คำว่า ปัญญานำ หรือสมถะนำ ถ้าถูกต้องตามพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีฟลุ๊ค แต่ผมกำลังพูดถึง คำสอนที่ไม่ตรง ไม่ได้พูดคำสอนที่ตรง


    แสดงว่า คุณสรุปว่า หลวงพ่อปราโมทย์ มีัสัมมาทิฎฐิ แต่ พ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่มีสัมมาทิฎฐิหรือ ถ้าคุณไม่ได้สรุปเช่นนั้น คุณก็ควรฟังก่อน


    พูดส่วนนี้ ไม่รู้เรื่อง แสดงให้เห็นว่า คุณยังไม่เข้าใจว่า เซ็นเขารู้อะไรมา

    คุยสนุกๆ ตามเหตุ ได้เลย

    ไม่ต้องกังวลเรื่องโจมตี หรือ ยกยอ ถ้ามีเหตุผล
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มาพูดต่อ ว่า ปัญญานำ นั้่นเกิดอะไรขึ้น

    ซึ่งน่าเป็นห่วง ว่า เมื่อผู้ที่ได้ ญาณทัสนะ นิดๆ หน่อยๆ บางคนเห็นรูปนามปรากฎ

    แต่ตนประมาท ก็คิดว่า นั่นคือการบรรลุธรรม

    บางคนวิปัสสนา เกิดวิปัสสนาญาณ เห็น รูปนาม เกิดดับ ทีนี้ เกิด ทัสนะขึ้นในความหมดจดในสมมติ ก็นึกว่า ตนเองบรรลุธรรม

    ทีนี้ เราต้องมีสติ อย่าประมาทว่า เขาให้เราวิปัสสนาเพื่ออะไร เพื่อชำระกิเลสที่มีในใจใช่หรือไม่ แล้วไอ้ตัวกิเลสที่มีในใจ นี้มันเป็นอย่างไร มันมีไม่น้อยนะครับ

    แล้ว คนที่มีทัศนะ คนที่รู้ เห็น รูป นาม เกิดดับ นี่ดับกิเลสหรือยัง

    ตอบว่า ยังนะครับ มันดับแค่ตัวโง่ ตัวแรก หรือ ดับตัวโง่บางตัว

    เช่น เคยโง่มา ไม่เคยมองว่า รูปนาม เกิดดับ พอมาเจริญสติ นิดๆหน่อย เห็นรูปนามเกิดดับ ก็เกิดความฉลาดขึ้นมา ทีนี้ มันฉลาดขึ้นมาคือ เห็นแค่ความจริงว่ามันเกิดดับ
    แต่ ถามว่า ละกิเลสอะไรได้หรือยัง หรือละได้แค่ไหน

    บางคน เจริญสติไป เห็น ความเกิดดับ ของโทสะ ซึ่ง ศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ มักจะเห็น โทสะ เพราะของมันหยาบสุด เห็นได้ง่ายสุด
    เมื่อเห็นแล้ว ก็ ตื่น ดีใจ คิดว่าตนเองมีปัญญาแล้ว ต่าง ออกมาพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า

    ก่อนหน้านี้ โกรธง่าย ไม่รู้ตัว พอมาฟังหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วพอโกรธปั๊บ รู้ตัวทันทีแล้วมันก็ดับไป

    โอ้ อันนี้ อยากจะบอกว่า มันฉลาดขึ้นมาแค่เสี้ยวเดียว ทำไมตื่นกัน
    แล้ว ชีวิตมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง นอกเหนือจากเรื่องโกรธ
    จะไปบอกว่า เลิศเลอ ได้อย่างไร ในเมื่อ เด็ก คนแก่ คนป่วย ก็ไม่ค่อยจะโกรธ
    บางคนโกรธแป๊บเดียวก็หาย

    เอาง่ายๆ เท่านั้นก่อนนะครับ สำหรับ เรื่องการดับกิเลส

    ทีนี้ มาดูกันว่า ปัญญานำ เป็นอย่างไร


    ปัญญานำ ที่แท้จริง ในสายพ่อแม่ครูอาจารย์ ก็มี อย่างหลวงพ่อสิงห์ทอง ท่านก็ใช้่ปัญญานำ ท่านเป็นสุขวิปัสสโก เน้นที่ การใช้ปัญญาพิจารณาตามเหตุตามผล
    และท่านก็ไม่ได้ ให้ทำสมาธิอะไรมากมาย เพียงแต่ให้พุทโธ ให้จิตสงบให้เป็น

    ทุกวันนี้ เวลาหลวงตามหาบัวท่านเทศสอน หลวงพ่อสงบ หลวงปู่เทส ท่านก็สอนให้พิจารณา หรือ ปัญญานำ กันทั้งนั้น

    เดี๋ยวมาต่อให้ ว่า สองทางนี้ ต่างกันอย่างไร
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาง่ายๆ ก่อน แบบกระชับ

    แล้วจะมาขยายความให้ภายหลัง

    วิธีการ แนวเซ็น แนวหลวงพ่อปราโมทย์ เป็๋นเหมือนคน ที่ เห็นกุหลาบสวยแล้วรีบจับ
    แล้วบอกให้คนอื่นกำ เพราะตนเองยังไม่แจ้ง ในมรรคผล จึงยังไม่รู้ว่า ทางสายตรง และ ผลที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไร สอนให้คน ไม่เดินตามทาง


    วิธีการพ่อแม่ครูอาจารย์ พิจารณาถ้วนถี่ ไม่ประมาท รู้ว่า โทษอยุ่ตรงไหน กิเลสอยู่ตรงไหน
    สอนให้คน ตะล่อมเข้าสู่ทางที่แคบ ตรง ถึง พระนิพพาน

    เดี๋ยวค่อยมาพูด ในหลักการ ว่าทำไมผมถึงบอกอย่างนั้น
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กรุณาเรียงลำดับความหยาบและละเอียดของสิ่งที่จิตสัมผัสให้เป็นที่ทราบกันด้วยครับ ว่าโทสะ โลภะ โมหะ และ ราคะ มีความละเอียดแตกต่างกันอย่างไร
    สาธุครับ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะรู้ไปทำไม

    จะเอาไปท่องจำหรือ
     
  10. Dhamma T-PO

    Dhamma T-PO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +184
    รออ่านต่อครับ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีอขอรับ ท่านขันธ์
     
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาครับสำหรับคำตอบ ถ้าท่องให้จำก็คงท่องไปจนตาย ตายแล้วตายอีกจริงๆ อย่างท่านว่าครับ
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ทำไมท่านขันธ์..จึงมีจิตที่แยกแยะธรรมได้ชัดเจนยิ่งนัก ทั้งหลักเกณฑ์ หลักการใหญ่ๆ มิใช่ส่วนย่อย ผมมิได้ชมแต่อยากเป็นอย่างท่านขันธ์บ้าง ท่านอ่านตำราใดจึงแยกแยะได้ชัดเจน ลึกซึ้ง เข้าใจง่ายจริงๆครับ อีกทั้งท่านมั่นใจเหลือเกินในภาษาที่ท่านสื่อ สาธุ
    ท่านขันธ์ ลงมือปฏิบัติก่อน หรืออ่านตำราก่อนจนเข้าใจแล้วจึงลงมือปฏิบัติครับ อยากทราบแนวทางบ้างหากไม่รบกวนครับ
    ...อุปกิเลส ร้ายกาจถึงเพียงนี้ทีเดียวหรือครับ สาธุ ขนาดแยกรูป นาม ได้ยังปฏิบัติได้แค่อุปกิเลสเท่านั้นเอง ..!
    ผมพบคนๆหนึ่งในพันทิพ ใช้ชื่อ ก็อกน้ำ..เขาสามารถแยกรูปนามออกมาเขียนสื่อภาษาปฏิเวธได้อย่างดี ใช้สติแยกแยะปัญหาธรรมมาตอบ ได้เด่นกว่าคนธรรมดาแต่ไม่เท่าท่านขันธ์...จากการสังเกตุของผมเขามีอาการก้าวร้าวในภาษา หยิ่งยโส ในภาษาที่สื่อมากคล้ายคนไร้เมตตา ผมครุ่นคิดถึงอาการของเขาแล้วเทียบกับการปฏิบัติของผม ผมคิดเองว่าเขาผิดปกติอะไรสักอย่าง หากปฏิบัติธรรมถูกน่าจะนุ่มนวล เมตตา ไม่กระด้าง อาการแบบนี้ท่านขันธ์ พอเข้าใจเขาไหมครับ จากการเล่าของผม เขาฝึกสายหลวงพ่อเทียนครับ
     
  13. Dhamma T-PO

    Dhamma T-PO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +184


    เห็นด้วยกับท่าน สับสน ท่านขันธ์สามารถแยกแยะธรรมได้ชัดเจนยิ่งนัก สาธุ สาธุ
     
  14. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    ขอถามท่านขันธุ์หน่อยก็แล้วกัน ไม่อยากตั้งกระทู้ถาม
    เรื่องบริกรรม
    หลังจากติดคำบริกรรมมาอยู่พักหนึ่งแต่มาช่วงหลังคำบริกรรมดันหายก็พยายามจะเกาะติดแต่ไม่ค่อยเหมือนมาฝึกบริกรรมใหม่ พยายามนึกแต่ไม่ค่อยจะนานสักเท่าไรก็กลับมาสู่สภาวะเดิม
    ทำไม เพราะอะไร วิธีแก้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2010
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    มานอนรออ่าน อีกรอบ...ผมจะไม่ไปไหนอีกเด็ดขาด
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สรุปว่า
    สติยังมีกำลังไม่มากพอ เหมือนคนที่ไม่มีกำลังอยู่ดีๆ จะไปยกของหนัก

    เพราะว่า จิตมันมี สังขารปรุงแต่งอยู่มาก กำลังที่จะปรุงแต่งมันเยอะ

    ให้ใช้อนุสติ บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะค่อยๆ ตะล่อมจิตที่ปรุงแต่ง ให้มีกำลังน้อยลง

    หรือ เจริญสติกับ อริยาบท บ่อยๆ ก็ได้

    พักผ่อนให้มาก เรื่องธาตุขันธ์ ก็สำคัญ

    แล้ว เอาใจที่ปราศจากกังวล นั้น มาจับคำบริกรรม จิตจะไม่สอดส่าย ถึงแม้ว่า อาจจะมีสอดส่ายบ้าง ก็มีกำลังน้อย เพียงพอที่เราจะดึงกลับมาได้ไม่ยาก
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เดี๋ยว จะมาต่อให้ครับ วันสองวันมานี่ จิตมันไม่ออก ธรรมเลยไม่ออก
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มาพูดต่อใน 2 ประเด็นข้างต้น

    ในส่วนของ การที่บอกว่า ใช้ปัญญานำ ผมเห็นว่า คำสอนของท่านเว่ยหลาง ก่อน มรณภาพนั้น เป็น อริยมรรค ส่วนคำสอนในนิกายเซ็น ต่อๆ มาเป็นเพียง การพูดในทัสนะเท่านั้น คำสอนที่ว่า ของท่านเว่ยหลาง นั้นคือ

    การพิจารณา ให้เห็น ความสุดโต่งในทางตรงกันข้ามสองทาง การพิจารณาเช่นนี้ ถือว่า เป็นวิปัสสนาญาณ ที่รวมอะไรบ้าง

    1 เห็นความไม่เที่ยง ในสิ่งคู่ตรงข้าม
    2 เห็นความหลง ของตนที่เอาใจ เข้าไปจับ จึงทำให้เกิด สภาวะตรงข้ามเกิดขึ้น
    3 เกิดความเหนื่อยหน่ายในสภาวะ
    4 วาง การรับรู้ ในสภาวะต่างๆ ได้

    เมื่อนั้นจิตจะเข้าถึง ธรรม

    ทีนี้ เนื่องจาก การพิจารณาตามแนวของท่านเว่ยหลาง แน่นอนว่า ท่านไม่ยึดตำรา ท่านปราศจากแบบแผน เนื่องจาก ท่านไม่อิงตามบรมครูที่วาง ทางไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งแน่นอนว่า การจะครอบคลุมวิธีการ เท่าบรมครู ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ผลที่ตามมาคือ ศิษย์ รุ่นต่อๆ มาไม่มีใคร รักษา แนวทางที่ชัดเจนของนิกายเซ็นเอาไว้ได้เลย มีเป้าหมายอย่่างเดียวกัน ที่เหมือนกันอย่างเดียว คือ
    ความว่าง ที่เป็น ปรมัตถธรรม เท่านั้น

    ศิษย์ เซ็น ทุกรุ่น จึงติด กับ ความว่าง แต่อย่างเดียว

    พ่อแม่ ครูอาจารย์ กล่าวว่า ถ้ายังไม่ถึงที่สุด ต้องมีหลักจับ เดินไป

    ศิษย์เซ็น พบความว่างแล้ว แต่ ทอดธุระ จึงย้อนกลับไปสู่ จุดเดิม เพราะ ก้่่า่วขาออกมาไม่เต็มตัว ยังไม่ได้อริยมรรค สูงสุดคือ โคตรภูญาณ ที่ ยืนระหว่าง ปุถุชน และ พระอริยะบุคคล ซึ่ง สุดท้ายแล้ว เขาจะพอใจ เท่าที่ตนได้ แล้วหันหน้ากลับไป อยู่สภาวะที่ไม่พ้นอบาย ด้วยอำนาจกิเลสอีกร้อยแปด ที่ดึงรั้งเอาไว้

    ทีนี้ องค์ อริยมรรคที่แท้จริง คืออะไร

    อริยมรรคที่แท้จริง จะต้อง ไม่พอใจในสภาวะที่ตนได้ เมื่อใดก็ตามที่พอใจ เมื่อนั้นเท่ากับ ยอมตามอำนาจกิเลส

    จะต้อง มีความเบื่อหน่าย เกิดขึ้น คือ นิพพิทาญาณ คือ ไม่เห็นดีเห็นงามกับ สภาวะที่อยู่
    กำลังใจตรงนี้ จะเหมือนกับ กำลังใจของคนที่ เห็นภัย ของไฟ แล้ว จะหนีอย่างเดียว

    จะต้อง เห็น จิต สัมผัส ไม่ใช่ กายหรือตนสัมผัส คำว่า จิตสัมผัส นี้คือ อายตนะ สัมผัสรับรู้ ทุกอย่าง เกิดขึ้นกับจิต ไม่ใช่เกิดขึ้นกับ กาย นี้จึงเรียกว่า ละสักกายทิฎฐิ

    เกิดปัญญาหยั่งรู้ เห็น กิเลสในตนว่า ตรงไหนบ้างที่ต้องขัดเกลา ต้องเดินออก

    เช่น เห็นว่าตน ขี้เกียจ ก็จะเดินออกจากความขี้เกียจ เห็นว่าตนขาดสมาธิ ก็จะต้องเดินหน้า ทำสมาธิ เห็นว่าตนฟุ้งซ่าน ก็เดินหน้าทำสมาธิ เห็นว่าสติยังไม่ดี ก็เดินหน้าเจริญสติ


    เรียกว่า สัมมาสังกับโป คือ ดำหริ ที่จะเดินออกจาก กาม อันเกิดมาจากอำนาจวิปัสสนาญาณ ที่ได้

    ต่อ มาจิตจะ เห็น มรรค ทุกอย่างเอง ถ้า เดินวิปัสสนาทวนไปทวนมา

    พ่อแม่ ครูอาจารย์ จึงสอนนักหนาว่า ให้หมั่นทำบุญ ให้หมั่นทำสมาธิ ให้หมั่นขัดเกลาจิตใจ

    นั้นแหละ เป็นอริยมรรคทั้งสิ้น อันเกิดจาก จิตภาวนา


    เดี๋ยวเอาไว้จะมาพูดต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2010
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ที่สุดของเซนคือ ความว่างหรือครับ ท่านขันธ์...ไม่มีมรรคมีองค์8 หรือครับ สาธุ รออ่านต่อครับเข้มขึ้นเรื่อยๆครับ
     
  20. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256

    ผิดทั้งนั้นเลย ไปเอามาจากที่ไหนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...