การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

09/06/09 Ashtar Command: Reconnection Update<o></o>

ที่มา: http://blog.ashtarcommand.org/

ข้อความต่อไปนี้ ถูกถ่ายทอดผ่านทางนาง august Stahr จากท่าน Ashtar
เมื่อวันที่: 9 มิถุนายน 2009



หนทางสำหรับการกลับไปเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานของพระผู้เป็นเจ้าได้ถูกเคลียร์หมดแล้ว
และการเชื่อมต่อก็ได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้ว
<o></o>
13.13.13 Solar New Earth Reality Timeline ได้ถูกเชื่อมติดและเข้าที่เรียบร้อยแล้ว อนาคตของดาวเคราะห์โลกปลอดภัยแล้ว
และวงจร (ของยุค Aquarius - chayutt) ในรอบ 26,000 ปีจากนี้ไป ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ข่าวลือเกี่ยวกับปี 2012 ทั้งหลาย จะไม่เป็นจริงอีกต่อไป วันนั้น (21 ธันวาคม 2012 - chayutt) จะมาถึง และมันก็จะผ่านไป
โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับข่าวลือเรื่อง Y2K ในปี 2000 ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งพวกท่านคงยังจำกันได้อยู่
เพราะว่าพวกเราได้เคลื่อนเส้นพิกัดเวลาเรียบร้อยแล้ว (Shifted the Timeline) เพื่อทำให้ความแตกตื่นของพวกท่านหมดไป
<o></o>
อย่างที่พวกท่านทราบแล้วว่า “คำพยากรณ์ที่ได้ผล” (Successful Prediction) ได้เตือนพวกท่านให้เปลี่ยนอนาคต
กระบวนการปลุกให้ตื่น (Wake up process) ตลอดช่วง 20 ปีมานี้ ก็เป็นเช่นนั้นแหละ

เพราะกระบวนการปลุกให้ตื่น จึงทำให้ “แผนการศักดิ์สิทธิ์” (Divine Plan) สามารถดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปได้

กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนของเหตุการณ์ต่างๆนั้น (วันชำระโลก – Chayutt) ยากที่จะพยากรณ์ได้
จงรู้ไว้ว่าโลกและมนุษย์ จะยังคงวิวัฒนาการต่อไป เพื่อให้มีระดับสภาวะที่เป็นบวกสูงขึ้นและให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น

พวกเราจะยังคงอยู่กับพวกท่านต่อไป บนเส้นทางแห่งการรื้อถอนรูปแบบความคิดเก่าๆและระบบความเชื่อในเมตริกซ์ทั้งหลาย
(Matrix Belief Systems) และเพื่อเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆของ the 13.13.13 Solar New Earth Reality Timeline<o></o>

จากเรา Ashtar, The Solar star Command


.........................................................<o></o>

 

อ้าว!!..

ตกลงว่านี่มันจบแล้วเหรอ???

ตกลงปี 2012 ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเหรอเนี่ย!!

ว๊า..เลื่อนอีกซะแล้ว

งั้น..ไปไปพวกเรา (พวกที่กำลังอ่านอยู่นี่แหละ)
<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>Chayutt, channarong_wo, greenseason, Bupuk, uuuu0010 </TD></TR></TBODY></TABLE>
กลับไปตั้งวง ก๊งเหล้ากันต่อดีกว่า..(ล้อเล่นนะครับ ออกพรรษาก่อนค่อยว่ากัน 555)

เอ๊า..เสื่อใคร หมอนใคร ที่เอามาปูนั่งอ่านอยู่นั่นหนะ
อย่าลืมเก็บกลับไปซะด้วยหละ..

อ้าว..แล้วนั่นเศษเปลือกเม็ดก๋วยจี๊ใครแทะทิ้งไว้หนะ เก็บไปทิ้งให้ด้วยนะครับ รกลานบ้านเค๊า

ลูกใคร เมียใครนอนหลับคาหน้าจออยู่ ก็ปลุกเอากลับไปนอนซะนะครับ..

เดี๋ยวคณะฉายหนังก็จะเก็บของกลับไปนอนเหมือนกันแหละครับ..

ว๊า..อุตส่าห์ว่าจะตั้งใจเป็นคนดีซะหน่อยนะเนี่ย..

..งี้วัยรุ่นก็เซ็งเดะ!!..

 

เฮ้...เฮ้...ช้าก่อนท่านผู้ชม..กลับมาก๊อน อย่าเพิ่งไป๊!!

เอ๊า..ปูเสื่อไว้ที่เดิมก่อน..

เพราะว่า บังเอิญเหลือบไปเห็นความไม่ชอบมาพากลของแหล่งข้อมูลแหล่งใหม่นี้เสียแล้ว

มันแย้งกับแหล่งเดิม (คือแห่งที่ผมนำมาโพสตืตั้งแต่แรกนั่นแหละ) อยู่พอสมควรนะ...

เดี๋ยวจะชี้ให้ดูทีละประเด็นนะครับ..แต่ต้องขอเวลาแปลก่อนซักพัก

สรุปว่า..คาดว่าจะมีทั้งของจริง และของหลอกครับ
(หลอกให้ตายใจว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว หรือเปล่า? อะไรแบบนั้น ?)

ก็สรุปว่า..ใจเย็นๆก่อนนะครับ ดูหน้า ดูหลังให้ดีก่อน

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ถ้าเห็นใครที่กำลังจะรินเบียร์ลงแก้ว หรือเห็นใครที่กำลังจะยกขึ้นซดหละก็..
รีบตระครุบแก้วเบียร์เอาไว้ก่อนนะครับ..เพราะสถานการณ์ยังไว้ใจไม่ได้ครับ

แต่ว่า..อาจจะปล่อยให้พวกดมๆไปก่อนได้ แต่อย่าเพิ่งให้ดื่มนะครับ


....................................

 

ขอบคุณครับคุณชยุต สรุปว่าเค้าได้ทำให้เส้นเวลาเปลี่ยนไปแล้วเพื่อดึงปี2012ให้ผ่านไป
แล้วก็สงบสุขด้วยการไม่มีMatrixทำให้ไม่มีความคิดด้านมืดครอบงำอย่างนี้ถูกแล้วใช่ไหมคับ^^"

 

หงะ ตกลงมีปัญหากับแหล่งที่มาของข้อมูลหลอคับยังไงก็จะรอการแปลของคุณชยุตเงียบๆแล้วกันคับขอบคุณสำหรับฝีมือการแปลขั้นเทพมากคับเป็นกำลังใจให้
ปล.ตอนแรกที่เห็นnew year message ของ ashtar ผมก็พยายามไปหาในgoogleนะครับแต่ไม่มี
ปล2.ที่ผมอ้างอิงถึงผมจำไม่ได้ว่าหน้าไหนครับแต่อ่านที่กระทู้นี้แน่นอนครับอาจจะเป็นในหัวข้อโรงเรียนจิตวิญญาณมั้งครับถ้าผมไปหาผมต้องอ่านใหม่หมดเลยT_Tจำได้ว่า2005-2012ครับเพราะผมจำตัวเลขแม่น

 

เรื่อง the matrix และ 13.13.13 และ TimeLine เปลี่ยนไปนี่ ฟังดูพิกลๆยังไงไม่รู้นะ แต่ไม่เข้าข้างตัวเองดีกว่าค่ะ คิดซะว่ามันขัดกับสิ่งที่ดิชั้นเชื่ออยู่หรืออยากจะเชื่อมัน ปูเสื่อรออ่านต่อไป...

 

ผมกลัวว่าหายนะที่จะเกิดขึ้นกับโลกมันจะเป็นปี 2011 แทนที่จะเป็นปี 2012 นะซิครับ...

 

พวก...อาจทำให้เราตายใจ ไม่สนใจพัฒนาจิต ทำให้เกิดความประมาท ไง
พอถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่รู้ตัวเสียแล้ว
นับว่าแผนสูงอยู่นะ อิอิอิพวก...

รหัสเลข 13 นี่เห็นแล้วอย่างไรชอบกลนะ / มีเว็บไซแล้ว ทำไมต้องมี blog อีก งง/

เพราะที่เคยรับรู้มาเป็น 12 ที่ตรงกันหลายแหล่งครับ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป อุอุ

อย่าหักโหม รีบร้อนแปลนะค๊าบ พี่ Chayutt

เดี๋ยวจะทรุดซะ

ปล.ได้ข่าวพี่จะกลับไทยแล้วหรอคับ

ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคับ ^^

 

วิ่งไปซื้อเสื่อใหม่เอี่ยมมาปูรอแล้วครับ
หนังกลางแปลงกำลังสนุกเลยครับ เห็นมีข้อมูลใหม่ๆมาอัพเดดกันด้วย

ข้อมูลจะจริงหรือจะหลอกยังไงก็ยังต้องฟังดูก่อนนะครับ
เลข 13-13-13 นั่นมันอาจเป็นเพียงเลขปฎิบัติการในระบบใหม่..เหมือน windows xp หรือ vista ก็ได้ครับ เหมือนกับว่าเมื่อครบ 12 รอบแล้ว ก็เริ่มนับ 1 ใหม่ (หรือนับเลข 13 แทนก็ได้)
เรื่องตัวเลข 13 หรือ เลข 666 เนี่ยเค้าว่ากันไปสารพัดตามความเชื่อล่ะครับ
คนส่วนมากจะกลัวว่าเป็นเลขของซาตาน เพราะถูกเตือนใส่หูกันมานานแล้ว
ถ้าหากมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้ตั้งใจจะบิดเบือนข้อมูลให้สับสนเค้าคงไม่กล้าใช้เลข 13 นี้แบบตรงๆหรอกครับ เค้าต้องรู้ว่ามนุษย์ฉลาดกว่านั้น เพราะเลขนี้มันดูน่าสงสัยและน่าเคลือบแคลงเกินไปสำหรับมนุษย์ที่จะเชื่อ
อาจเป็นไปได้ว่า..เลข 13 อาจเป็นเลขที่กำความลับ และเป็นปริศนาที่ฝ่ายมืดเค้ารู้ระแคะระคายอยู่ก็ได้ จึงใส่ความหมายให้ผิดเพี้ยนลงไป เพื่ออำพรางว่าเมื่อใครนำเลขนี้มาพูดถึงเมื่อไหร่ มนุษย์ก็จะเข้าใจผิดเพราะความเชื่อเดิมๆ ก็เป็นไปได้อีกล่ะครับ

ดังนั้นขอปูเสื่อนั่งฟังต่อไปแบบสนุกๆครับ

เอ่อ..เรื่องภัยฯ ตอนนี้มีหลายกระแสที่เชื่อถือได้แจ้งว่าถูกเลื่อนไปจริงๆครับ
ภายใน 3 ปีนี้จะไม่เกิดแบบเบ็ดเสร็จ..แต่จะรุนแรงและหนักขึ้นอีกในภายหน้าครับ
ระหว่างนี้มีเวลาพักหายใจอีกหลายๆปี แต่ก็อย่างเพิ่งชะล่าใจนะครับ
มันจะเกิดตอนที่มนุษย์ชะล่าใจนี่ล่ะครับ เบื้องบนเค้าอาจมีแผนซ้อนแผนที่เราอาจนึกไม่ถึง
เชื่อว่ารูปแบบของมันอาจเปลื่ยนไปเพราะค่าพลังงานโดยรวมจากจิตสำนึกมนุษย์ก็ได้ครับ
อย่าไปพะวงจดจ่อกับเรื่องวันเวลาจนเกินไปครับ และอย่าคิดเพียงว่าฉันทำดีเพราะฉันไม่อยากตายในวันนั้นนะครับ...

 

ก็อปมาให้มันอยู่ท่อนนี้
......
ตอนที่ 4 : ปี ค.ศ.2012 เป็นต้นไป
ข้อมูลนี้ผมไม่สามารถรับรองได้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะผมยังไม่สามารถพยากรณ์
หรือมองเห็นอนาคตได้ด้วยตัวเองผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกแต่อย่างใด โปรดใช้
วิจารณญาณของท่านเอง ผมเชื่อว่าคนไทยบางคนอาจจะเคยได้ทราบข่าวนี้มาบ้างแล้ว

สมัยตอนยังเป็นนักเรียนอยู่ พวกเราเคยถูกเตือนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า พวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะฝึกจิตเพื่อให้สามารถรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ในปี 2000 และปีต่อๆ ไป ตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่เชื่อหรือกังวลหรือใส่ใจกันจริงหรอก เพราะว่านักเรียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น สิ่งที่นักเรียนส่วนใหญ่ห่วงมากที่สุดก็คือการเรียนรู้เทคนิคและวิธีการต่างๆเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาชีวิต ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเองให้ได้เท่านั้น

ต่อมาในปี ค.ศ.1989 ท่านอาจารย์ก็ได้บอกพวกเราเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกครั้ง
ถ้านักเรียนยังไม่สามารถบงการและจัดการกับกาลเวลาและอวกาศ หรือเสกอะไรออกมาจากอากาศได้
ดังนั้นนักเรียนก็ต้องเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

ต่อมาในปี ค.ศ.2006 ท่านอาจารย์ก็ได้เร่งรัดนักเรียนทุกคนให้เตรียมตัวกันอย่างจริงๆ จังๆ เพราะ
ว่าตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปี 2012 อาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นได้ เช่น ภัยธรรมชาติรุนแรง วิกฤติการ
ด้านการเงิน อาหาร น้ำ และเครื่องอุปโภค-บริโภค ผมไม่ค่อยรู้มากนัก ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในแถบเอเชีย แต่ที่อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย มีคำแนะนำว่าให้อยู่ในพื้นที่สูงๆ และอยู่ห่างๆ น้ำ ชายหาด และทะเลสาบไว้ และให้ซื้อที่ดินที่จะอาศัยห่างๆ เมืองใหญ่ๆ ไว้ และให้ปลูกพืชผักไว้กินเอง ในอนาคตภาวะเศรษฐกิจโลกอาจจะล่มสลาย และการเปลี่ยนแปลงของโลกอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นน้ำมันและเงินทองก็จะไร้ค่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุดและมีค่ามากที่สุดก็จะเป็นอาหารและน้ำเพื่อการดำรงชีวิต

 

นี่ๆๆใครที่ยัง ไม่เคยดูหนังเรื่อง Knowing รหัสวินาศโลก รีบๆไปดูนะครับ
ตอนแรกดูก็นึกว่าจะเป็นหนังเรื่อง
ภัยพิบัติธรรมดาแต่ที่ไหนได้ตอนหลังมีเซอร์ไพส์

 

ฮา.....................มาก

 

อันนี้เหมือนหนังเรื่อง Knowing รหัสวินาศโลก concept เดียวกันเลย

 

ทุกวันนี้ ในหัวผมนี่สับสนกับข้อมูลที่ตัวเองแปลอยู่นี่พอสมควร เหมือนมีใครมารบกันอยู่ข้างในยังงั้นแหละ

แต่ก็ไม่อยากทุกข์หรอกนะครับ ก็พยายามวางมันลงอยู่ แต่จิตมันก็ไม่ค่อยยอมอยู่กับปัจจุบันสักเท่าไหร่
มันเอาแต่แอบวิ่งไปข้างหน้าอยู่เรื่อย คือมันอยากรู้ว่า ตกลงว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริงกันแน่
ตกลงว่าอันไหนผิด อันไหนถูก และ ฯลฯ ก็เลยโดนความคิดของตนเองกินอยู่หนะครับ

เดี่ยวขออนุญาตชี้แจง "ย้ำ" ไว้อีกสักครั้งหนึ่งก่อนนะครับ เพื่อย้ำกับตัวเองและผู้อ่านคนอื่นๆด้วย
ว่า ข้อมูลพวกนี้ เป็นเพียงการแปลมาเพื่อเอามาแบ่งสู่กันอ่านเท่านั้น ผม ผู้แปลเอง ก็ไม่รู้หรอกนะครับ
ว่ามันจริงหรือไม่จริง ผู้อ่านทุกท่านต้องใช้วิจารณญาณของตัวเองนะครับ

หากมีตรงไหนที่ท่านผู้อ่านงง และสงสัย ผมเองก็จะงง และสงสัย พอๆกับท่านหนะแหละครับ

และแหล่งข้อมูลหลักของผมคือจากเวป www.universe-people.com ซึ่งภายในเวปนั้น
เขาก็จะมีเอกสารประกอบให้ดาวน์โหลดหลายๆชุด แม้แต่หนังสือเรื่อง "สนทนากับพระเจ้า"
เล่ม 1,2,3 ก็มีด้วยนะครับ
แต่เขาไม่ได้เขียนเอง เพียงแต่เขาคงเห็นว่ามันมีบางส่วนเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เขาก็เลยเอาลงมารวมไว้ให้เป็นแหล่งข้อมูล
เพื่อศึกษากระมังครับ รวมถึงภาพยนต์ต่างๆด้วยนะ เรื่องไหนที่เขาเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ต่างดาว
กับพระผู้เป็นเจ้า อะไรแบบนั้น เขาก็จะมาแนะนำไว้ให้เราไปดูด้วย

แต่ข้อมูลหลักที่พวกเขาเขียนเอง จากการได้รับการสื่อสารของพวกเองโดยตรงนี่ จะเป็นเอกสารชื่อ
"Talk with Instruction With My Cosmic Friends" ซึ่งตอนนี้มี 2 เล่มแล้ว
ผมก็ยึดเล่มนี้แหละเป็นข้อมูลหลักของผม

แต่ว่าสไตล์การโพสต์ของผมคือ ถ้ามีเนื้อหาส่วนไหนพูดถึงเรื่องอะไรที่น่าสนใจสำหรับผม
ผมก็จะไปรื้อ-ค้นเอาข้อมูลนั้นๆขึ้นมาแปลให้พวกท่านได้อ่านกันไปด้วยหนะครับ
ไม่ว่ามันจะตรงกันเป๊ะ หรือตรงกันเพียงบางส่วน หรือแม้แต่ขัดแย้งกันเองกับข้อมูลหลักนี้ก็ตาม

ท่านจะสังเกตได้จากหัวข้อเรื่องของผม ถ้าผมอ้างอิงไว้ว่ามาจาก "รายงานหมายเลข..." ต่างๆ
ก็แปลว่านั่นมาจากเอกสารชุดหลักที่ผมใช้อยู่ แต่ถ้าอ้างอิงไปถึง "หนังสือ" หรืออะไรอย่างอื่น
ก็แปลว่าข้อมูลนั้นๆมันมาจากแหล่งที่คนอื่นเขียนไว้ เช่น คุณ avatar_boy, หนังสือชื่อ "อานุภาพรัก",
หนังสือชื่อ "The Message to Mankind" เป็นต้น ซึ่งเล่มหลังสุดนี่เป็นของนายอดัมสกี้ เขียนไว้
ซึ่งข้อมูลของนายอดัมสกี้นี้ ได้มาจากการสื่อสารกับ "พระเยซูคริสต์" ซึ่งเท่าที่ผมแปลมานี่ มันไม่ตรงกันซะทั้งหมด
กับข้อมูลของกระทู้หลักของผม โดยเฉพาะเรื่อง "วิวัฒนาการ" แต่ก็ยังอยากเอามาลงให้อ่านอยู่หนะครับ
เพราะเหมือนกับว่า พวกเราทั้งหมดนี่ กำลังอยู่ในห้องเรียน ห้องหนึ่ง กำลังเรียนวิชา "จักรวาล" กันอยู่
การศึกษาของพวกเรา มันก็เลยเป็นแบบอ่านไปดะดาน เท่าที่เราจะพอควานหาสิ่งที่มันโยงใยเกี่ยวข้องอยู่ไปถึงได้

มันยังไม่มีข้อสรุปใดๆ มันเหมือนกับว่าทั้งตัวผมเอง และพวกท่านทั้งหลายที่ตามๆอ่านกันมาตลอดนี่
กำลังร่วมกันค้นหาความจริงแท้กันอยู่ ผมเชื่อว่า "ภายใน" ของท่านทุกคน ก็คงเหมือนกันกับผม
ที่มัน "เรียกร้อง โหยหา" ที่จะได้รับรู้ความเป็นจริงของชีวิต ของโลก และของจักรวาลเหลือเกิน มานานแสนนานแล้ว

นี่กระมังคือสิ่งที่ดึงดูดให้พวกเราต้องมาพบกันที่นี่ ในกระทู้นี้..

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดี หรือโชคร้ายนะครับ ที่ปกติหลังนั่งสมาธิผมชอบอธิษฐาน (ส่วนหนึ่ง) ว่า

"ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดในอุบายแห่งความเสื่อมและความเจริญ เป็นผู้เฉียบแหลมในอรรถและธรรม
ขอให้ญาณของข้าพเจ้าจงเป็นไปไม่ข้องขัด ในธรรมะที่ควรรู้ ประดุจลมพัดไปในอากาศฉะนั้น"

และผมก็ได้อธิษฐานเผื่อท่านผู้อ่านด้วยในกระทู้นี้แหละ ดังนั้น ข้อมูลไหนจริง หรือข้อมูลไหนเท็จ พวกเราก็จะมาทำความรู้จักมันด้วยกัน
เพราะถ้ายังไม่รู้จักมัน เราก็มิอาจจะ "ฉลาดในอุบาย" ของมันได้

..จริงไหมครับ..

.......................

ข้อความในโพสต์ถัดไปนี้ มาจากอีกแหล่งหนึ่ง แต่ต่อเนื่องจากที่เคยโพสต์ไว้แล้ว
ทีแรกผมก็ตั้งใจจะตัดมาเฉพาะส่วนที่ผมอยากกล่าวถึงนั่นแหละ แต่คิดไปคิดมาแล้ว
ก็เลยยกมาให้อ่านทั้งบทเลยดีกว่า เพราะเชื่อว่าท่านทั้งหลาย ที่ตามอ่านกันมาจนป่านนี้แล้ว
ก็คงจะมีวิจารณญาณและรู้จัก "วาง" มันลงได้ระดับหนึ่งแล้วหละ จึงคิดว่าไม่น่าห่วงอะไร

อ่านๆไปเดี่ยวท่านก็จะพอจับประเด็นได้ว่า ความจริงผมอยากให้ท่านได้รู้ตรงไหนกันแน่เองหละครับ


......................................

 

ข้อความบางส่วนจากหนังสือชื่อ
สาส์นถึงมนุษยชาติ (The Message to Mankind)<o></o>
<o></o>

โดย: BORUP'S SPIRITUAL SCHOOL (1-8)
<o></o>

วิวัฒนาการและการจัดลำดับ – ตอนที่ 2
(EVOLUTION AND HIERARCHY – Part II)<o></o>
<o></o>

​

เกี่ยวกับการก่อเกิดและวิวัฒนาการ เราสามารถตอบพวกท่านได้ทันทีเลยว่า ส่วนหนึ่งของ Wan (อันนี้น่าจะเป็นชื่อของอะไรซักอย่างที่
ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนะเนี่ย – Chayutt)
ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุดินจริงๆ มันคือร่างกาย แต่จิตวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง
นั่นจึงทำให้มันค่อนข้างแตกต่างกัน

นี่คือสิ่งที่มนุษย์สับสน มนุษย์เชื่อว่าชีวิตอยู่ในรูปแบบของวัตถุธาตุ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะชีวิตอยู่ในพระผู้เป็นเจ้า
และเราก็ได้อธิบายไปแล้วว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีคุณสมบัติเหมือนพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมา
ให้เป็นภาพสะท้อนของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงๆ มันเป็นความจริงแท้ เช่นเดียวกับที่เราได้บอกกับพวกท่านไปแล้วว่าเราเป็นใคร<o></o>

พวกท่านอาจจะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเราและผู้ที่ติดตามเราลงมายังโลกมนุษย์นี้กับตัวพวกท่านเอง
พวกเราเหมือนกันทุกอย่าง แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่เล็กๆน้อยๆ เหมือนกับที่มนุษย์โลกแต่ละคน
ที่มีความแตกต่างกันนั่นแหละ เพราะว่าไม่มีใครที่เหมือนกันไปซะหมดทุกอย่างจริงๆหรอก
พวกเรามีความแตกต่างจากพวกท่านไม่มากกว่าที่พวกท่านแตกต่างกันเองหรอก
<o></o>
จิตวิญญาณเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และชีวิตก็เป็นของพระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ว่าร่างกายคือสิ่งที่จิตวิญญาณเข้ามาถือครองอยู่
และมันก็จะต้องกลับคืนไปสู่ดิน

แต่เราขอบอกพวกท่านว่า ที่ธาตุดินสามารถห่อหุ้มจิตวิญญาณเอาไว้ได้ อย่างเช่นที่ปรากฏเป็นมนุษย์อยู่นี่
ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานจิตสำนึกนี้ให้เองโดยตรง เพราะลำพังธาตุดินเองแล้ว มันไม่สามารถห่อหุ้มจิตวิญญาณเอาไว้ได้
<o></o>
แต่มันต้องใช้เวลาสำหรับการการเรียนรู้ยาวนานมาก กว่าที่มนุษย์จะวิวัฒนาการมาถึงระดับจิตสำนึกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
และเราก็พบว่า มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างที่สุด ที่มนุษย์โลกได้ใช้จิตสำนึกไปในทางผิดมาโดยตลอด
<o></o>
มีหลายๆที่ในจักรวาลที่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้น นั่นจึงทำให้วิวัฒนาการของพวกเขาเป็นไปอย่างสมดุล
ปราศจากความขัดแย้งและสงคราม ทั้งๆที่พวกเขาก็มีโครงสร้างทางจิตสำนึกเหมือนๆกับพวกท่าน
ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นเลยที่ต้องมารับภาระในการแยกเกรดของพวกเขา อย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมนุษย์โลกในเร็วๆนี้
<o></o>
ทุกๆชีวิตมีวิธีการในการวิวัฒนาการ ซึ่งท่านก็ได้เห็นบนดาวเคราะห์โลกใบนี้แล้ว และวิวัฒนาการก็เกิดขึ้นบนพื้นฐานแห่งทางเลือกเลือกเสรี

อันที่จริงทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว และ “ตัวเชื่อมที่ขาดหายไป”(Missing link) จริงๆแล้ว
ได้เคยมาเดินอยู่บนโลกใบนี้นานมาแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งนี้ก็คงกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่ง
<o></o>
เราได้บอกพวกท่านไปแล้วว่า บ้านของพระบิดาของเรามีอยู่หลายห้อง และนี่ก็เป็นความจริง และตอนนี้เราจะขอใช้โรงเรียนทั่วๆไป
มาประกอบในการยกตัวอย่าง ปกติโรงเรียนจะมีชั้นเรียนอยู่หลายๆชั้น เมื่อเข้าไปเรียนแล้วผู้ที่สอบผ่านเท่านั้น
จึงจะได้เลื่อนชั้นขึ้นไปเรียนในชั้นที่สูงกว่าได้ และจักรวาลก็เป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน<o></o>


(obr939)
<o></o>
เพราะว่าความก้าวหน้าเฉพาะตัวของแต่ละคนจึงทำให้ได้เลื่อนชั้นขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่ามันก็ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้นั้นด้วย
ว่าอยากจะเลื่อนชั้นหรือไม่ ห้องเรียนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้สอนระดับชั้นเรียนที่ต่ำที่สุด ต่อมาอาจจะถูกใช้สอนระดับชั้นเรียนที่สูงที่สุด
ก็เป็นได้ ในจักรวาลก็เช่นเดียวกัน
<o></o>
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกตอนนี้จริงๆแล้วก็คือ การจัดตกแต่งใหม่ เพื่อให้โลกถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โลก
ที่จะมีความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น
<o></o>
เมื่อตอนที่ “ตัวเชื่อมที่ขาดหายไป”(Missing link) ยังอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์โลก ได้มีวิญญาณที่มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงกว่า
จำนวนมากมาย อาสาลงมาเกิดบนโลก และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่วิญญาณของผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า
ที่ได้ขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภพภูมิที่สูงกว่าเป็นการชั่วคราว ได้กลับลงมาเกิดบนโลกด้วย
<o></o>
เหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เป็นความจริงของโลกทุกวันนี้ด้วย เพราะว่าในท่ามกลางมนุษย์อย่างพวกท่าน
ยังมีมนุษย์อีกมากมายที่ไม่เหมาะสมที่จะได้อยู่บนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะว่าพวกเขายังไม่ผ่านเกณฑ์กำหนด
ของกฎแห่งชีวิตของระดับที่จะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้เลย
<o></o>
แต่ท่ามกลางมนุษย์โลกของพวกท่านเอง ก็ยังมีผู้ที่ผ่านเกณฑ์ของระดับที่สูงมากๆอาศัยปะปนอยู่ด้วย
เพราะเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ในระดับสูงยิ่งกว่าจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยผู้ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
ให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น กว่าระดับเดิมของพวกเขาให้ได้
<o></o>
แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงการช่วยเหลือด้วยการขนย้ายโดยใช้ยานอวกาศอะไรแบบนั้น แต่มันหมายถึงการย้ายวิญญาณ
(Transmigration of souls) หรือการกลับชาติมาเกิดใหม่ไปสู่ระดับที่สูงกว่าขึ้นไป สำหรับผู้ที่ตระหนักรู้ถึงการย้ายดังกล่าวนี้เท่านั้น
<o></o>
เพื่อให้มนุษย์โลกสามารถขึ้นมาถึงระดับขั้นของจิตสำนึกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ทั้งหมด ก็จำเป็นต้องให้มนุษย์
ได้มีทางเลือกอิสระอย่างแท้จริง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเฉพาะมนุษย์โลกหรอกนะที่ได้รับอิสรภาพแห่งการเลือก ดวงดาวอื่นๆก็ได้รับด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งก็ไม่ใช่แค่หลายพันดวงดาว แต่เป็นหลายล้านดวงดาวในจักรวาลที่มีรูปธรรมชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่
ทั้งที่อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์และที่สูงยิ่งกว่า แต่ก็ไม่ใช่บนดวงดาวทุกดวงหรอก ที่ทางเลือกอิสระนี้
ได้ถูกใช้ไปในทางที่ผิดเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกมนุษย์มาตลอดจนถึงบัดนี้
<o></o>
เราได้สอนพวกท่านแล้วว่าดาวเคราะห์โลกใบนี้ ถูกใช้เป็นที่ลงมาเกิดของบรรดาผู้ที่ไม่มีใครสามารถจัดการได้ และผู้ที่ดื้อรั้น
ดังนั้น มันจึงมีผู้นำทางจิตวิญญาณและครูทางจิตวิญญาณปรากฏขึ้นบนโลกมากมายอย่างไม่ขาดสาย
พวกเขาลงมาจากระดับที่สูงกว่าด้วยความสมัครใจ
<o></o>
เราได้อธิบายไปแล้วว่ารูปธรรมที่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามีวิธีการช่วยเหลือรูปธรรมที่อยู่ต่ำกว่า ให้ยกระดับสูงขึ้นอย่างไร
และมันก็ไม่ได้ถูกห้าม หากจิตวิญญาณชั้นสูงกว่าจะลงมาเกิดเพื่อให้ความช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้
หากมันเป็นความสมัครใจของพวกเขา มันไม่ได้ผิดกฎแต่อย่างใด

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตวิญญาณในระดับต่ำกว่าจะขึ้นไปสู่ภพภูมิที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า จะต้องผ่านผู้แทนของพวกเราเท่านั้น
<o></o>
ผู้นำด้านจิตวิญญาณที่ลงมายังโลก พวกเขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ รวมถึงร่างกาย จิตวิญญาณและลักษณะทางกายภาพต่างๆ
ของพวกเขาได้ ในแบบที่คนอื่นๆไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร

แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังคงมีพวกเขาบางคนที่อยู่ในระดับมาตรฐานที่สูงมากๆอยู่ที่นี่และที่นั่น พวกเขาอยู่ที่นี่และมีภารกิจเฉพาะบางอย่างที่ต้องทำ

เราได้กล่าวถึงใครคนหนึ่งไปแล้ว เขาเป็นชาวอินเดีย และเขาก็เป็นพี่น้องคนหนึ่งของเราเอง เขาคือ Meher Baba
แต่ทั่วทั้งอินเดียเรียกเขาว่า “พระเมสษิอาฮ์คนใหม่” (The new Messiah)
<o></o>
ยิ่งพวกท่านเข้าใจระดับขั้นของการจัดลำดับมากเท่าไหร่ พวกท่านก็จะยิ่งเข้าใจลำดับของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดกับโลกใบนี้
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมามากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขอให้เราได้อธิบายต่อไป<o></o>

(ยังมีต่อนะครับ)

 

ข้อความบางส่วนจากหนังสือชื่อ
สาส์นถึงมนุษยชาติ (The Message to Mankind)<o></o>
<o></o>

โดย: BORUP'S SPIRITUAL SCHOOL (1-8)


วิวัฒนาการและการจัดลำดับ – ตอนที่ 2
(EVOLUTION AND HIERARCHY – Part II) (ต่อ)




พืชก็มีระดับขั้นของการจัดลำดับของมันเอง นั่นก็คือ “อาณาจักรพืช”(Plant Kingdom) ซึ่งเป็นอาณาจักรของรูปธรรม
ที่มีจิตสำนึกต่ำที่สุด ในพวกสสารที่เป็นวัตถุธาตุทั้งหลาย พวกมันไม่มีจิตสำนึกพวกมันมีแต่ “กฎแห่งกายภาพ”ทั้งหลาย
(Physical Laws) แต่ไม่มี “กฎแห่งการจัดลำดับขั้น”(Hierarchical Laws)<o></o>

(obr938)
<o></o>
สิ่งที่พวกท่านเรียกว่า “อาณาจักรธาตุ”(Mineral Kingdom) พวกมันมีความสามารถในการดูดซับและถ่ายทอดแรงกระตุ้นต่างๆได้
ซึ่งนี่เป็นไปตามกฎแห่งกายภาพ ที่ยึดเหนี่ยวสสารของธาตุต่างๆเหล่านี้ไว้ด้วยกัน อย่างที่มันเป็นอยู่

ถ้านำเอาโมเลกุลของสารใดๆมาวิเคราะห์ดู พวกท่านจะพบว่ามันมี “สนามแรง” (force-fields) ของความต่างศักย์ทางไฟฟ้าต่างๆ
ระหว่างอิเล็กตรอนและประจุที่อยู่ภายในนิวเคลียสของอะตอมอยู่<o></o>

สนามแรงเหล่านี้จะมีความถี่จำเพาะ ซึ่งสามารถได้รับอิทธิพลและถูกเปลี่ยนแปลงโดย “แรงแห่งกระแสจิต”(Force of Thought) ได้
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ก็สามารถถูกตรวจจับได้ด้วยผู้ที่มีสภาวะจิตที่ละเอียดเพียงพอ แต่ว่าอาณาจักรธาตุเองไม่ได้มีจิตสำนึก
เป็นของตนเองแต่อย่างใด
<o></o>
สนามแรงทางไฟฟ้าทั้งหลายเหล่านี้ ภายใต้สภาวะทางเคมีที่เหมาะสมบางประการ พวกมันสามารถก่อรูปเป็นร่างกายปฐมภูมิขึ้นได้
นั่นคือรูปแบบที่อยู่ในระดับขั้นของการจัดลำดับต่ำที่สุดภายในอาณาจักรพืช
(องค์ประกอบพื้นฐานภายในเซลของพืชหรือเปล่านะ – chayutt)<o></o>

จิตสำนึกของพืชจะค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ ผ่านระยะเวลายาวนานนับหลายล้านปี พวกมันจึงจะค่อยๆสะสมประสบการณ์
และเมื่อประสบการณ์ของพวกมันเติบโตมากพอที่จะสร้างรูปแบบแห่งชีวิตรูปแบบใหม่ได้แล้ว พืชก็จะ”ถูกทำให้เกิดการผ่าเหล่า”
จากนั้นพวกมันก็จะขึ้นสู่ระดับขั้นถัดไป นั่นคือเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่ต่ำที่สุดของอาณาจักรสัตว์
<o></o>
ระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดคือระยะเวลาที่อยู่ในอาณาจักรพืช หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่อาณาจักรสัตว์แล้ว วิวัฒนาการก็จะเร็วขึ้น
จนวิวัฒนาการมาถึงลิงเอ็ปส์ (Apes) แต่อย่างไรก็ตาม ลิงเอ็ปก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับมนุษย์ทั้งสิ้น
(However, the ape has nothing at all to do with Man)
<o></o>
จากนั้นการผ่าเหล่าครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้น รูปแบบของชีวิตใหม่ก็จะเกิดขึ้น รูปแบบชีวิตที่ไม่มีอยู่บนโลกแล้วในปัจจุบัน
แต่ครั้งหนึ่งมันเคยอยู่บนโลกนี้มาก่อน นี่คือตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์และสัตว์ อีกครั้งหนึ่งที่วิวัฒนาการจะไปเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน
เร็วกว่าตอนที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์

จากนั้นการผ่าเหล่าทางจิตวิญญาณก็จะเกิดขึ้น มันเป็นการผ่าเหล่าที่ “ถูกมอบให้” โดยตรง สำหรับแต่ละชีวิต
ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ในขณะนั้น จากนั้นมนุษย์ก็ได้กำเนิดขึ้น
<o></o>
เราได้สอนแล้วว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้เป็นภาพลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า และเราก็ได้อธิบายไปแล้วว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
มนุษย์ถูกจัดลำดับขั้นอยู่ในลำดับขั้นที่สูง และวิวัฒนาการก็จะไปเร็วอีกครั้งหลังจากที่ขึ้นมาถึงระดับความเป็นมนุษย์แล้ว
<o></o>
เราได้สอนแล้วว่าสมองของมนุษย์เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบมากๆ จนไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างขึ้นในที่ใดๆก็ตามในจักรวาล ที่สมองของมนุษย์
จะไม่สามารถหยั่งรู้ได้

ดังนั้น โรงเรียนแห่งชีวิตจึงมีความจำเป็นต่อมนุษย์ มนุษย์ต้องเรียนรู้อย่างเชื่อฟังและสอดคล้องกับกฎแห่งพระผู้สร้าง
มนุษย์ต้องเรียนผ่านโรงเรียนแห่งชีวิตและทิ้งระดับแห่งสัตว์เดียรฉานไว้เบื้องหลังอย่างสิ้นเชิง
นี่คือวิวัฒนาการของการจัดลำดับขั้นเท่าที่มันได้เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกใบนี้ตราบกระทั่งถึงปัจจุบันนี้<o></o>

การผ่าเหล่าทางจิตวิญญาณ ซึ่งมนุษย์จะได้รับในเร็วๆนี้ จะทำให้เซลสมองทั้งหมดของมนุษย์ใช้งานได้

นั่นหมายถึงมนุษย์จะขึ้นสูงเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าและอาณาจักรของพระองค์มากขึ้น เพราะว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจพระผู้เป็นเจ้า
และอาณาจักรของพระองค์ได้ดีขึ้น
จากนั้นพวกท่านก็จะยังสามารถเข้าใจได้ด้วยว่า ถ้าหากพวกท่านไม่ดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความรัก
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
<o></o>
เราได้เริ่มไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า สิ่งที่พวกท่านเรียกมันว่า “สสาร” นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ “ไร้ชีวิต” อย่างที่พวกท่านเข้าใจกันซะทีเดียว
แต่ธาตุต่างๆสามารถดูดซับแรงกระตุ้นต่างๆได้ ลองดูร่างกายของพวกท่านเองเป็นตัวอย่าง พวกท่านจะพบว่ามันมีส่วนประกอบ
ที่เป็นสารประกอบของธาตุต่างๆมากมาย สารประกอบเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก
<o></o>
เมื่อพืชได้รับจิตสำนึกใดๆที่สูงกว่าจิตสำนึกของมันเอง ทุกๆส่วนของมันจะได้รับอิทธิพลจากจิตสำนึกนั้นๆ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพวกท่านรับประทานพืชขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่เข้าไป เช่น รับประทานผลไม้เข้าไป
จิตสำนึกของพวกท่านจะไปส่งผลกระทบต่อผลไม้ลูกนั้น ซึ่งผลกระทบของจิตสำนึกดังกล่าวนั้นจะถูกดูดซับและตรวจจับโดยธาตุต่างๆ
ที่อยู่ในผลไม้ลูกนั้น หรือที่อยู่ในเมล็ดของผลไม้ลูกนั้น ที่ผ่านเข้าไปสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มีระดับจิตสำนึกสูงยิ่งกว่า
<o></o>
เมื่อพืชชนิดอื่นสัมผัสกับธาตุที่ได้ดูดซับแรงกระตุ้นจากจิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตที่มีระดับจิตสำนึกสูงกว่าดังกล่าวแล้ว
(หรือเรียกว่าธาตุดังกล่าวได้ถูกเหนี่ยวนำโดยจิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตที่มีระดับจิตสำนึกสูงกว่าแล้ว - chayutt)
จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่านั้น ก็จะกระจายไปทั่วพืชที่มาสัมผัสกับธาตุนั้น<o></o>

นั่นหมายถึง ด้วยวิถีทางแห่งสนามแรงทางไฟฟ้าต่างๆภายในธาตุนั้นๆ จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่านั้นๆ
ก็จะสามารถเหนี่ยวนำพืชชนิดนั้นๆได้ด้วยเช่นเดียวกัน
<o></o>
ดังนั้น เมื่อพวกท่านรับประทานพืชหรือผลไม้เข้าไป ในขณะที่พวกมันยังเป็นๆอยู่ ก็เท่ากับว่าพวกท่านกำลังช่วยให้พวกมัน
ดำเนินไปตามวิถีทางแห่งวิวัฒนาการของมัน พวกท่านกำลังช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับการจัดลำดับที่ต่ำกว่าอยู่
<o></o>
แต่สำหรับสัตว์แล้ว พวกท่านไม่สามารถที่จะรับประทานพวกมันเข้าไปทั้งเป็นๆได้ หากไม่ฆ่ามันก่อน

ดังนั้น มันจึงไม่มีการช่วยเหลือทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด และเพราะว่าประเด็นทั้งหมดคือ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ที่จะไปแหกกฎแห่งพระผู้เป็นเจ้า (การฆ่าสัตว์เป็นการแหกกฎ – Chayutt) และอย่างที่เราเคยบอกพวกท่านบ่อยครั้งมากแล้วว่า
การฆ่าสัตว์เป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งมันจะส่งผลกรรมต่อพวกท่านมาหลายๆทาง ผลตอบแทนของมันคือ
(พวกท่านต้องใช้เวลาในการวิวัฒนาการ? - chayutt) ยาวนานขึ้นกว่าปกติประมาณ 700 – 800 ปี
นี่จึงเป็นอีกความหมายหนึ่งของคำว่า “บาปที่ติดตัวมาแต่กำเนิด”(Original sin) หรือ “บาปที่รับตกทอดมา”
(Inherited sin)
<o></o>
(ข้อความดั้งเดิมของเขา;
<o></o>
Animals, however, you cannot eat without killing them first, and then there is no consciousness to help.

The whole thing is a useless breach แหก of the law - and, verily I tell you: it has been a
costly แพง ซึ่งใช้เวลา หรือความพยายาม practice in more than one way.

The price has been some 7-800 years out of your otherwise มิเช่นนั้นแล้ว เป็นไปในทิศทางตรงข้าม normal life
span ช่วงห่าง ยืดขยาย. This is another meaning of “original sin" or “inherited สืบทอด sin". - chayutt)<o></o>
<o></o>

พืชจะมีความก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ จากช่วงชีวิตหนึ่งไปสู่อีกช่วงชีวิตหนึ่ง จนกว่ามันจะไปถึงระดับของจิตสำนึกระดับใดระดับหนึ่ง
เมื่อถึงระดับนั้น การผ่าเหล่าก็จะเกิดขึ้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากจักรวาล จากนั้นจิตสำนึกของพืชนั้นๆก็จำเป็นจะต้อง
ถูกย้ายระดับไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างแท้จริง เมื่อจิตสำนึกของพืชนั้นกลับมายังที่ๆมันเคยอยู่ พืชนั้นก็จะเข้าไปสู่สภาวะ
ของระดับขั้นของการจัดลำดับใหม่ที่สูงขึ้น
<o></o>
พวกท่านสามารถพบพวกมันได้ทั่วๆไปบนโลกปัจจุบันนี้ (พืชต่างๆที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือพืชที่วิวัฒนาการสูงแล้วระดับหนึ่ง – Chayutt)
และพวกท่านก็ได้เห็นฟอสซิลของพืชที่อยู่ในชั้นถ่านหินแล้ว พืชเหล่านี้ตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว แต่พวกมันไปอยู่ที่อื่นแทน
<o></o>
ถึงตรงนี้พวกท่านอาจจะถามว่า แล้วยีนส์และโครโมโซมส์ทั้งหลายมันไปอยู่ในที่ที่มันอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร
คำตอบคือ เมื่อระดับจิตสำนึกเพิ่มสูงขึ้น จิตสำนึกใหม่นี้จะแพร่กระจายไปทั่วกายเนื้อ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ยีนส์และโครโมโซมส์จะได้รับอิทธิพลจากจิตสำนึกนั้น ดังนั้นพวกมันจึงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
เพื่อที่จะให้สามารถถูกใช้เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณและจิตสำนึกที่สูงกว่าดังกล่าวได้ นี่คือวิธีการที่เรื่องต่างๆโยงใยเกี่ยวข้องกัน
<o></o>
แต่วิวัฒนาการจะเกิดขึ้นเฉพาะภายในจิตสำนึกเท่านั้น สสารทางกายภาพจะถูกควบคุมโดยจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์แบบ

<o></o>
……………………………………..<o></o>

 

ที่มา: http://www.meherbabainformation.org<o></o>
<o></o>

Merher Baba คือใคร




(Meher Baba-3)

Merwan S.Irani หรือ Merher Baba (แปลว่าผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจ – The Compassionate One)
ซึ่งชื่อหลังนี้ลูกศิษย์ใกล้ชิดเป็นผู้ตั้งให้ ท่านเกิดเมื่อปี 1894 ที่เมือง Poona (หรือ Pune ในปัจจุบันนี้) ในประเทศอินเดีย
<o></o>
ในระหว่างปี 1913 – 1921 ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบทั้งห้าคน ได้เปิดเผยว่าท่านเป็นใครและมาเพื่อปฏิบัติภารกิจของ
“องค์อวตาร” แห่งยุค (เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์, ท่านราซูล (Rasool), และ *เซ็นเซ่อร์*)
(คิดดูเอาเองนะครับ – Chayutt)
<o></o>
ภายหลังจากที่ท่านได้ทุ่มเททำงานอย่างคร่ำเคร่งกับศิษย์ใกล้ชิดของท่านตั้งแต่ปี 1921
พอถึงปี 1925 ท่านก็เริ่มต้น “ปิดวาจา” คือไม่ปริปากพูดเลยเป็นเวลายาวนานถึง 44 ปี ในขณะที่ก็ยังคงทำงานทางด้านจิตวิญญาณ
อยู่ต่อไป
<o></o>
งานของท่านในอินเดียและในซีกโลกตะวันออกคือการช่วยเหลือคนบ้า,คนไม่แข็งแรง,คนยากจน และผู้ที่มีระดับพัฒนาการ
ทางจิตวิญญาณสูงแล้วมากมาย (รวมถึงพวกที่มัวเมาในพระเจ้าทั้งหลายด้วย)
<o></o>
ส่วนในซีกโลกตะวันตก ท่านได้เดินทางไปติดต่อกับผู้คนในช่วงระหว่างปี 1930 – 1950 จำนวนกว่า 30 ครั้ง ทำให้มีผู้คนนับไม่ถ้วน
ที่เป็นผู้แสวงหาสัจธรรมเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและต้องการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าภายในตนเอง ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน
และทั้งหมดนี้ ท่านทำโดยไม่ปริปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว<o></o>

ตลอดช่วงเวลาของการ “ปิดวาจา” ของท่านนั้น ท่านได้บอกว่า ท่านจะปริปากพูดก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง
เกิดขึ้นเท่านั้น และเมื่อถึงเวลานั้นการพูดกับชาวโลกของท่านก็จะเกิดขึ้นหลังจากที่ความสับสนอลหม่านครั้งยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้
ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และนั่นน่าจะเป็นปาติหาริย์เดียวสำหรับการลงมาเกิดในร่างมนุษย์ของความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของท่านในครั้งนี้
<o></o>
“หากเรายอมปริปากพูด มันจะเป็นการเขย่าให้โลกตื่นขึ้นมาจากความเฉื่อยชาด้านจิตวิญญาณ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการ
ยอมปริปากของเราคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การปริปากของเราจะเปิดเผยให้มนุษย์ได้รู้ถึง “ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้า”
(The Universal Oneness of God) ซึ่งนั่นจะนำพามนุษยชาติไปสู่ความเป็นพวกพ้องเดียวกันของมนุษย์ทั้งมวล”
<o></o>

(Meher Baba-1)

...การตายทางกายภาพของท่านผู้เป็นอวตารแห่งพระผู้เป็นเจ้าทำให้การติดต่อกับท่านภายนอกเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
แต่ไม่ใช่สำหรับอีกประมาณ 700 ปีข้างหน้า อย่างที่ท่าน Baba ได้กล่าวไว้บ่อยๆ เพราะตอนนั้นจะมีองค์อวตารองค์ใหม่
ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนั้นการติดต่อภายนอกกับท่านจึงจะเกิดขึ้นได้
<o></o>
ท่านมาที่โลกมนุษย์ ในร่างมนุษย์ ก็เพื่อที่จะมาสาธิตวิถีการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างในอุดมคติสูงสุด ของมนุษย์
ให้มนุษย์ได้เห็นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และเพื่อที่จะมาปลุกมนุษย์ให้สร้างความสัมพันธ์ภายในกับพระผู้เป็นเจ้า
ให้ความรักอันศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในหัวใจทุกดวง...

.............................<o></o>

 

ที่มา: http://www.meherbabainformation.org/realspirituality6.asp<o></o>

จากหนังสือ: ความเป็นจริงเบื้องต้น (INTRODUCTION TO REALITY)<o></o>
เขียนโดย: Rick Chapman<o></o>
จัดจำหน่ายโดย: The White Horse Publishing Company in 2008<o></o>
เป็นการรวบรวมหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณและมนต์จากคำสอนของท่าน Meher Baba<o></o>

A is for Avatar<o></o>

<o>
</o>
องค์อวตาร (Avatar) คือผู้ที่เป็น “หนึ่งเดียว”(The One) และคือผู้ที่เป็น “ความเป็นจริงชั่วนิจนิรันดร์”(Eternally Reality)
นั่นก็คือพระผู้เป็นเจ้าเอง นั่นเอง ที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ ในรูปแบบของมนุษย์ เป็นช่วงๆเวลา

ซึ่งองค์อวตารที่กล่าวถึงนี้ได้แก่ ท่านโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster, ศาสดาของศานา Zoroaster), พระราม. พระกฤษณะ,
*เซนเซ่อร์*, พระเยซูคริสต์, พระมูฮัมเหมด (Mohammed) เป็นต้น
<o></o>
องค์อวตารยังสามารถเป็นผู้ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญในประวัติศาสตร์โลกอีกด้วย และทุกๆรูปแบบขององค์อวตาร
พวกท่านจะนำข่าวสารที่ใหม่ที่สุดลงมาสอนชาวโลกในที่นั้นๆเสมอ<o></o>
<o></o>
<o>องค์อวตารจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะของตนเอง ไม่เหมือนกับผู้นำทางจิตวิญญาณทั่วๆไป
ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบหายากพอสมควร ปกติจะมีอยู่ไม่เกิน 5 คนในแต่ละช่วงเวลาบนโลกใบนี้
แต่สำหรับองค์อวตารแล้ว ท่านจะมาปรากฏท่ามกลางผู้นำทางจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบทั้ง 5 คนนี้ เป็นช่วงๆ
ระหว่าง 700 – 1400 ปี หรือเฉลี่ยๆคร่าวๆอาจพูดได้ว่าทุกๆ 1000 ปีถึงจะมีครั้งหนึ่ง
เพราะว่าองค์อวตารท่านจะเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ท่านจะทำ เป็นของท่านเอง

..เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็คือเกมของท่านเอง..


................................<o></o></o>

 

เห็นภาษาอังกฤษและคำศัพท์ ที่คุณ chayutt แปล
แล้วนี่ ยิ่งรู้สึกขอบคุณมาก ๆๆ เลย ถ้าแปลเองนี่
ไม่รู้จะได้ ใจความ หรือเปล่านะนี่
ขอบคุณที่แปลและแบ่งปันให้ได้อ่านกันนะคะ