กรณี Sriaraya5 VS iofeast โต้แย้งกัน... ขอลบออกทุกโพสต์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด, 28 กุมภาพันธ์ 2009.

?
  1. 1.ลบออกก่อน

    0 vote(s)
    0.0%
  2. 2.ไม่ต้องลบ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. 3.ความเห็นอื่นๆ เชิญลงที่กระทู้นี้

    0 vote(s)
    0.0%
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า เที่ยวประกาศเองว่าตนตรัสรู้แล้ว..................... แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้......................... ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวประกาศเองว่าตนบรรลุธรรมแล้ว .........................แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้ ................................ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวประกาศเองว่าตนรู้ทันพุทธวิสัย ....................................แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้........................... ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวประกาศเองว่าตนคือญาณพระศาสดา............................. แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้ ........................ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวประกาศเองว่าตนคือพระศรีฯ ....................................แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้ .........................ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวแอบอ้างว่าตนเป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ .............................แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้............................ ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
    เที่ยวแอบอ้างว่าตน เข้าถึงหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ใหญ่ไปหาบ้างหล่ะ ให้ของวิเศษเก็บไว้บ้างหล่ะ ฯลฯ ...........................แต่ไม่รู้ตอบไม่ได้.................. ต้องมีพยานการรับรู้ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3


    สรุปแล้ว มั่วมาตั้งแต่ต้น ไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง อะไรที่ไม่มีในกูเกิ้ล ในเว็ปต่างๆ ให้ลอก ให้ก๊อปปี้ ก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้ แล้วก็แถ บ่ายเบี่ยงอีกแล้วเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า catt3

    3.2.5 สัญชัยเวลัฏฐบุตร
    สัญชัยเวลัฏฐบุตรเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังเป็นอุปติสสะและโกลิตมานพก็เคยศึกษาอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิของพวกปริพาชก ตั้งสำนักเผยแพร่อยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวมคธเป็นจำนวนมากต่างนับถือในเจ้าลัทธินี้ แต่เมื่ออุปติสสะและโกลิตมานพพร้อมบริวารจำนวน มากออกจากสำนักไปขอบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัญชัยเวลัฏฐบุตรจึงกระอักเลือดจนถึงแก่มรณกรรม
    ลัทธิของสัญชัยเวลัฏฐบุตรจัดอยู่ในประเภท "อมราวิกเขปวาทะ" คือ เป็นลัทธิที่หลบเลี่ยงไม่แน่นอน ดังที่สัญชัยเวลัฏฐบุตรกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่า ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกอื่นมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายเกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า เกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่...
    พระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ สัญชัยเวลัฏฐบุตรนี้ โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะแนวคำสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่สามารถบัญญัติอะไรตายตัวได้ เพราะกลัวผิดบ้าง ไม่รู้บ้าง พูดซัดส่ายเหมือนปลาไหลในกรตังคสูตร กล่าวประณามว่า เป็นลัทธิคนตาบอด ไม่สามารถนำตนและผู้อื่นให้เข้าถึงความจริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตัดสินใจใดๆ ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้


    ๖.ครูสัญชัยเวลัฎฐบุตร
    บางทีเรียกสัญชัยปริพาชก ท่านผู้นี้คืออาจารย์เดิมของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ คำสอนต่างๆในลัทธินี้ล้วน ไม่แน่นอน ซัดส่าย ลื่นไหลเพราะเหตุผลหลายอย่าง เช่น
    ๑)เพราะเกรงจะพูดปด จึงต้องปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่
    ๒)เพราะเกรงจะเป็นการยึดถือ จึงต้องปฏิเสธแบบข้อ (๑)
    ๓)เพราะเกรงจะถูกซักถาม จึงต้องปฏิเสธแบบข้อ (๑)
    ๔)เพราะโง่เขลา จึงต้องปฏิเสธแบบข้อ (๑)คือไม่ยอมรับอะไรและไม่ยืนยันอะไรทั้งสิ้น
    พระพุทธศาสนาเรียกคำสอนของท่านผู้นี้ว่าอมราวิกเขปิกาทิฏฐิ
    เพราะเหตุนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงมีความเห็นว่า ในบรรดาครูทั้ง ๖ นั้น ครูสัญชัยเวลัฎฐบุตรโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2010
  2. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า พี่น้องเอ๋ย เราบอกแล้ว ข้อความไหนที่เจ้าบ๊องนี่ แต่งเอง ยังไงก็ต้องมี เขียนผิดสะกดผิดอย่างแน่นอน ................. คราวนี้ก็คงจะรู้กันโดยทั่วแล้วว่า ใครที่แอบอ้างไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีปัญญาเป็นขจองตน เที่ยวลอก เที่ยวก๊อป บทความต่างๆจากทางหน้าเว็ปมาตัดต่อ เป็นของตน กระทำด้วยอาการเยี่ยงขโมยนะเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า


    ปาราชิกกัณฑ์ [ ปาราชิกสิกขาบทที่ 4 ] <SUP></SUP>


    ขาดจากความเป็นภิกษุเพราะอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
    ปาราชิกสิกขาบทที่ 4

    โย ปะนะ ภิกขุ อะนะภิชานัง อุตตะริมะนุสสะธัมมัง…​
    “อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้นอันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่านข้าพเจ้าไม่รู้่อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.”

    วิภังค์ (จำแนกความ)
    บทว่า อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า

    บทว่า เป็นปาราชิก ความว่า ต้นตาลมียอดด้วนแล้ว ไม่อาจจะงอกอีกแม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแหละ มีความอยากอันลามก อันความอยากครอบงำแล้วพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็น ปาราชิก
    อนาบัติ
    1.ภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ 2.ภิกษุไม่ประสงค์จะกล่าวอวด 3.ภิกษุวิกลจริต 4.ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน 5.ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา 6.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติ.
    เรื่องต้นบัญญัติ
    พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี สมัยนั้นมีภิกษุหลายรูปที่ชอบพอเป็นมิตรสหายกัน จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา สมัยนั้น เกิดทุพภิกขภัยในแคว้นวัชชี (ราชธานีชื่อเวสาลี) ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี.
    บางรูปเห็นว่า ควรช่วยแนะนำกิจการงานของคฤหัสถ์ บางรูปเห็นว่าควรทำหน้าที่ทูต (คือ นำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้ คล้ายบุรุษไปรษณีย์) บางรูปเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกษุรูปนั้น รูปนี้ มีคุณวิเศษอย่างนั้น อย่างนี้ เช่น ได้ฌานที่ 1 ฌานที่ 2 เป็นต้น จนถึงว่าได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มีวิชชา 3 มีอภิญญา 6
    เมื่อเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงเที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ ชาวริมน้ำวัดคุมุทาเป็นอย่างดี มีผิวพรรณ ผ่องใส เอิบอิ่ม เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงเก็บเสนาสนะเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ กรุงเวสาลี.
    ปรากฎว่าภิกษุที่มาแต่ทิศทางอื่นล้วนซูบผอม ผิวพรรณทราม มีเส้นเอ็นขึ้นเห็นได้ชัด ส่วนภิกษุที่มาจากฝั่งน้ำวัดคุมุทากลับอิ่มเอิบ อ้วนพี พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามทุกข์สุข และทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสติเตียนและเรียกประชุมภิกษุทั้งหลาย ตรัสเรื่องมหาโจร 5 ประเภท เปรียบเทียบกับภิกษุว่า
    มหาโจร 5 จำพวก
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร 5 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร 5 จำพวกเป็นไฉน?
    1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเองให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญสมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเองให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือ พันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมาเธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานีอันคฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 1 มีปรากฏอยู่ในโลก
    2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว อวดอ้างว่าเป็นของตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 2 มีปรากฏอยู่ในโลก
    3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 3 มีปรากฏอยู่ในโลก
    4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 4 มีปรากฏอยู่ในโลก
    5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสธรรมอันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.”
    ครั้งแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัดคุมุทา ด้วยประการต่าง ๆ พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน เมื่ออวดไปแล้ว แม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลัง ก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ.
    อนุบัญญัติ
    สมัยนั้น ภิกษุหลายรูป สำคัญผิดว่าตนได้บรรลุคุณพิเศษ จึงประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์ (พยากรณ์อรหัตตผล) สมัยต่อมาจิตของเธอน้อมไปเพื่อราคะ โทสะ โมหะ ก็เกิดความรังเกียจ สงสัยว่า การประกาศตนว่าได้บรรลุคุณวิเศษ ด้วยความสำคัญผิด จะทำให้ต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม ยกเว้นให้สำหรับภิกษุผู้สำคัญว่าได้บรรลุ
    องค์แห่งอาบัติ 1.อุตตริมนุสสธรรมไม่มีในตน 2.อวดด้วยมุ่งลาภ สรรเสริญ 3.ไม่้อ้างผู้อื่น 4.บอกแก่ผู้ใดผู้นั้นเป็นชาติมนุษย์ 5.เขารู้ด้วยความในขณะนั้น พร้อม ด้วยองค์ 5 ดังนี้ จึงเป็นปาราชิก (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 130).


    ปัจจุบัน มหาโจรจำพวกที่2 และ ที่5 ในร่างเดียว ได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว ขอท่านทั้งหลายระวังให้จงมาก ฉะนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2010
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คนขี้แพ้iofeast


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=3NP9ozvbDeE&feature=player_embedded]YouTube - Tonight Show 29Mar10 6/6[/ame]


    เทศน์อบรมฆราวาส วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๐
    น้ำตาร่วง อย่าง
    โลกนี้จะตำหนิผู้ใด๋ จะชมผู้ใด๋ จะว่าชมหรือทุกข์มันก็มีอยู่ ครันว่าจะติหรือความสุขมันหากมีอยู่ เป็นดังกินข้าวกับกากนั่นแหละ กินปลาทั้งก้าง เนื้อมันก็มี ก้างมันก็มีอยู่หั้น อาหารของกิเลสไม่บริสุทธิ์แหละ อาหารของกิเลสมีเนื้อต้องมีก้างมีกระดูก มีข้าวก็มีกาก นี่อาหารของกิเลสให้โลกเสวยโลกกินกันมันไม่บริสุทธิ์ ไม่เหมือนอาหารของธรรม อาหารของธรรมมีน้อยก็ล้วน ใหญ่ก็ล้วน ไม่มีอะไรเข้าไปแฝง ถ้าว่าตกปลา เบ็ดก็มีเหยื่อล่อ ข้างในก็เป็นเบ็ดเสีย อาหารของกิเลสเป็นอย่างนั้น เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
    เราพิจารณาหมดแล้ว วันนี้เปิดออกอีกทีหนึ่ง พิจารณาไปแง่ไหนมุมใดมันไม่มีที่จะบริสุทธิ์ ขึ้นชื่อว่าอาหารของกิเลสหลอกลวงสัตวโลก ต้องมีเคลือบแฝง มีเบ็ดอยู่ในนั้น หากปลาก็มีก้างอยู่ในนั้น มีกระดูกอยู่ในนั้นไม่บริสุทธิ์ ถ้าเป็นธรรมแล้วบริสุทธิ์ล้วน ไม่มีทุกข์เข้าไปแฝง ถ้าเป็นธรรมเรื่อยเลยจนกระทั่งถึงบริสุทธิ์พุทโธล้วน แล้ว ทีนี้เปิดโลกธาตุเลย โล่งหมดไม่มีอะไรมาติดข้องภายในจิตใจแล้ว หมด มันเป็นขั้น ขั้นนี้ก็บริสุทธิ์ ขั้นนี้บริสุทธิ์
    ขั้นนี้คือว่ามีแต่ความสุขเต็มตัวของขั้นของตัวเอง มีความสุขเต็มตัวในขั้นของตัวเอง เรื่อย ไม่มีกากไม่มีกระดูกไม่มีก้างแฝง จึงว่าบริสุทธิ์ตามขั้นของตัวเอง เรื่อย จนกระทั่งถึงบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเปิดโล่งหมด โลกธาตุโล่งหมดเลย นั่นละท่านว่าธรรมะเลิศโลก จิตเลิศโลก จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เป็นอันเดียวกัน
    พระพุทธเจ้านิพพานนี้ถ้าเราจะเทียบเป็นอุปมาก็ว่า เป็นแผ่นแห่งความบริสุทธิ์พุทโธ เป็นธรรมทั้งแท่งครอบโลกธาตุ พระพุทธเจ้านิพพานแต่ละองค์ คือจิตนี้ออกไปเป็นธรรมทั้งแท่ง ถ้าจะเป็นแผ่นก็เป็นแผ่นธรรมครอบโลกธาตุ ถ้าเป็นอากาศก็เหมือนอากาศครอบโลกธาตุ ตั้งแต่ความบริสุทธิ์แห่งธรรมแห่งจิตของท่านล้วน
    อันนี้เอามาพูดเพียงเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้นไม่ได้ตรงตามความจริงอะไรนัก ถ้าไม่มีข้อเปรียบเทียบก็ไม่มีที่จะด้นเดา เพราะมนุษย์เราชอบด้นชอบเดาเกาหมัดด้วย ไม่ชอบตรงไปตรงมา พอพูดอะไรนี้จะวาดภาพขึ้นทันทีเลย พูดเรื่องบ้านวาดภาพบ้านนั้น พูดบ้านไหนวาดภาพบ้านนั้น พูดคนไหนวาดภาพคนนั้นขึ้นมา จริงไม่จริงช่างมัน ไปเจอเข้าแล้วภาพนั้นก็หายเงียบไปก็ไม่เข็ดหลาบ ว่าภาพนี้หลอกเราความจริงแท้เป็นอย่างนี้ มาเห็นแล้วเป็นอย่างนี้ ภาพหลอกเราอย่างนั้น ไม่เคยสนใจ วันหลังให้มันหลอกใหม่ หลอกอยู่นั้น ถึงขั้นนั้นแล้วก็ยังต้องพูดเป็นข้อเปรียบเทียบอะไรอยู่
    ให้เห็นเองเท่านั้นไม่ต้องไปถามใคร รู้เองเห็นเองแล้วหมด ไม่มีอะไรสงสัย รู้เองเห็นเองแล้วหายสงสัย ว่าพระพุทธเจ้านิพพานก็มีแต่กิริยาของขันธ์นี้สลายตัวออกไปเท่านั้น จิตที่บริสุทธิ์ธรรมที่บริสุทธิ์ก็เป็นธรรมทั้งแท่ง ไปเลย นั่นสูญไปไหน ธรรมทั้งแท่งสูญไปไหน
    โลกกำลังกิเลสเหยียบเวลานี้ ธรรมะกระดิกหัวไม่ขึ้น จึงวิตกวิจารณ์มาก จวนตายเท่าไรยิ่งวิตกวิจารณ์กับโลกมาก ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายแหลก พิลึกจริง นะ มันหนามันแน่น แผ่นดินทั้งแผ่นสู้ความหนาของกิเลสไม่ได้ กิเลสหนายิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่นอีก
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเราจะพูดว่าสักกี่ล้าน ล่ะ ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดตรัสรู้มาเรื่อย องค์นี้ก็องค์ปัจจุบัน ต่อไปนี้ก็พระอาริยเมตไตรย ในภัทรกัปนี้มี องค์ พระอาริยเมตไตรยเป็นองค์สุดท้าย ต่อจากนั้นไปก็เป็นอีกกัปหนึ่ง มี องค์บ้าง องค์บ้าง องค์บ้าง แต่ละกัปถ้ามีพระพุทธเจ้าประจำถึง องค์แล้วก็เรียกว่าภัทรกัป เป็นกัปที่เจริญด้วยศีลด้วยธรรม จากนั้นกัปธรรมดาก็มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง องค์ แต่ไม่ขาดละองค์หนึ่งมี ตามพุทธวงศ์ท่านแสดงเอาไว้ มี องค์ องค์ ที่มากที่สุดก็ องค์ มีอยู่อย่างนั้นเรื่อย ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ แล้วยังจะมีไปอีกอยู่อย่างนี้
    พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อย ถึงจะนานถึงอุบัติก็อุบัติอยู่ตลอด นานแสนนานเข้าไปก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นเราอย่าพูดว่าเป็นล้าน เลย นับพระพุทธเจ้าจนวันตายก็ไม่จบ พระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนะ เป็นธรรมครองโลก ที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น หมายถึงหลุดพ้นแล้วจากตาข่ายของกิเลส จากความบีบบังคับของกิเลสออกไปหมดแล้ว พวกที่อยู่ปากคอกก็มี ค่อย ออกทยอยกันออกไปเรื่อย ผู้ที่จมอยู่ในคอกก็มี นอนจมขี้อยู่ในคอกก็มี ไปตีไล่ออกจากขี้ยังไล่ชนคนอีก มันไม่อยากออก สู้นอนจมขี้ไม่ได้ พวกขี้เกียจภาวนานี้พวกจมขี้ ขี้เกียจขี้คร้าน
    พูดถึงเรื่องการฆ่ากิเลส เราพูดจริง เพราะในชีวิตของเราไม่เคยมีอันไหนที่จะหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส จนเข็ด พิจารณาย้อนหลังนี้น่ากลัวความเพียร มันพิลึกเอาจริง เพราะฉะนั้นจึงพูดความมุ่งมั่นเป็นหลักสำคัญมาก มุ่งจ่อต่อจุดนั้นจริง จิตมันพุ่ง จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ได้มาเป็นอุปสรรค มันปัดออก มีแต่จะพุ่ง นี่พลังของจิตกำลังของจิต ความมุ่งมั่นของจิตเป็นสำคัญ ถ้าพลังของจิตลดลงทุกสิ่งทุกอย่างจะลดลงฮวบ ไปตาม กัน ถ้าพลังของจิตยังดีอยู่มันก็ผึง เลย
    นี่ก็ด้วยอำนาจแห่งพลังของจิตที่ได้เอามาพูดอยู่เวลานี้ เจ้าของจะตายจิตไม่ยอมตาย จิตไม่ยอมถอย จะตายก็ตายไปซิ เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เห็นเข็ดหลาบ จะมากลัวตอนจะฆ่ากับกิเลสนี่เหรอ กิเลสหลอกให้กลัวนี่ ฟาดใส่กัน จึงว่าทุกข์มากแต่ก็คุ้มค่า
    มีหลายประเภทนะ หมายถึงพวก ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา พวกปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า พวก สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว นี้มีจำนวนน้อย ถ้าประเภทก็ประเภทอุคฆติตัญญู ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วก็มี ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าก็มี ทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วก็มี ในปฏิปทา ท่านแสดงเอาไว้
    เรานี่พวกนอนจมขี้ ไล่ตีออกไล่ชนคนด้วย ตีออกจากขี้ไล่ชนคนด้วย ครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวไล่ออกจากขี้ ยังโกรธยังเคียดยังหงุดหงิดไม่พอใจ นั่นละมันไล่ชนผู้ตีออก ไล่ออกจากกองขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้เกียจขี้คร้านขี้ท้อแท้อ่อนแอไม่ยอมออก มันเหนียวแน่น ไล่ออกมันไล่ชนเลย คือความหงุดหงิดความไม่พอใจมันไล่ชน ไม่ใช่กองขี้ในส้วมนะ กองขี้ในหัวใจคน
    ทุกข์มาก ฆ่ากิเลสนี่ทุกข์มาก ทุกข์แสนสาหัส ประเภททันธาภิญญา หากจะรู้ก็รู้ได้ช้าที่สุด ในมหาสติปัฏฐาน ท่านบอกไว้ว่า ปี เดือน วัน ท่านแสดงไว้ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ฟังแต่ว่ามหาสติเถอะน่า จ้อกันตลอดเลย เหมือนนักโทษที่โทษหนักที่สุดถูกจ้อตลอด อันนี้มหาสติก็ต้องจ้อ ควบคุมกันกับกิเลสที่จะเข้ามาทำลายจิต ขนาดนั้นละ ปีอย่างช้า ท่านบอกด้วยว่าอย่างช้า ปี ถ้าควบคุมกันขนาดนี้แล้วอย่างช้า ปี เดือน วันลงมา ถ้าดำเนินตามนี้แล้วอย่างช้า ปีผ่านได้ ถ้าแบบนอนจมขี้แล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็จมอยู่นั้นแหละ เพราะพวกนี้พวกสมัครไม่ใช่พวกจะออก พวกสมัครนอนจมไปเรื่อย จนยังเหลือแต่จมูกไว้หายใจ ขี้ท่วมไปหมดก็ยังพอใจนอนจม
    ท่านแสดงไว้ในธรรมประเภทที่จะผ่านได้ คำว่ามหาสตินี้ต้องครอบเลย อย่างช้า ปีผ่านสำเร็จ ปี เดือน วัน ประเภทขิปปาภิญญาท่านไม่นับเข้านะ จะนับก็พวกถูไถอย่างพวกเรา พวกขิปปาภิญญา พวกอุคฆติตัญญู ไม่ได้นับเข้า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลพิเศษจะตรัสรู้ตั้งแต่ยังไม่พบพระพุทธเจ้า แต่ยังตรัสรู้ไม่ได้ เหมือนว่าจะออกอยู่ตลอดเวลา แต่ประตูปิดยังออกไม่ได้ พอเปิดประตูพับ..ผึงเลย พอพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรม เทฺว เม ภิกฺขเว เท่านั้นปึ๋งเลยอย่างเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พวกนี้พวกรออยู่ประตูแล้ว พอเปิดประตูปั๊บพุ่งเลย
    พวกเรามันพวกรอ พอทางนั้นเปิดประตูปั๊บพุ่งกลับหลังเลยไม่ยอมออก กลัวจะได้ออกวิ่งกลับหลัง เปิดประตูให้ออกกลัวจะได้ออก วิ่งกลับหลังเลย พูดแล้วสลดสังเวชนะ เปิดประตูให้ออกไม่ยอมออก วิ่งกลับหลัง ถ้าเป็นหมาก็หมาไอ้ปุ๊กกี้เราฟาดแต่ผ้า เอาข้าวไปให้กินไม่สนใจ ถ้าไม่ได้เล่นผ้าเสียเต็มเหนี่ยวแล้วยังไม่สนใจกับกินข้าวละ เศษผ้าจะกินอะไรได้มันยังสนุกของมันอยู่ เล่นผ้าเสียจนแหลกเมื่อยแล้วค่อยกินข้าว ไอ้วิ่งย้อนหลัง
    หลวงปู่มั่นก็หนัก พรรษา ๒๒ เป็นพรรษาที่ท่านเริ่มเปิดโลกแต่ยังไม่ได้เปิดเต็มที่ อยู่ถ้ำสาริกาพรรษา ๒๒ ท่านเล่าให้ฟัง เปิดจริง ไปเปิดที่เชียงใหม่ พรรษา ๒๒ ไปเปิดปฐมฤกษ์อยู่ที่ถ้ำสาริกา เรียกว่าเปิดปฐมฤกษ์ พอจากนั้นไปก็ไปเปิดวาระสุดท้ายที่เชียงใหม่ เราก็ลืมเสียว่าเป็นต้นไม้อะไร ท่านอยู่ต้นไม้ต้นเดียว ต้นไม้ต้นนั้นร่มหนาทึบเลย กลางวันท่านมาเดินจงกรมได้สบาย เพราะปกติเป็นป่าอยู่แล้วไม่มีผู้มีคน อยู่ในภูเขา เหมือนอยู่หินดานลักษณะนั้นแหละ โล่งอากาศก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม
    กลางวันท่านเดินของท่าน เพราะไม่มีผู้มีคนไปกวน เดินเวลาไหนจะเป็นไรไป ร่มก็มีตลอดทั้งวัน ตอนกลางคืนท่านนั่งภาวนาอยู่ที่นั่น โลกธาตุหวั่น ฟ้าดินถล่ม เป็นเหมือนกัน องค์ไหนก็พูดแบบเดียวกัน พอตรัสรู้ พูดตรัสรู้จะตรงกับศัพท์ที่ว่าสุดยอดของธรรม บรรลุนี้เป็นศัพท์ของพระสาวก ตรัสรู้เป็นศัพท์เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าตรัสรู้ สาวกเรียกว่าบรรลุ ความจริงก็ตรัสรู้ถึงแดนวิเศษเหมือนกันนั่นแหละ
    ฟังครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังถึงแดนสุดยอด นั่งน้ำตาร่วงเหมือนกันหมด คืนนั้นไม่นอนเลย นั่งน้ำตาร่วงแล้วกราบ อยู่อย่างนั้น คือกราบความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ความอัศจรรย์ของธรรม ที่ได้ครองธรรมเพราะพระพุทธเจ้า กระเทือนกันเลย พระพุทธเจ้ากับท่านก็เป็นอันเดียวกันแล้ว พอตรัสรู้ปึ๋งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นอันเดียวกัน
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นกิริยาเท่านั้น เหมือนกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ต้นใหญ่จริง มีต้นเดียว ธรรมะคำว่าธรรมอันเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก พอตรัสรู้ธรรมปึ๋งเข้าไปตรงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้านิพพานจึงเป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้น ธรรมชาตินั้นเป็นพื้นเพอยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น
    นี่ไม่ว่าองค์ไหนนั่ง แล้วกราบแล้วไหว้อยู่อย่างนั้น อย่างประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เราก็เขียนจากคำบอกเล่าของท่านเอง นั่งแล้วกราบไหว้ คนเขาเห็นเขาก็จะว่าเป็นบ้าเป็นบอไป เพราะความอัศจรรย์นั่นแหละทำให้เป็น อัศจรรย์แล้วก็สงสารโลกเป็นประมาณ เราผ่านมาแล้ว ทีนี้เราหลุดพ้นแล้วจากที่คุมขังจากที่ทรมานในกองทุกข์ สามแดนโลกธาตุนี้เป็นแต่กองทุกข์แดนทรมานสัตว์ทั้งนั้น ผุดออกมาแล้วพ้นแล้ว มองไปทางนี้ก็สงสารทางนี้ มองไปทางนี้ก็อัศจรรย์ทางนี้ มองทางนี้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า อย่างน้ำตาร่วง องค์ไหนก็เหมือนกันบรรดาที่ได้เล่าสู่กันฟัง ผู้ที่ถึงแดนแห่งความหลุดพ้นอย่างสุดขีดแล้วเป็นเหมือนกันหมด น้ำตาร่วงเหมือนกัน
    ธรรมอัศจรรย์แค่ไหนฟังซิ เราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วงมีไหม เอามาเล่าให้ฟังหน่อยน่ะมานั่งเต็มศาลาอยู่นี่ เราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วง นั่นท่านน้ำตาร่วง อัศจรรย์ไหม เลิศไหมธรรม ถ้าให้ท่านพูดตามศัพท์ภาษาของธรรมของความจริงจริง แล้วท่านจะว่า พวกสามแดนโลกธาตุนี้คือพวกบ้าไม่เลิก ว่าอย่างนั้นเลย บ้าไม่เบื่อ บ้าไม่เข็ดไม่หลาบ คือพวกเรา พระพุทธเจ้าพอพ้นขึ้นแล้วยังเข็ด ยังขยะ กลัวจะได้กลับมาอีก ทั้ง ที่รู้แล้วว่าพ้นแล้ว นั่นละโทษของมันหนักขนาดไหนจึงขยะ ขยาด เข็ดหลาบที่ผ่านมาแล้วนี้ เข็ดที่สุดแล้ว สุดขีดแล้วได้พ้นแล้วด้วยก็ยังเข็ดอยู่ขนาดนั้น พวกเราพวกตายไม่เข็ด
    พากันสร้างเอานะความดีนั่นละที่พาหนุนให้พ้น นอกจากนั้นไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี้มองหาอะไรไม่มีที่จะมาฉุดมาลากเรา ให้หลุดพ้นขึ้นจากกองทุกข์กองทรมานที่ว่านี้ มีบุญมีกุศลเท่านั้นไม่มีอย่างใดเลย เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงแยกกันไม่ออก โลกคือโลกของกิเลสมีเท่าไร ธรรมเป็นเครื่องต้านทานแก้ไขถอดถอนชะล้างกัน ต้องมีเป็นประจำ ไม่มากก็ต้องเป็นยุคเป็นสมัย อย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้ง นั่นละมาเป็นพัก แต่กิเลสนี้มันเป็นพืดของมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเวลาไหนธรรมมีขึ้นมา พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ก็ยุบยอบลงไป พอพระพุทธเจ้าและธรรมผ่านไปแล้วมันก็ผึงขึ้นมาอีก
    เอาละให้พร
    http://202.28.94.202/katekaew/tripidok/WAT PA BAHN TAHD/Dhamma/Thai Version/Word/y40/NOV2040.DOC
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คนขี้แพ้iofeastไปข้ามเวทนาใหญ่ให้ได้แล้วค่อมมาคุยธรรมเบื้องสูงกัน

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=3NP9ozvbDeE&feature=player_embedded"][/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=3NP9ozvbDeE&feature=player_embedded"][/ame]


    เทศน์อบรมฆราวาสวัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่๒๐พฤศจิกายนพุทธศักราช๒๕๔๐


    น้ำตาร่วงอย่าง

    โลกนี้จะตำหนิผู้ใด๋จะชมผู้ใด๋จะว่าชมหรือทุกข์มันก็มีอยู่ครันว่าจะติหรือความสุขมันหากมีอยู่เป็นดังกินข้าวกับกากนั่นแหละกินปลาทั้งก้างเนื้อมันก็มีก้างมันก็มีอยู่หั้นอาหารของกิเลสไม่บริสุทธิ์แหละอาหารของกิเลสมีเนื้อต้องมีก้างมีกระดูกมีข้าวก็มีกากนี่อาหารของกิเลสให้โลกเสวยโลกกินกันมันไม่บริสุทธิ์ไม่เหมือนอาหารของธรรมอาหารของธรรมมีน้อยก็ล้วนใหญ่ก็ล้วนไม่มีอะไรเข้าไปแฝงถ้าว่าตกปลาเบ็ดก็มีเหยื่อล่อข้างในก็เป็นเบ็ดเสียอาหารของกิเลสเป็นอย่างนั้นเป็นแบบนี้ทั้งนั้น
    เราพิจารณาหมดแล้ววันนี้เปิดออกอีกทีหนึ่งพิจารณาไปแง่ไหนมุมใดมันไม่มีที่จะบริสุทธิ์ขึ้นชื่อว่าอาหารของกิเลสหลอกลวงสัตวโลกต้องมีเคลือบแฝงมีเบ็ดอยู่ในนั้นหากปลาก็มีก้างอยู่ในนั้นมีกระดูกอยู่ในนั้นไม่บริสุทธิ์ถ้าเป็นธรรมแล้วบริสุทธิ์ล้วนไม่มีทุกข์เข้าไปแฝงถ้าเป็นธรรมเรื่อยเลยจนกระทั่งถึงบริสุทธิ์พุทโธล้วนแล้วทีนี้เปิดโลกธาตุเลยโล่งหมดไม่มีอะไรมาติดข้องภายในจิตใจแล้วหมดมันเป็นขั้นขั้นนี้ก็บริสุทธิ์ขั้นนี้บริสุทธิ์
    ขั้นนี้คือว่ามีแต่ความสุขเต็มตัวของขั้นของตัวเองมีความสุขเต็มตัวในขั้นของตัวเองเรื่อยไม่มีกากไม่มีกระดูกไม่มีก้างแฝงจึงว่าบริสุทธิ์ตามขั้นของตัวเองเรื่อยจนกระทั่งถึงบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเปิดโล่งหมดโลกธาตุโล่งหมดเลยนั่นละท่านว่าธรรมะเลิศโลกจิตเลิศโลกจิตเป็นธรรมธรรมเป็นจิตเป็นอันเดียวกัน
    พระพุทธเจ้านิพพานนี้ถ้าเราจะเทียบเป็นอุปมาก็ว่าเป็นแผ่นแห่งความบริสุทธิ์พุทโธเป็นธรรมทั้งแท่งครอบโลกธาตุพระพุทธเจ้านิพพานแต่ละองค์คือจิตนี้ออกไปเป็นธรรมทั้งแท่งถ้าจะเป็นแผ่นก็เป็นแผ่นธรรมครอบโลกธาตุถ้าเป็นอากาศก็เหมือนอากาศครอบโลกธาตุตั้งแต่ความบริสุทธิ์แห่งธรรมแห่งจิตของท่านล้วน
    อันนี้เอามาพูดเพียงเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้นไม่ได้ตรงตามความจริงอะไรนักถ้าไม่มีข้อเปรียบเทียบก็ไม่มีที่จะด้นเดาเพราะมนุษย์เราชอบด้นชอบเดาเกาหมัดด้วยไม่ชอบตรงไปตรงมาพอพูดอะไรนี้จะวาดภาพขึ้นทันทีเลยพูดเรื่องบ้านวาดภาพบ้านนั้นพูดบ้านไหนวาดภาพบ้านนั้นพูดคนไหนวาดภาพคนนั้นขึ้นมาจริงไม่จริงช่างมันไปเจอเข้าแล้วภาพนั้นก็หายเงียบไปก็ไม่เข็ดหลาบว่าภาพนี้หลอกเราความจริงแท้เป็นอย่างนี้มาเห็นแล้วเป็นอย่างนี้ภาพหลอกเราอย่างนั้นไม่เคยสนใจวันหลังให้มันหลอกใหม่หลอกอยู่นั้นถึงขั้นนั้นแล้วก็ยังต้องพูดเป็นข้อเปรียบเทียบอะไรอยู่
    ให้เห็นเองเท่านั้นไม่ต้องไปถามใครรู้เองเห็นเองแล้วหมดไม่มีอะไรสงสัยรู้เองเห็นเองแล้วหายสงสัยว่าพระพุทธเจ้านิพพานก็มีแต่กิริยาของขันธ์นี้สลายตัวออกไปเท่านั้นจิตที่บริสุทธิ์ธรรมที่บริสุทธิ์ก็เป็นธรรมทั้งแท่งไปเลยนั่นสูญไปไหนธรรมทั้งแท่งสูญไปไหน
    โลกกำลังกิเลสเหยียบเวลานี้ธรรมะกระดิกหัวไม่ขึ้นจึงวิตกวิจารณ์มากจวนตายเท่าไรยิ่งวิตกวิจารณ์กับโลกมากถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายแหลกพิลึกจริงนะมันหนามันแน่นแผ่นดินทั้งแผ่นสู้ความหนาของกิเลสไม่ได้กิเลสหนายิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่นอีก
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเราจะพูดว่าสักกี่ล้านล่ะตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดตรัสรู้มาเรื่อยองค์นี้ก็องค์ปัจจุบันต่อไปนี้ก็พระอาริยเมตไตรยในภัทรกัปนี้มีองค์พระอาริยเมตไตรยเป็นองค์สุดท้ายต่อจากนั้นไปก็เป็นอีกกัปหนึ่งมีองค์บ้างองค์บ้างองค์บ้างแต่ละกัปถ้ามีพระพุทธเจ้าประจำถึงองค์แล้วก็เรียกว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญด้วยศีลด้วยธรรมจากนั้นกัปธรรมดาก็มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์แต่ไม่ขาดละองค์หนึ่งมีตามพุทธวงศ์ท่านแสดงเอาไว้มีองค์องค์ที่มากที่สุดก็องค์มีอยู่อย่างนั้นเรื่อยตลอดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่แล้วยังจะมีไปอีกอยู่อย่างนี้
    พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อยถึงจะนานถึงอุบัติก็อุบัติอยู่ตลอดนานแสนนานเข้าไปก็มากขึ้นเพราะฉะนั้นเราอย่าพูดว่าเป็นล้านเลยนับพระพุทธเจ้าจนวันตายก็ไม่จบพระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนะเป็นธรรมครองโลกที่หลุดพ้นไปแล้วนั้นหมายถึงหลุดพ้นแล้วจากตาข่ายของกิเลสจากความบีบบังคับของกิเลสออกไปหมดแล้วพวกที่อยู่ปากคอกก็มีค่อยออกทยอยกันออกไปเรื่อยผู้ที่จมอยู่ในคอกก็มีนอนจมขี้อยู่ในคอกก็มีไปตีไล่ออกจากขี้ยังไล่ชนคนอีกมันไม่อยากออกสู้นอนจมขี้ไม่ได้พวกขี้เกียจภาวนานี้พวกจมขี้ขี้เกียจขี้คร้าน
    พูดถึงเรื่องการฆ่ากิเลสเราพูดจริงเพราะในชีวิตของเราไม่เคยมีอันไหนที่จะหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลสจนเข็ดพิจารณาย้อนหลังนี้น่ากลัวความเพียรมันพิลึกเอาจริงเพราะฉะนั้นจึงพูดความมุ่งมั่นเป็นหลักสำคัญมากมุ่งจ่อต่อจุดนั้นจริงจิตมันพุ่งจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ได้มาเป็นอุปสรรคมันปัดออกมีแต่จะพุ่งนี่พลังของจิตกำลังของจิตความมุ่งมั่นของจิตเป็นสำคัญถ้าพลังของจิตลดลงทุกสิ่งทุกอย่างจะลดลงฮวบไปตามกันถ้าพลังของจิตยังดีอยู่มันก็ผึงเลย
    นี่ก็ด้วยอำนาจแห่งพลังของจิตที่ได้เอามาพูดอยู่เวลานี้เจ้าของจะตายจิตไม่ยอมตายจิตไม่ยอมถอยจะตายก็ตายไปซิเคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เห็นเข็ดหลาบจะมากลัวตอนจะฆ่ากับกิเลสนี่เหรอกิเลสหลอกให้กลัวนี่ฟาดใส่กันจึงว่าทุกข์มากแต่ก็คุ้มค่า
    มีหลายประเภทนะหมายถึงพวกทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาพวกปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าพวกสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วนี้มีจำนวนน้อยถ้าประเภทก็ประเภทอุคฆติตัญญูทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วก็มีทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าก็มีทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วก็มีในปฏิปทาท่านแสดงเอาไว้
    เรานี่พวกนอนจมขี้ไล่ตีออกไล่ชนคนด้วยตีออกจากขี้ไล่ชนคนด้วยครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวไล่ออกจากขี้ยังโกรธยังเคียดยังหงุดหงิดไม่พอใจนั่นละมันไล่ชนผู้ตีออกไล่ออกจากกองขี้ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงขี้เกียจขี้คร้านขี้ท้อแท้อ่อนแอไม่ยอมออกมันเหนียวแน่นไล่ออกมันไล่ชนเลยคือความหงุดหงิดความไม่พอใจมันไล่ชนไม่ใช่กองขี้ในส้วมนะกองขี้ในหัวใจคน
    ทุกข์มากฆ่ากิเลสนี่ทุกข์มากทุกข์แสนสาหัสประเภททันธาภิญญาหากจะรู้ก็รู้ได้ช้าที่สุดในมหาสติปัฏฐานท่านบอกไว้ว่าปีเดือนวันท่านแสดงไว้ผู้เจริญมหาสติปัฏฐานฟังแต่ว่ามหาสติเถอะน่าจ้อกันตลอดเลยเหมือนนักโทษที่โทษหนักที่สุดถูกจ้อตลอดอันนี้มหาสติก็ต้องจ้อควบคุมกันกับกิเลสที่จะเข้ามาทำลายจิตขนาดนั้นละปีอย่างช้าท่านบอกด้วยว่าอย่างช้าปีถ้าควบคุมกันขนาดนี้แล้วอย่างช้าปีเดือนวันลงมาถ้าดำเนินตามนี้แล้วอย่างช้าปีผ่านได้ถ้าแบบนอนจมขี้แล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็จมอยู่นั้นแหละเพราะพวกนี้พวกสมัครไม่ใช่พวกจะออกพวกสมัครนอนจมไปเรื่อยจนยังเหลือแต่จมูกไว้หายใจขี้ท่วมไปหมดก็ยังพอใจนอนจม
    ท่านแสดงไว้ในธรรมประเภทที่จะผ่านได้คำว่ามหาสตินี้ต้องครอบเลยอย่างช้าปีผ่านสำเร็จปีเดือนวันประเภทขิปปาภิญญาท่านไม่นับเข้านะจะนับก็พวกถูไถอย่างพวกเราพวกขิปปาภิญญาพวกอุคฆติตัญญูไม่ได้นับเข้าท่านเหล่านี้เป็นบุคคลพิเศษจะตรัสรู้ตั้งแต่ยังไม่พบพระพุทธเจ้าแต่ยังตรัสรู้ไม่ได้เหมือนว่าจะออกอยู่ตลอดเวลาแต่ประตูปิดยังออกไม่ได้พอเปิดประตูพับ..ผึงเลยพอพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมเทฺวเมภิกฺขเวเท่านั้นปึ๋งเลยอย่างเบญจวัคคีย์ทั้งห้าพวกนี้พวกรออยู่ประตูแล้วพอเปิดประตูปั๊บพุ่งเลย
    พวกเรามันพวกรอพอทางนั้นเปิดประตูปั๊บพุ่งกลับหลังเลยไม่ยอมออกกลัวจะได้ออกวิ่งกลับหลังเปิดประตูให้ออกกลัวจะได้ออกวิ่งกลับหลังเลยพูดแล้วสลดสังเวชนะเปิดประตูให้ออกไม่ยอมออกวิ่งกลับหลังถ้าเป็นหมาก็หมาไอ้ปุ๊กกี้เราฟาดแต่ผ้าเอาข้าวไปให้กินไม่สนใจถ้าไม่ได้เล่นผ้าเสียเต็มเหนี่ยวแล้วยังไม่สนใจกับกินข้าวละเศษผ้าจะกินอะไรได้มันยังสนุกของมันอยู่เล่นผ้าเสียจนแหลกเมื่อยแล้วค่อยกินข้าวไอ้วิ่งย้อนหลัง
    หลวงปู่มั่นก็หนักพรรษา๒๒เป็นพรรษาที่ท่านเริ่มเปิดโลกแต่ยังไม่ได้เปิดเต็มที่อยู่ถ้ำสาริกาพรรษา๒๒ท่านเล่าให้ฟังเปิดจริงไปเปิดที่เชียงใหม่พรรษา๒๒ไปเปิดปฐมฤกษ์อยู่ที่ถ้ำสาริกาเรียกว่าเปิดปฐมฤกษ์พอจากนั้นไปก็ไปเปิดวาระสุดท้ายที่เชียงใหม่เราก็ลืมเสียว่าเป็นต้นไม้อะไรท่านอยู่ต้นไม้ต้นเดียวต้นไม้ต้นนั้นร่มหนาทึบเลยกลางวันท่านมาเดินจงกรมได้สบายเพราะปกติเป็นป่าอยู่แล้วไม่มีผู้มีคนอยู่ในภูเขาเหมือนอยู่หินดานลักษณะนั้นแหละโล่งอากาศก็ดีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม
    กลางวันท่านเดินของท่านเพราะไม่มีผู้มีคนไปกวนเดินเวลาไหนจะเป็นไรไปร่มก็มีตลอดทั้งวันตอนกลางคืนท่านนั่งภาวนาอยู่ที่นั่นโลกธาตุหวั่นฟ้าดินถล่มเป็นเหมือนกันองค์ไหนก็พูดแบบเดียวกันพอตรัสรู้พูดตรัสรู้จะตรงกับศัพท์ที่ว่าสุดยอดของธรรมบรรลุนี้เป็นศัพท์ของพระสาวกตรัสรู้เป็นศัพท์เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าตรัสรู้สาวกเรียกว่าบรรลุความจริงก็ตรัสรู้ถึงแดนวิเศษเหมือนกันนั่นแหละ
    ฟังครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังถึงแดนสุดยอดนั่งน้ำตาร่วงเหมือนกันหมดคืนนั้นไม่นอนเลยนั่งน้ำตาร่วงแล้วกราบอยู่อย่างนั้นคือกราบความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าความอัศจรรย์ของธรรมที่ได้ครองธรรมเพราะพระพุทธเจ้ากระเทือนกันเลยพระพุทธเจ้ากับท่านก็เป็นอันเดียวกันแล้วพอตรัสรู้ปึ๋งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอันเดียวกัน
    พุทโธธัมโมสังโฆเป็นกิริยาเท่านั้นเหมือนกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นใหญ่จริงมีต้นเดียวธรรมะคำว่าธรรมอันเดียวเท่านั้นพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกพอตรัสรู้ธรรมปึ๋งเข้าไปตรงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลยเพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้านิพพานจึงเป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้นธรรมชาตินั้นเป็นพื้นเพอยู่แล้วเมื่อถึงขั้นธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น
    นี่ไม่ว่าองค์ไหนนั่งแล้วกราบแล้วไหว้อยู่อย่างนั้นอย่างประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละเราก็เขียนจากคำบอกเล่าของท่านเองนั่งแล้วกราบไหว้คนเขาเห็นเขาก็จะว่าเป็นบ้าเป็นบอไปเพราะความอัศจรรย์นั่นแหละทำให้เป็นอัศจรรย์แล้วก็สงสารโลกเป็นประมาณเราผ่านมาแล้วทีนี้เราหลุดพ้นแล้วจากที่คุมขังจากที่ทรมานในกองทุกข์สามแดนโลกธาตุนี้เป็นแต่กองทุกข์แดนทรมานสัตว์ทั้งนั้นผุดออกมาแล้วพ้นแล้วมองไปทางนี้ก็สงสารทางนี้มองไปทางนี้ก็อัศจรรย์ทางนี้มองทางนี้อัศจรรย์พระพุทธเจ้าอย่างน้ำตาร่วงองค์ไหนก็เหมือนกันบรรดาที่ได้เล่าสู่กันฟังผู้ที่ถึงแดนแห่งความหลุดพ้นอย่างสุดขีดแล้วเป็นเหมือนกันหมดน้ำตาร่วงเหมือนกัน
    ธรรมอัศจรรย์แค่ไหนฟังซิเราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วงมีไหมเอามาเล่าให้ฟังหน่อยน่ะมานั่งเต็มศาลาอยู่นี่เราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วงนั่นท่านน้ำตาร่วงอัศจรรย์ไหมเลิศไหมธรรมถ้าให้ท่านพูดตามศัพท์ภาษาของธรรมของความจริงจริงแล้วท่านจะว่าพวกสามแดนโลกธาตุนี้คือพวกบ้าไม่เลิกว่าอย่างนั้นเลยบ้าไม่เบื่อบ้าไม่เข็ดไม่หลาบคือพวกเราพระพุทธเจ้าพอพ้นขึ้นแล้วยังเข็ดยังขยะกลัวจะได้กลับมาอีกทั้งที่รู้แล้วว่าพ้นแล้วนั่นละโทษของมันหนักขนาดไหนจึงขยะขยาดเข็ดหลาบที่ผ่านมาแล้วนี้เข็ดที่สุดแล้วสุดขีดแล้วได้พ้นแล้วด้วยก็ยังเข็ดอยู่ขนาดนั้นพวกเราพวกตายไม่เข็ด
    พากันสร้างเอานะความดีนั่นละที่พาหนุนให้พ้นนอกจากนั้นไม่มีในสามแดนโลกธาตุนี้มองหาอะไรไม่มีที่จะมาฉุดมาลากเราให้หลุดพ้นขึ้นจากกองทุกข์กองทรมานที่ว่านี้มีบุญมีกุศลเท่านั้นไม่มีอย่างใดเลยเพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงแยกกันไม่ออกโลกคือโลกของกิเลสมีเท่าไรธรรมเป็นเครื่องต้านทานแก้ไขถอดถอนชะล้างกันต้องมีเป็นประจำไม่มากก็ต้องเป็นยุคเป็นสมัยอย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้งนั่นละมาเป็นพักแต่กิเลสนี้มันเป็นพืดของมันอยู่อย่างนี้ถ้าเวลาไหนธรรมมีขึ้นมาพระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ก็ยุบยอบลงไปพอพระพุทธเจ้าและธรรมผ่านไปแล้วมันก็ผึงขึ้นมาอีก

    เอาละให้พร

    http://202.28.94.202/katekaew/tripidok/WAT PA BAHN TAHD/Dhamma/Thai Version/Word/y40/NOV2040.DOC
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คนขี้แพ้iofeastไปข้ามเวทนาในจิตให้ได้แล้วค่อยมาคุยธรรมะเบื้องสูงกัน





    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๐
    เราไม่ได้อวด<O:p</O:p
    จากวัดเรานี้ไปห้วยทราย ๓ ชั่วโมงพอดี ไกลนะ ทางก็ดี พอไปนี่แวะกุมภวา ตัดศรีธาตุออกวังสามหมอ พุ่งออกสี่แยกสมเด็จ เลยสี่แยกสมเด็จไป ๘๐ กิโลพอดีแล้วแวะเข้าวัด ไกล เราไปอยู่ห้วยทรายถึง ๔ ปี ห้วยทรายสงัดดี อยู่ตีนเขา บ้านห้วยทรายอยู่ทางด้านตะวันออก ภูเขาอยู่ทางด้านตะวันตก วัดอยู่ทางทิศเหนือของภูเขา จำพรรษาปีแรกเราขึ้นไปจำพรรษาบนเขากับเณรภูบาล เดี๋ยวนี้เป็นมหาแล้ว พอถึงเวลาที่จะประชุมก็ลงจากภูเขาไปประชุมที่วัดตีนเขา ทางผ่านแต่ก่อนไม่มี ลงจากภูเขาก็เข้าวัดตีนเขา ไปอยู่นั้น ๔ ปี ๒๔๙๓ จำ(พรรษา)หนองผือ ๒๔๙๔-๒๔๙๗ จำห้วยทราย จากนั้นก็มาเอาโยมแม่บวชแล้วไปจันท์ ออกจากจันท์ก็มาสร้างวัดที่นี่ ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ ได้ ๕๐ ปีแล้วสร้างวัด
    ต้นไม้นี่ใหญ่โตแล้ว แต่ก่อนไม่มี ถูกเขาทำลายทำสวน ป่าราบไปหมด ๕๐ ปีได้ขนาดนี้ต้นไม้ เรียกว่าเป็นคนละโลกไปเลย มาอยู่ที่นี่ทีแรกเป็นป่าเบญจมาศป่าอะไร พอมาสร้างวัดต้นไม้ก็ขึ้นขนาดนี้ ๕๐ ปี ดงต่อกันนะ นานี่ไม่มี เป็นดงต่อไปเป็นดงใหญ่ พวกหมู กวาง เก้ง หมี เสือ สร้างวัดทีแรกมันผ่านเข้ามาในวัด มันเดินผ่านทางที่เข้าบ้านเสือโคร่งใหญ่ ก็ป่าเขานี่มันผ่านไปผ่านมา หายหมดนะเสือเหล่านี้ แรกๆ พวกหมี พวกเสือโคร่ง ผ่านไปผ่านมา
    ท่านแสวงดูว่าไปตายที่วัดเขาน้อยละมั้ง กลัวหมี ทีแรกมันออกมากุฏิเรา กุฏิเราเป็นกระต๊อบ พอมาเจอกุฏิเราเข้าตีสาม มันจะข้ามไปดง ข้ามไปข้ามมาหมีใหญ่ แล้วมันเลาะไปเจอกุฏิท่านแสวง โอ๊ย ตัวใหญ่ตัวดำๆ เดือนหงายๆ มันออกมาหาเราแต่ยังไม่ทันเห็นเรา เสียงมันดังโครมครามๆ มาเจอกุฏิเราแล้วก็เลาะไปเจอเอากุฏิพระแสวง กุฏิมีแต่กระต๊อบนะ พระแสวงยืนตัวสั่นอยู่ในกระต๊อบ มันออกมาเจอกระต๊อบมันก็หลบอีกมันไม่ผ่าน หลบไปทางนู้นหมีใหญ่ มีสองสามตัวรอยมันผ่านไปผ่านมา เดี๋ยวนี้หมดเสือไม่มี พวกสัตว์เนื้อหมด เขาตั้งอำเภอแถวนั้นแหละดงใหญ่
    วัดนี้สร้าง ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ เดี๋ยวนี้ ๒๕๕๐ ดูจะ ๕๒ ปีแล้วสร้างวัด สงัด แถวนี้ไม่มีต้นไม้ เป็นพุ่มหมดเลย ใหญ่ขนาดนี้ต้นไม้ มันเป็นดงเก่าเขามาทำไร่ทำสวน เตียนโล่งไปหมด พอเรามาสร้างวัดที่นี่มันขึ้นใหม่นะนี่ ต้นใหญ่ๆ ขึ้นใหม่หมดเลย ประมาณ ๕๐ ปี พระก็ดูเหมือน ๑๒ องค์ ปีแรกมาอยู่นี่ ๑๒ องค์ เรารับจำกัด ๑๘ องค์ แต่ก่อนพระเณรมีจำนวนมาก ครูบาอาจารย์มี ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปก็ไหลเข้ามาหาเรา จาก ๑๘ รับ ๒๐ จาก ๒๐ เตลิดเลยเป็น ๕๐ กว่าตลอดมา
    ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามาๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบายๆ ท่านส่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน
    พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริงๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ พอสองทุ่มไปในงานเราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด เอ้า ถ้าติดหรือข้องตรงไหนที่เล่าถวายครูบาอาจารย์ให้ว่ามาเลย สุดขีดเท่านี้ความสามารถของผม ถ้าว่าติดก็ติดอย่างตายใจเลย ไม่หาอะไรอีกแล้ว สุดขีดเพียงเท่านี้ หมดที่จะหา พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลยเรา
    เราเล่าตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงที่สุดความสามารถของเรามอบถวายท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังไม่นาน ท่านตอบรับเรา มีอยู่สองจุดเท่านั้นท่านว่า ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น มันใครนี่น่ะ ดิฉัน ชื่อว่ายังไง ยุวดี มาตั้งแต่เมื่อไร มาแต่สองทุ่ม โอย หมดตับเลย
    แล้วก็ไปโม้ข้างนอก อู๊ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่ ใครๆ ยุวดี มาจากไหน มาในงานนี้แหละ มาแต่เมื่อไรมาที่นี่ มาแต่สองทุ่ม หมดตับเราก็ว่างี้ มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก<O:p</O:p
    พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟัง ที่อำเภอแม่แตงหรืออะไรเชียงใหม่ ท่านบอกว่าไปเป็นอยู่ที่โรงขอด เราก็บอกตรงๆ เลยเราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน รื่นเริงบันเทิงกัน เพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติผิดที่ไหนจะรู้กันทันทีๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลย เวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่เราก็ว่างั้น<O:p</O:p
    ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ ตายใจแหละท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อๆ นิดหน่อย เพราะอะไรๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเองๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้าๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่าโรงขอด เราก็เล่าถวายท่านว่าที่วัดดอยธรรมเจดีย์<O:p</O:p
    เวลาท่านจะจากที่นั่นไป มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้นท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็กๆ เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน<O:p</O:p
    เราก็วัดดอยธรรมเจดีย์ ธรรมดาแต่ก่อนพอไปถึงปั๊บจะขึ้นกุฏิกระต๊อบหลังนั้นเลย เดี๋ยวนี้ขึ้นไม่ได้แล้ว กระเทือนใจตลอดไม่มีถอนนะวัดดอยธรรมเจดีย์ ของเราเป็นเวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดีเลย โห ฟ้าดินถล่มไม่ใช่เล่นนะ คือระหว่างจิตกับกิเลสพรากจากกัน ระหว่างจิตกับกายกระเทือนมากนะ ตัวนี้กระเด็นเลยเทียว พุ่งเลย นั่นละที่ว่าเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดาเขานั่นแหละ แต่มันเป็นระหว่างกายกับจิต ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน แล้วจิตกับกายมันกระเทือนกัน กระเทือนไปหมดเลย โถ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย วัฏจักรวัฏจิตขาดจากกันนี้รุนแรงมากสำหรับเรา<O:p</O:p
    องค์เหล่านั้นก็เป็นเรียบๆ อย่างท่านสิงห์ทอง องค์นี้เรียบ ท่านมาเล่าให้ฟัง เล่าจนกระทั่งถึงที่สุดของท่าน ที่สุดของท่านกับเราไม่มีอะไรค้านกัน เวลาปฏิบัติมันค่อยละเอียดเข้าไปๆ หมดไปๆ เลยหายเงียบเลยท่านว่า เลยไม่ทราบว่าสิ้นเมื่อไร แต่ผลที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เรียกว่ามันหายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราพิจารณาตามที่ท่านเล่าให้ฟังไม่ผิดเลย แต่การดำเนินเป็นไประยะๆ ของท่าน ท่านบอกว่าเรียบๆ อันนี้ถ้าจะเทียบตามตำราก็ว่า สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต กิริยาความไหวของขันธ์ของจิตนี้จะต่างกัน ท่านจึงบอกไว้ถึง ๔ อย่าง อย่างท่านสิงห์ทองเรียบไปเลย จนเจ้าของก็ไม่รู้ว่ามันสิ้นเมื่อไร เรียบไปเลย เวลามาเล่าผลเราก็ยอมรับว่าผลนั้นเหมือนกันหาที่ค้านไม่ได้ เอาละกิริยานั้นก็ช่างมันเถอะ<O:p</O:p
    ในพระอรหันต์ ๔ ท่านก็แสดงไว้แล้ว สุกขวิปัสสโก นี่จำพวกหนึ่ง เตวิชโช ได้วิชชา ๓ พวกหนึ่ง ฉฬภิญโญ ได้อภิญญาณ ๖ เป็นเครื่องประดับ นี้อันหนึ่ง แล้ว จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่เป็นอรหันต์ ๔ จำพวก อยู่ในจำพวกไหนก็แล้วแต่ เป็นจำพวกที่สิ้นกิเลสด้วยกันนั่นแหละ เราก็ไม่ได้ค้านท่าน ทีนี้เวลาท่านล่วงไปอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ประกาศแล้วนั่น ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง เปิดเผยแล้วในความเป็นอรหันต์ เปิดเผยเต็มที่<O:p</O:p
    สำหรับเรามันรู้สึกจะมีแปลกๆ ต่างๆ อยู่อะไรก็ดี เวลาเป็นนี้ก็เหมือนว่าฟ้าดินถล่มเลย เป็นอย่างนั้นนะ มันกระเทือนหมด แต่ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดา มันเป็นระหว่างจิตกับกาย มันไหวๆ อย่างแรง ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ระหว่างกายกับจิตทำงานต่อกันมันกระเทือนมากสำหรับเราเอง ตั้งแต่นั้นมาก็หมดปัญหาดังที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายไม่มีอะไรอีกเลยตั้งแต่นั้นมา เวลาเป็นขึ้นทีแรกก็หายสงสัยแล้วตัดสินขาดสะบั้นไปแล้ว ต่อมานี้มันจะมีอะไรมาแทรกอีกไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง<O:p</O:p
    นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่มรรคผลนิพพานจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่อยู่กับโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่กับพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถอะ ที่มันไม่ปฏิบัติมันเที่ยวหาให้คะแนนตัดคะแนนของผู้ปฏิบัติด้วยความหน้าด้านหน้ามืดของมันซิ มันน่าทุเรศนะเดี๋ยวนี้ อย่างที่เขาเล่าให้ฟัง มันระบุชื่อออกมาด้วย มันบอกว่ามันจะมาฟ้องเราว่าอวดอุตริมนุสสธรรม อวดตนว่าได้เป็นพระอรหันต์<O:p</O:p
    เราก็ไม่ได้อวดใครเราก็พูดธรรมดากับลูกศิษย์ลูกหา ผู้มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรม ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายสอนโลก ท่านก็สอนอย่างนั้น อันนี้ก็สอนแบบเดียวกัน ใครอาจจะมาฟ้องเราว่าเป็นสังฆา ปาราชิก ทางนี้ก็รับกันเลยว่าให้ยกมาทั้งโคตร ถ้ามีโคตรให้ยกโคตรมาเลยมาฟ้องหลวงตาบัวว่าเป็นปาราชิก เพราะอวดอุตริมนุสสธรรม เราก็มีโคตรเหมือนกันเราก็บอก มันตลกไปด้วย ก็มันไม่มีอะไรกับโลก ถึงจะว่าอะไรก็ว่าเฉยๆ เมื่อมันสิ้นสมมุติแล้วจะเอาอะไรมามี คำว่าฟ้องสังฆา ปาราชิก มันก็ไม่มี เพราะอันนี้เป็นสมมุติ อันนั้นมันผ่านไปหมดแล้ว แต่นำมาเป็นสมมุติรับกัน ว่าให้ยกโคตรมามาฟ้องเรา ยกมาเฉยๆ ไม่มีอะไร ก็เป็นอย่างนั้น<O:p</O:p
    ลงมันได้ถนัดกับจิตใจเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้าย คือรู้ผลงานของตัวเองโดยสมบูรณ์แบบแล้วก็หมด พระพุทธเจ้าอรหันต์ท่านไม่ถามใคร พอตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นศาสดาขึ้นทันที สาวกตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทันทีๆ เหมือนกัน ธรรมะคงเส้นคงวาหนาแน่นไม่มีอะไรเคลื่อนคลาดเลย กิเลสก็เป็นกิเลสประเภทเก่า ธรรมะก็เป็นธรรมะประเภทเก่า ที่เคยแก้กิเลสให้ขาดสะบั้นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นอกจากกิเลสมันหน้าด้านของมัน เพราะกิเลสเป็นตัวหน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไร มันบอกว่าเวลานี้ศาสนาหมดเขตหมดสมัย ไม่มีบุญมีบาป ไปทำบุญทำบาปไม่ได้บุญได้บาปอะไร บาปนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี อะไรไม่มี นี่พวกตาบอดที่สุดหนวกที่สุดหมดราค่ำราคา ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ ตายแล้วจมเลย<O:p</O:p
    จมที่ว่าไม่มีนั่นละ ลงไปตรงนั้นจะไปไหน ก็คนตาบอดมันจะไปที่ปลอดภัยอะไร มันก็ต้องไปหาอันตรายซิ ตกหลุมตกบ่อชนไม้ชนเสาไปละซิ นั่นคนตาบอด จิตประเภทจิตบอดก็เป็นอย่างนั้น จิตของท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงท่านจะไปติดอะไร ไม่มีอะไร สมมุติสามแดนโลกธาตุผ่านได้หมดแล้ว แล้วจะมาโดนกับสมมุติตัวใดเป็นภัยล่ะ ไม่มี<O:p</O:p
    สดๆ ร้อนๆ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่กับคำสอนพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติตามนั้น สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สวดอยู่ทุกวัน ตรัสออกมาย่อๆ ก็ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่จะขัดจะแย้งหรือไม่มีที่จะเพิ่มเติมหรือส่งเสริมตรงไหนอีก เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถิด มรรคผลนิพพานจะเป็นของผู้ปฏิบัติเสียเอง ไม่มีใครจะแบ่งสันปันส่วนหรือตัดหรือคัดค้านต้านทานได้เลย ให้ปฏิบัติตามนั้น มีตลอดไปถ้ามีผู้ปฏิบัติตาม ถ้าไม่มีจะกอดชายจีวรของพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร<O:p</O:p
    นี่เราก็จวนเข้ามาแล้ว ไปไหนมาไหนก็ลำบากลำบนแล้วเดี๋ยวนี้ ห่วงโลกก็ห่วงด้วยความเมตตา ไม่ได้อยู่ละวันหนึ่งไปๆ เพราะความเมตตา สำหรับเราเราหมดห่วงแล้ว เราไม่มีอะไร อย่างพาโลกดำเนินอยู่นี้เราก็ไม่หวังเอาอะไรทั้งนั้น เราไม่เอาจริงๆ ด้วย มีเท่าไรๆ เราโละหมดเพื่อโลกสงสาร อย่างทำบุญให้ทานเพื่อโลกทั้งนั้น เราไม่เอา เราพอ ไม่มีอะไรพออย่างเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจกับธรรมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วพอ พออย่างเลิศเลอ สิ่งเหล่านั้นมันเลิศเลอที่ไหน ถึงจะเอาเข้ามาเสริมมันก็ไม่เลิศเลอ แล้วจะเข้ากันได้ยังไง เพราะฉะนั้นนินทาสรรเสริญซึ่งเป็นของไม่เลิศเลอจะเข้ากับจิตดวงที่บริสุทธิ์เลิศเลอแล้วได้ยังไง เข้าไม่ได้ นั่น มันรู้อยู่ในหัวใจ<O:p</O:p
    ศาสนาจะไม่มีเหลือเพราะไม่มีผู้ปฏิบัติ เหยียบไปย่ำมาอยู่งั้นละ ธรรมธาตุถูกกิเลสตัณหาเหยียบแหลก มรรคผลนิพพานไม่มีๆ ที่มีก็มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความดิ้นความดีดทะเยอทะยานนั่นละ ที่เหยียบธรรมอยู่ทุกวันนี้ หาความสุขไม่ได้นะพวกนี้พวกหาความสุขไม่ได้ ท่านที่ถูกกิเลสเหยียบท่านไม่มีอะไร ก็มีแต่พวกกิเลสมาเหยียบแล้วก็เหยียบหัวมันเอง ไม่ใช่เหยียบพระพุทธเจ้า เหยียบหัวมันเอง จะไปเหยียบท่านได้ยังไง ท่านพ้นแล้วนี่ พากันตั้งใจปฏิบัตินะนักปฏิบัติเรา อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ หัวใจฝึกให้ดีดีได้ ทำให้เลวเลวได้ ใจเป็นของฝึกได้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นศาสดาได้เพราะการฝึกฝนอบรม สาวกได้เป็นเพราะการอบรมศึกษา ไม่อบรมตายทิ้งเปล่าๆ มีแต่ลมหายใจฝอดๆ แตกลงไปนี้ก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ใจก็ไปเสวยกรรมตัวเอง ซึ่งส่วนมากมักจะทำแต่ความชั่วจมลงๆ เท่านั้น หาความดีไม่มีติดตัวนะ เอาละวันนี้พูดเท่านี้ละพอ
     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เจ้าคนขี้แพ้iofeast

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=3NP9ozvbDeE&feature=player_embedded"]YouTube - Tonight Show 29Mar10 6/6[/ame]
     
  7. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    คนเพ้อเจ้อรวิพันธุ์ ตอบไม่ได้ไปไม่เป็น ก็ไปลอกพระเทศนาของหลวงตามาทั้งบท


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Sriaraya5 [​IMG]
    ช่วงหักเหของการปฏิบัติ

    อาจไม่ตรงกัน เพราะมีหลายตำรา

    ตามดูช่วงที่ตรงกับเราที่สุด

    นะจ๊ะ แต่ละตำราไม่เหมือนกัน

    อิอิ

    หาก ไอโอเฟส จะถามว่า ทำไมผมถึงต้องอ่อนโน้มถ่อมตน
    ทั้งๆที่ผมรู้ถานะตนเองว่าเป็นญาณของพระศาสดาจารย์

    เพราะผมมาระลึกถึงหลวงปู่ใหญ่กัสสปะเถระเจ้า จึงแสดงอาการลิงโลดที่ได้พบพระธรรมบรมครูเทพโลกอุดร

    การที่ผมได้โน้มตนเข้าไปหาหลวงปู่เฌรนิรนาม ก็เสมือนว่าผมได้พบพระธรรมเทพโลกอุดร






    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    มันจะไม่ง่ายกว่านี้หรือครับ
    ถ้ากระผมจะขอสารภาพว่า เราคือ
    พระศาสดายุคขาว พระศรีอาริยเมตไตรย
    กราบคารวะพระมารดา
    ถ้ากระผมจำไม่ผิดนะ หนังจีนเรื่องดาบวงพระจันทร์
    จะมีฝ่ายอธรรม ชอบเอาชื่อ จอมยุทธ บุรพาไม่แพ้ไปวางกล้ามกับพรรคเล็กพรรคน้อง ปรากฏว่าจอมยุทธบุรพาไม่แพ้ตัวจริงตามเช็ดตามล้าง
    ฆ่าบุรพาไม่แพ้ที่ลวงโลกตายหมด



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เราคือพระศรีอริยะเมตไตรย
    แต่เป็นกายตรัสรู้ที่มีเลือดเนื้อแบบมนุษย์ธรรมดา



    </TD></TR></TBODY></TABLE>อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เรารับโองการสวรรค์มาโปรดชาวโลก โองการเบื้องบน ก็คือ พระอนุตตรธรรมเจ้า หรือ พระแม่องค์ธรรม หรือ เจ้าแห่งจักรวาลที่ชาวจีนเขาเรียกกันหมิงหมิงซั่งตี้ หมายถึงพระแม่องค์ธรรม






    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ฮ่าฮ่าฮ่า เที่ยวประกาศว่าตน ตรัสรู้แล้ว บรรลุธรรมแล้ว เป็นญาณของพระศาสดา รู้ทันพุทธวิสัย เป็นพระศรีฯอีกตะหาก ....................... จะแสดงธรรมแต่ละที ต้องไปลอก ไปก๊อปปี้ พระธรรมเทศนาของหลวงตาท่าน ของพระอริยะสาวกทั้งหลาย มาโพสต์ ไม่เคยแสดงภูมิปัญญาที่ตนเที่ยวประกาศให้ประจักแม้สักครั้งหนึ่ง ถูกถามอะไรที่ไม่มีข้อมูลทางเว็ปก็ไม่สามารถตอบได้เลยสักครั้ง.................อย่าหลงอีกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า catt3
     
  8. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    รวิพันธุ์คนสติไม่ดี รักษาอาการทางจิตให้หายก่อนแล้วจะเมตตาสั่งสอนท่านสักครั้ง


    <CENTER>สฬายตนวรรค
    </CENTER><CENTER>๑. อนาถปิณฑิโกวาทสูตร (๑๔๓)
    </CENTER> [๗๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย
    ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก จึงเรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า มาเถิดพ่อมหาจำเริญ พ่อ
    จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วจงถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาค
    ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเรา แล้วจงกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ขอถวายบังคมพระบาท
    พระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า อนึ่ง จงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่อยู่ แล้ว
    จงกราบเท้าท่านพระสารีบุตรตามคำของเรา และเรียนอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
    อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ขอกราบเท้าท่านพระ-
    *สารีบุตรด้วยเศียรเกล้า และเรียนอย่างนี้อีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โอกาสเหมาะ
    แล้ว ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปยังนิเวศน์ของอนาถ-
    *บิณฑิกคฤหบดีเถิด บุรุษนั้นรับคำอนาถบิณฑิกคฤหบดีแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    [๗๒๑] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้า
    แต่พระองค์ผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ขอ
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ต่อนั้น เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่
    อยู่ กราบท่านพระสารีบุตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว
    จึงเรียนท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทน
    ทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ขอกราบเท้าท่านพระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้าและสั่งมา
    อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โอกาสเหมาะแล้ว ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความ
    อนุเคราะห์เข้าไปยังนิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคฤหบดีเถิด ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์
    ด้วยดุษณีภาพ ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรนุ่งสบงทรงบาตรจีวร มีท่านพระอานนท์
    เป็นปัจฉาสมณะ เข้าไปยังนิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคฤหบดี แล้วนั่งบนอาสนะที่
    เขาแต่งตั้งไว้ ฯ
    [๗๒๒] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี้ว่า
    ดูกรคฤหบดี ท่านพอทน พอเป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลา ไม่กำเริบ ปรากฏ
    ความทุเลาเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความกำเริบละหรือ ฯ
    อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ กระผมทนไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว
    ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด ไม่
    ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
    [๗๒๓] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณกระทบขม่อม
    ของกระผมอยู่ เหมือนบุรุษมีกำลังเอาของแหลมคมทิ่มขม่อมฉะนั้น กระผมจึงทน
    ไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏ
    ความกำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
    [๗๒๔] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณเวียนศีรษะกระ
    ผมอยู่ เหมือนบุรุษมีกำลังให้การขันศีรษะด้วยชะเนาะมั่นฉะนั้น กระผมจึงทน
    ไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏมี
    ความกำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
    [๗๒๕] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณปั่นป่วนท้องของ
    กระผมอยู่ เหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาดเอามีดแล่โคอันคมคว้าน
    ท้อง ฉะนั้น กระผมจึงทนไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก
    กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
    [๗๒๖] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ความร้อนในกายของกระผมเหลือ
    ประมาณ เหมือนบุรุษมีกำลัง ๒ คน จับบุรุษมีกำลังน้อยกว่าที่อวัยวะป้องกันตัว
    ต่างๆ แล้ว นาบ ย่าง ในหลุมถ่านเพลิง ฉะนั้นกระผมจึงทนไม่ไหว เป็นไป
    ไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความกำเริบเป็นที่
    สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
    [๗๒๗] สา. ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่าง
    นี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นจักษุ และวิญญาณที่อาศัยจักษุจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสต และวิญญาณที่อาศัยโสต
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นฆานะ และวิญญาณที่อาศัยฆานะ
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหา และวิญญาณที่อาศัยชิวหา
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกาย และวิญญาณที่อาศัยกาย
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโน และวิญญาณที่อาศัยมโน
    จักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๒๘] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
    เราจักไม่ยึดมั่นรูป และวิญญาณที่อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเสียง และวิญญาณที่อาศัยเสียงจัก
    ไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกลิ่น และวิญญาณที่อาศัยกลิ่น
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นรส และวิญญาณที่อาศัยรสจัก
    ไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโผฏฐัพพะ และวิญญาณที่อาศัย
    โผฏฐัพพะจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นธรรมารมณ์ และวิญญาณที่อาศัย
    ธรรมารมณ์จักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๒๙] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
    เราจักไม่ยึดมั่นจักษุวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัยจักษุวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสตวิญญาณ และวิญญาณที่
    อาศัยโสตวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นฆานวิญญาณ และวิญญาณที่
    อาศัยฆานวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหาวิญญาณ และวิญญาณที่
    อาศัยชิวหาวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกายวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัย
    กายวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโนวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัย
    มโนวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๐] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เรา
    จักไม่ยึดมั่นจักษุสัมผัส และวิญญาณที่อาศัยจักษุสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสตสัมผัส และวิญญาณที่อาศัย
    โสตสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นฆานสัมผัส และวิญญาณที่อาศัย
    ฆานสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหาสัมผัส และวิญญาณที่อาศัย
    ชิวหาสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกายสัมผัส และวิญญาณที่อาศัย
    กายสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโนสัมผัส และวิญญาณที่อาศัย
    มโนสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๑] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เรา
    จักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่จักษุสัมผัส และวิญญาณที่อาศัยเวทนาเกิดแต่จักษุสัมผัส
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่โสตสัมผัสและวิญญาณ
    ที่อาศัยเวทนาเกิดแต่โสตสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่ฆานสัมผัส และ
    วิญญาณที่อาศัยเวทนาเกิดแต่ฆานสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่ชิวหาสัมผัส และ
    วิญญาณที่อาศัยเวทนาเกิดแต่ชิวหาสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่กายสัมผัส และ
    วิญญาณที่อาศัยเวทนาเกิดแต่กายสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่มโนสัมผัส และ
    วิญญาณที่อาศัยเวทนาเกิดแต่มโนสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๒] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
    เราจักไม่ยึดมั่นปฐวีธาตุ และวิญญาณที่อาศัยปฐวีธาตุจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอาโปธาตุ และวิญญาณที่อาศัย
    อาโปธาตุจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเตโชธาตุ และวิญญาณที่อาศัย
    เตโชธาตุจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวาโยธาตุ และวิญญาณที่อาศัย
    วาโยธาตุจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากาสธาตุ และวิญญาณที่อาศัย
    อากาสธาตุจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๓] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เรา
    จักไม่ยึดมั่นรูป และวิญญาณที่อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนา และวิญญาณที่อาศัย
    เวทนาจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสัญญา และวิญญาณที่อาศัย
    สัญญาจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสังขาร และวิญญาณที่อาศัย
    สังขารจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัย
    วิญญาณจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๔] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เรา
    จักไม่ยึดมั่นอากาสานัญจายตนฌาน และวิญญาณที่อาศัยอากาสานัญจายตนฌาน
    จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวิญญาณัญจายตนฌานและวิญญาณ
    ที่อาศัยวิญญาณัญจายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากิญจัญญายตนฌานและวิญญาณ
    ที่อาศัยอากิญจัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และ
    วิญญาณที่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๕] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เรา
    จักไม่ยึดมั่นโลกนี้ และวิญญาณที่อาศัยโลกนี้จักไม่มีแก่เรา
    พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโลกหน้า และวิญญาณที่อาศัย
    โลกหน้าจักไม่มีแก่เรา
    ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๖] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
    อารมณ์ใดที่เราได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้แสวงหา ได้พิจารณาด้วย
    ใจแล้ว เราจักไม่ยึดมั่นอารมณ์แม้นั้น และวิญญาณที่อาศัยอารมณ์นั้นจักไม่มีแก่
    เรา ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
    [๗๓๗] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวแล้วอย่างนี้ อนาถบิณฑิกคฤหบดี
    ร้องไห้ น้ำตาไหล ขณะนั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี้
    ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านยังอาลัยใจจดใจจ่ออยู่หรือ ฯ
    อ. ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ กระผมมิได้อาลัย มิได้ใจจดใจจ่อ แต่
    ว่ากระผมได้นั่งใกล้พระศาสดาและหมู่ภิกษุที่น่าเจริญใจมาแล้วนาน ไม่เคยได้สดับ
    ธรรมีกถาเห็นปานนี้ ฯ
    อา. ดูกรคฤหบดี ธรรมีกถาเห็นปานนี้ มิได้แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาว
    แต่แจ่มแจ้งแก่บรรพชิต ฯ
    อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอธรรมีกถาเห็นปานนี้ จง
    แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาวบ้างเถิด เพราะมีกุลบุตรผู้เกิดมามีกิเลสธุลีในดวงตา
    น้อย จะเสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้ไม่รู้ธรรม โดยมิได้สดับ ฯ
    ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์กล่าวสอนอนาถบิณฑิก
    คฤหบดีด้วยโอวาทนี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป ฯ
    [๗๓๘] ต่อนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเมื่อท่านพระสารีบุตรและท่าน
    พระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ก็ได้ทำกาลกิริยาเข้าถึงชั้นดุสิตแล ครั้งนั้น ล่วง
    ปฐมยามไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตรมีรัศมีงามส่องพระวิหารเชตวันให้สว่างทั่ว
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ยืน ณ
    ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วย
    คาถาเหล่านี้ว่า
    พระเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อัน
    พระองค์ผู้เป็นธรรมราชาประทับ เป็นที่เกิดปีติแก่ข้าพระองค์
    สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ กรรม ๑
    วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตร
    หรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็ง
    เห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย จะ
    บริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้ด้วยอาการนี้ พระสารีบุตรนั้นแล ย่อม
    บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ ความจริง
    ภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรนี้ ฯ
    อนาถบิณฑิกเทวบุตรกล่าวดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ต่อนั้น
    อนาถบิณฑิกเทวบุตรทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัยจึงถวายอภิวาทพระผู้มี
    พระภาค แล้วกระทำประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นเอง ฯ
    [๗๓๙] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะ
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ล่วงปฐมยามไปแล้ว มีเทวบุตรตน
    หนึ่ง มีรัศมีงาม ส่องพระวิหารเชตวันให้สว่างทั่ว เข้ามาหาเรายังที่อยู่ อภิวาท
    เราแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราด้วย
    คาถานี้ว่า
    พระวิหารเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว
    อันพระองค์ผู้เป็นธรรมราชาประทับอยู่ เป็นที่เกิดปีติแก่ข้าพระองค์
    สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ กรรม ๑
    วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตร
    หรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็น
    ประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย จะบริสุทธิ์
    ในธรรมนั้นได้ด้วยอาการนี้ พระสารีบุตรนั้นแล ย่อมบริสุทธิ์
    ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ ความจริง ภิกษุผู้
    ถึงฝั่งแล้วจะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวบุตรนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว รู้ว่าพระศาสดาทรงพอ
    พระทัย จึงอภิวาทเรา แล้วกระทำประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นแล ฯ
    [๗๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้กราบ
    ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เทวบุตรนั้น คงจักเป็น
    อนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่ เพราะอนาถบิณฑิกคฤหบดีได้เป็นผู้เลื่อมใสแล้วในท่าน
    พระสารีบุตร ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ถูกแล้วๆ เท่าที่คาดคะเนนั้นแล เธอลำดับเรื่องถูก
    แล้ว เทวบุตรนั้นคืออนาถบิณฑิกเทวบุตร มิใช่อื่น ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    iofeast เด็กอ่อนหัด iofeast

    อาจารย์ของเจ้าไม่ได้มา ยึดติดแค่เศษบุญเศษกุศลที่ใครๆเข้ามาอนุโมทนาให้หรอกนะ การที่จิตยังมีขึ้นมีลง

    นั่นเป็นหมายสำคัญให้ตนรู้ว่า ยังเป็นจิตปุถุชนคนหนา ยังไม่ใช่จิตอริย จิตอริยจะไม่หวั่นไหวด้วยนินทา และ สรรเสริญ

    ส่วนเรื่องเช่น ด่าว่าพระสงฆ์บ้างด่าพระปฏิมากร อาจารย์พันก็เป็นมาก่อน

    อย่าปล่อยให้ความรู้สึกที่จิตคิดไม่ดี
    มาเป็นบ่อนทำลาย กุศลที่เราเพียรพยายามสร้างมาแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้

    จำไว้นะมีแต่ สี่คู่แปดบรุษเท่านั้นที่ไม่เผลอประมาทพลาดพลั้งปากล่วงเกินพระรัตนตรัย

    นอกนั้นล่วงเกินพระรัตนตรัยโดยไม่เจตนาหรือตั้งใจ อาจจะคิดอกุศลไปโดยที่<WBR>จิตปรุงแต่งไปเอง ผู้ที่ยังต้องศึกษาอีกมากจึงต้องมีการทำวัดเย็นเช้า กับ เย็น เพื่อขอขมาพระรัตนตรัย

    บุคคลที่จะมีสิทธิพิเศษ ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำวัดเช้าทำวัดเย็นเพื่อขอขมาพระรัตนตรัย คือพระอริยเจ้า กับ พระอริยบุคคล การอนุโมทนาบุญท่านได้รับอยู่ในตัวอยู่แล้ว แม้จะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม ดังนี้ อาจาย์มีความสุขดีเป็นสุขอย่างแท้จริง
     
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    iofeast คิดถึงอาจารย์ก็ให้หมั่นภาวนามากๆเจริญมากๆiofeast

    <CENTER>iofeast คิดถึงอาจารย์ก็ให้หมั่นภาวนามากๆเจริญมากๆiofeast

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>จำไว้นะมีแต่ สี่คู่แปดบรุษเท่านั้นที่ไม่เผลอประมาทพลาดพลั้งปากล่วงเกินพระรัตนตรัย

    นอกนั้นล่วงเกินพระรัตนตรัยโดยไม่เจตนาหรือตั้งใจ อาจจะคิดอกุศลไปโดยที่<WBR>จิตปรุงแต่งไปเอง ผู้ที่ยังต้องศึกษาอีกมากจึงต้องมีการทำวัดเย็นเช้า กับ เย็นเพื่อขอขมาพระรัตนตรัย

    ส่วนพระอริยเจ้าท่านจะทำวัดเช้าทำวัดเย็น หรือ ไม่ทำก็ได้เป็นสิทธิ์ของท่าน
    เพราะกิจอื่นยิ่งไปกว่านี้ไม่มีแล้ว หมด
     
  11. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    อยากหายบ้า ก็ไปให้หมอใช้ไฟฟ้าช็อตให้มากๆนะดา


    ฮ่าฮ่าฮ่า เอ่อ...คือ.....ท่านยังไม่ได้ให้ข้อมูลถึงที่มาของบทความนี้ที่ดาไปลอกมาเลยอ่ะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว อวดอ้างว่าเป็นของตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 2 มีปรากฏอยู่ในโลก

    ฮ่าฮ่าฮ่า จำไว้นะดา นี่คือมหาโจรจำพวกที่2 ฮ่าฮ่าฮ่า


     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    iofeastปีศาจปากคาบคำภีร์


    iofeastปีศาจปากคาบคำภีร์ถ้ายังละเวทนาในจิตไม่ได้ก็อย่าริมาสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    iofeastปีศาจปากคาบคำภีร์ถ้ายังiofeastละเวทนาในจิตไม่ได้ก็อย่าริมาสอนให้เป็นที่อับอายที่ยังเอาตัวไม่รอดจากวิถีชีวะทั้งหก
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    iofeastปีศาจปากคาบคำภีร์ถ้าiofeastยังละเวทนาในจิตไม่ได้เด็ดขาดก็อย่าริมาสอนให้เป็นที่อับอายที่ยังเอาตัวไม่รอดจากวิถีชีวะทั้งหก คือเทพ, อสูร, มนุษย์, สัตว์เดรฉาน, เปรต
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นี่คือข้อความเดิมของiofeastเขาประจานตัวเค้าเอง





    ฮ่าฮ่าฮ่า พี่น้องเอ๋ย เราบอกแล้ว ข้อความไหนที่เจ้าบ๊องนี่ แต่งเอง ยังไงก็ต้องมี เขียนผิดสะกดผิดอย่างแน่นอน ................. คราวนี้ก็คงจะรู้กันโดยทั่วแล้วว่า ใครที่แอบอ้างไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีปัญญาเป็นขจองตน เที่ยวลอก เที่ยวก๊อป บทความต่างๆจากทางหน้าเว็ปมาตัดต่อ เป็นของตน กระทำด้วยอาการเยี่ยงขโมยนะเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็ดีนะครับลบออกไปเลยเพราะเขาคงไม่มายึดติดกับเรื่องเหล่านี้กันหรอก เห็นแต่ความที่ไม่มีสาระ หลังๆก็ดูไม่มีอะไร และอีกหลายๆอย่างก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะคนหนึ่งว่าตนเป็นพระศรีอารย์ คนหนึ่งว่า ไม่ใช่เป็นเพียงคนเสียสติ จึงเป็นเรื่องมาอย่างยาวนานครับ ลองพิจารณาดูว่าเปิดหรือปิดแล้วจะได้อะไรเพราะถึงปิดเขาก็เปิดใหม่อยู่ดี
     
  17. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ที่ผ่านมาiofeastเล่นนอกกติกาที่ทางเว็ปพลังจิตวางไว้ละลานเพื่อนๆสมาชิกไปทั่ว

    <TABLE class=tborder id=post2901843 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด.<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2901843", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลเว็บบอรด์

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2008
    ข้อความ: 652
    Groans: 2
    Groaned at 14 Times in 8 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 43
    ได้รับอนุโมทนา 1,312 ครั้ง ใน 284 โพส
    พลังการให้คะแนน: 416 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2901843 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->กฎกติกา ของเว็บบอร์ดพลังจิต<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->แนะนำกฎกติกา ของเว็บบอร์ดพลังจิต ([​IMG] 12)
    WebSnow<!-- google_ad_section_end -->


    .......................
    กฎกติกาของเว็บบอร์ดพลังจิต

    ขอความกรุณาช่วยกันรักษากฎกติกามารยาทที่ให้ไว้ข้างล่างเพื่อความสงบสุขของตัวเองและสังคม

    ขอให้สมาชิก ตกลงที่จะทำตามกฎกติกามารยาท

    1) ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดปด ไม่หลอกลวง ไม่พูดวาจาทำให้แตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์
    2) ไม่โพส ใส่ร้ายป้ายสี เสียดสี ในสิ่งไม่เป็นความจริง บิดเบือน ตำหนิติเตียน จาบจ้วงพระรัตนตรัย หรือ บุคคลใดๆ ในทางเสียหาย
    3) ไม่โพสหรือสื่ออะไรต่างๆที่ ละเมิดต่อ กฎหมายบ้านเมือง ศีลธรรม ประเพณี
    4) ไม่โพส รูป วิดีโอคลิป โป๊ ล่อแหลม ขัดต่อศีลธรรม ลงในกระทู้และในรูปแทนตัว
    5) ไม่ก่อกวนสมาชิกและ ไม่ก่อกวนระบบของเว็บพลังจิต
    6) ไม่เผยแผ่สิ่งที่เป็นมิจฉาทิฐิ
    7) ถ้ามีการกระทู้ของต่างศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในเว็บพลังจิต ทางเว็บพลังจิตจะพิจารณาเป็นกรณีๆไป
    ถ้ามีกระทู้ใดๆหรือแนวสอนใดๆ ที่เข้ามาเผยแผ่ในเว็บพลังจิต อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนออกจากพุทธศาสนา ทางเราจะพิจารณาและย้ายกระทู้ดังกล่าวไปในห้องที่เหมาะสมหรือลบออก


    ทีมงานผู้ดูแล palungjit.org ขอสงวนสิทธิ์
    ที่จะ ลบ แก้ไข เคลื่อนย้าย หรือปิดกระทู้ที่ไม่เหมาะสม โดยเหตุผลใดๆก็ตาม โดยมิต้องบอกกล่าวแก่สมาชิกก่อน

    ถึงแม้ว่าผู้ดูแลระบบและผู้คุมห้องของ palungjit.org จะพยายามไม่ให้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอยู่ในบอร์ดนี้
    เป็นไปไม่ได้ที่เราจะดูแลได้อย่างทั่วถึงทั้งหมด


    ข้อความในเว็บบอร์ดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนและไม่ใช่ของผู้ดูแล palungjit.org ทั้งหมดและบางส่วนเป็นของทีมงาน
    และผู้จัดทำเว็บบอร์ดแห่งนี้จะไม่มีการรับผิดชอบต่อเนื้อหาใดๆ

    สมาชิกสามารถร่วมดูแลเว็บบอร์ดได้ ถ้าเห็นอะไรไม่สมควร กรุณาการกดปุ่มแจ้ง เพื่อทางทีมงานจะได้นำไปพิจารณาต่อไป


    จุดมุ่งหมายของเว็บพลังจิต คือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น
    อันมีมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นยึดเหนี่ยวจิตใจ
    คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เหมือนกัน ซึ่งเป็น หัวใจคำสอนในพุทธศาสนา

    1.ละชั่วทั้งปวง ทาง กาย วาจา ใจ
    2.ทำดี ทางกาย วาจา ใจ การทำดีย่อแล้วมี 3 อย่างคือ ทาน ศีล และภาวนา(สมถะและวิปัสนา)
    3.ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลศ เพื่อความพ้นทุกข์หรือหลุดพ้นสู่นิพพาน ​
    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เหตุแห่งการทะเลาะ และเหตุแห่งการสามัคคี / ร่วมกันเตือนสติ ให้ความร่มเย็นแก่กันและกัน
    ขอความกรุณาสมาชิกเว็บพลังจิตทุกท่านช่วยกันสอดส่อง +และ-> ขอความกรุณาสมาชิกเว็บพลังจิตทุกๆท่านช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมสมาชิกบางคน<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    โหวตอื่น ๆ ง่ะ
    โดยส่วนตัว นู๋บีก็คิดว่า ตัวกู เอ๊ย นู๋ก็ มีปัญญา
    พอที่จะมองหาประโยชน์จากกระทู้นั้นนะ
    อย่างน้อยขี้หมูขี้หมา อ่านแร้วก็ยังได้
    นั่งหม่ำม่าม่า อยู่บนภูดู...... พอครึ้ม ๆ งิงิ :cool:

    เอ้อ แบ่บว่า สามคนยลตามช่องง่ะ

    คนหนึ่งอาจเห็นโคลนตม
    อีกคนอาจเห็น ดวงดาวที่พราวพราย
    แต่คนสุดท้าย นั้น รู้จักที่จะใช้ประโยชน์
    จากทั้ง ดวงดาว และ โคลนตม เหอ ๆ


    เฮ้อ อ่านแร้วนึกถึงกาทู้นี้จังอ่ะ อิอิ


    ขอความเห็นจากเพื่อนสมาชิกต่อกรณีนี้ด้วยค่ะ


    อืม...เอาเป็นว่า สุดแร้วแต่ เหล่าผู้ดูแลเวบ จะกรุณา :'(
    เพราะว่า เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของ ...

    [​IMG]



    อ่ะ เอา แบรนด์มาฝาก ทั่นผู้ดูแลเวบ ด้วย
    เห็นช่วงนี้ ฟิตจังเรยอ่ะ เกรงจะเหนื่อย งิงิ

    [​IMG][​IMG]


    บ๊ายบายไปล่ะ จะรีบไป เซฟ กาทู้ ทั่นดายานก่อน
    เด๋วตัวหนังสือที่อิฉันเคยโพสไว้ในนั้นจะ หายจ้อย
    แบบ ตอนที่กาทู้อีตาเกิดฯ มัน ด๋อย เหอ ๆ
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขอมองต่างมุมครับว่า..มิควรลบ เหตุเพราะเขาทั้งคู่กำลังแสดง "ธรรม" ให้พวกเราพิจราณาได้ประโยชน์หลายข้อคือ
    1.เขาทั้งคู่จะได้มีสนามปลดปล่อย ไม่ไปกวนกระทู้อื่น
    2.เราได้ดูธรรมในหมวด "แรงอาฆาต"ทั้งคู่มีภูมิธรรมไม่ธรรมดาครับ
    3.เนื้อหาทำให้เราทราบ ประวัติความเป็นมาของทั้งคู่ว่า เกิดเหตุใดจึงอาฆาตกันรุนแรง ขา้มกาล ข้ามเวลาเช่นนี้ ..เราเอาไว้ปลงครับ
    ท่านดาญาณ...พบกันอีกแล้วใยมิปล่อยวางบ้าง "หมื่นรู้ มิสู้ปล่อยวาง"..มิใช่รึ จากสหายเก่าครับ
     
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ปลายเหตุ คนจะถกเถียงกันถึงลบไปเดี๋ยวก็เอาอีกอยู่ดี แค่เปลี่ยนสนามใหม่
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...