นู๋ฟ้า>ใหม่!แก้วขนเหล็ก,แก้วจอมขวัญ,แก้วโป่งข่ามเถินราคาถูกที่นี่ที่เดียว

คุณฟ้าครับ ผมขอจองแก้วไหมทอง 1 (ภาพที่8) เอาไว้ก่อนนะ
รวมกับแก้วขนเหล็ก ก่อนหน้านี้ที่จองไว้แล้ว ขอบคุณครับ

 

ที่ทำงานออนฯไม่ได้ แก้วกาบทอง---นู๋นึกว่ากาบชมพูซะอีก สีในรูปเหมือนสีชมพูเลยนะ แต่สวย แปลกดีค่ะ (||)

 

-สนใจก้อsaveได้เลย และพี่จะหาข้อมูลมาให้อีกนะ

 

แก้วที่สำคัญที่ขาดไม่ได้อีกชนิดค่ะ วันนี้มาคุยเรื่องแก้วนางขวัญ (จอมขวัญ หรือ แก้วจอมนาง) ที่หลายๆท่านให้ความสนใจถามถึง เพราะช่วยเรื่องเมตตามหานิยมกันดีกว่าค่ะ

3.แก้วนางขวัญ (จอมขวัญ หรือ จอมนาง)​

​

"แก้วนางขวัญ" หรือ "แก้วจอมขวัญ" หรือ "แก้วจอมนาง" เป็นแก้วโป่งข่ามที่หายากมากๆอีกชนิดหนึ่งค่ะ หลายคนเข้าใจว่าเหมือนอเมทิสต์ (Amethyst) ของทางแถบตะวันตก แต่อันที่จริงนั้นเมื่อได้ทำการทดสอบดูแล้วปรากฏว่ามีความแข็งมากกว่ามาก และจัดว่าเนื้อดีกว่าค่ะ จึงถูกจัดเป็นโป่งข่ามเนื้อแข็ง ซึ่งต่างกับ Amethyst ทางตะวันตก ที่มักจะเกิดมีรอยขีดข่วนได้ง่ายกว่าค่ะ
แก้วนางขวัญ นั้น เราสามารถบอกลักษณะคร่าวๆได้ดังนี้ค่ะ แก้วจะมีพื้นเป็นสีม่วง ซึ่งจะมีทั้งสีม่วงอ่อน ไปจนถึงม่วงเข้ม หายากมากค่ะ ภายในบางเม็ดอาจจะมีสีม่วงและอาจจะมีรอยอยู่ภายในด้วย แต่บางเม็ดก็อาจจะใส และบางเม็ดไม่มีตำหนิเลย ซึ่งหายากมาก สีม่วงนี้จะออกสีม่วงคล้ายดอกตะแบก และสีม่วงไวโอเล็ตค่ะ

​

ซึ่งในการขุดแก้วโป่งข่ามในแต่ละครั้ง อาจไม่พบแก้วชนิดนี้ เนื่องจากจะพบน้อยมากค่ะ ซึ่งคุณวิเศษของแก้วชนิดนี้ ดีในทางด้านปรับเปลี่ยนสภาวะ และการเปลี่ยนแปลงสภาพค่ะ อีกทั้งยังสามารถช่วยยกระดับสภาวะทางจิตใจให้สูงขึ้นอีกด้วยค่ะ เหมาะทั้งกับผู้ที่สนในศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของจิต หรือผู้ที่ต้องการสมาธิได้ดีค่ะ อีกทั้งยังเสริมแรงบันดาลใจได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียง เรียกว่าดีในด้านที่เป็นยอดเมตตามหานิยมเชียวล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังส่งเสริมด้านความรัก และวาสนาได้ดีค่ะ ซึ่งในสมัยโบราณแก้วชนิดนี้จัดว่าเป็นแก้วที่สูงค่ามากค่ะ เนื่องจากเราพบว่าแก้วนางขวัญนี้เป็นหนึ่งในแก้วมณีที่กษัตริย์สมัยโบราณได้ทรงเลือกนำไปถวายเป็นสักการะ (จัดเป็นเครื่องสักการะชั้นสูง) แก่พระบรมสารีริกธาตุในคราวบรรจุในพระเจดีย์ต่างๆด้วยค่ะ

​

อานุภาพของแก้วนางขวัญนั้น ยังมีความเชื่ออีกว่า ผู้ที่ได้ครอบครองจะมีเสน่ห์รัดตรึงใจคน เรียกว่า ละลายใจคนรอบข้างได้เลยทีเดียวค่ะ และเชื่อกันว่าหากนำแก้วใส่ใต้หมอนแล้วอธิษฐานให้พบคู่ครอง แก้วก็จะบันดาลให้ผู้นั้นเกิดนิมิตฝันถึงคู่สร้างคู่สมที่มีบุญผูกพันกันมาแต่อดีตชาติอีกด้วยค่ะ (น่าลองค่ะ สงสัยแอ้มต้องลองซะแล้วค่ะ ยังไม่ได้ลองทำซะที อิอิ)
นอกจากนั้นแล้วยังมีความเชื่ออีกค่ะว่าผู้ใดที่ถือครองแก้วชนิดนี้นั้นจะแคล้วคลาดจากอาถรรณพ์ มนต์เสน่ห์มายาทั้งปวง เพราะ "ขวัญ" หรือจิตของผู้นั้นจะถูกอานุภาพของแก้วนั้นคุ้มครองไว้ไม่ให้โดนอำนาจมนต์มายาใดๆสะกดได้เลยค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว รีบหามาเป็นสมบัติส่วนตัวกันไว้ซักชิ้นนะคะ ก่อนที่แก้วนางขวัญจะหายากกว่านี้ค่ะ

4.แก้วปวก
คำว่า"ปวก" เป็นภาษาเหนือ แปลว่าต่อมน้ำ หรือฟองน้ำ ตามตำนานพระธาตุลำปางได้กล่าวถึงลักษณะดั้งเดิมของพระธาตุเจ้าลำปางว่ามีสัณฐานดั่งปุ่มปวกน้ำ นั่นคือลักษณะครึ่งวงกลม ดั่งเช่นผลส้มผ่าครึ่ง ตามแบบสถูปอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเผยแพร่พระพุทธศาสนาถึงสุวรรณภูมิ
​

ดังนั้น จึงพิจารณาได้ว่า คำว่า"ปวก" อันแปลว่า ต่อมน้ำ หรือฟองน้ำ จึงมีลัษณะวิเศษที่แสดงถึงสิ่งที่มีกษณะฟูขึ้นมา แร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในแก้วโป่งข่ามดูดั่งต้นไม้ พุ่มไม้ ดั่งตะใคร่น้ำ หรือปะการัง หรือต้นโพธิ์ และสาหร่าย ซึ่งแร่ภายในแก้วปวกมีแร่ทั้งจำพวก Mosagate และ Hematite เกิดตามลักษณะด้านบนของแก้วที่โดยทั่วไปจะเป็นแก้วใส หากบางเม็ดมีลักษณะเกิดที่ก้นแก้วนั้นจะถูกเรียกว่า "แก้วปวกทราย" แต่หากขึ้นเป็นช่อคล้ายกับปะการัง จะเรียกว่า "ปวกครั่ง"(ปะการัง) และอีกแบบหนึ่งที่มีกษณะเครือคล้ายสาหร่ายจะถูกเรียกว่า "ปวกเครือ"(สาหร่าย) และหากว่าแร่ภายในลอยตัวอยู่ตรงกลางคล้ายเมฆ จะเรียกว่า"ปวกลอย" ซึ่งค่อนข้างหายากค่ะ แก้วปวก ให้คุณทางโชคลาภ ทำให้ทรัพย์สินงอกเงย ทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีชื่อเสียง เหมาะกับผู้ที่มีหน้าที่การงานที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่นๆ อีกทั้งให้ความชุ่มเย็น มีอิทธิฤทธิ์ และช่วยให้แคล้วคลาดดียิ่งค่ะ
ลักษณะของแก้วปวกแต่ละชนิดจะมีชื่อตาม 2 ลักษณะ ได้แก่
๑. ตามลักษณะสี เช่น ปวกเขียว ปวกแดง ปวกคำ(ทอง) ปวกเงิน ปวกแก้ว ฯลฯ
๒. ตามลักษณะที่เกิดขึ้นภายในเรือนแก้ว ได้แก่ ปวกไรแก้ว ปวกทราย ปวกครั่ง ปวกเครือ ปวกลอย ปวกปุย ปวกสี ปวกวรรณสาม(สามสี) ปวกเบญจรัตน์(ห้าสี) ปวกสัตรัตน์(เจ็ดสี) และ ปวกนวรัตน์(เก้าสี) ค่ะ

​

ปวกต่างๆ จำพวกแร่สี และต่อมน้ำแก้วต่างๆนั้นทำให้เกิดการตั้งชื่อปวกสีต่างๆ ปวกแก้วต่างๆ ปวกแร่ที่ราบกับก้นแก้ว เรียกว่า"ปวกทราย"แก้วปวกทรายคำตามสีสันและวาวสี แต่ถ้ามีลักษณะฟูขึ้นมาจะถูกเยกว่า"ปวกปุย" ปวกสีต่างๆ ปวกเครือ ปวกลอย คราบปวกที่กระจัดกระจายมีสีกระดำกระด่างที่คนภาคกลางมักเรียกกันว่า"กาหลง" ซึ่งปวกกาหลงนั้นไม่ใช่ลักษณะที่เป็นแก้วชั้นดีอย่างของบ่อแก้วโป่งข่าม แต่มักจะเป็นลักษณะแก้วที่มาจากที่อื่นค่ะ

เอกสารอ้างอิง : หนังสือมณีรัตนะจากพระแม่ธรณี

Credit pictures by : โป่งข่ามดอตคอม

-วันนี้แค่นี้ก่อน จะค่อยทยอยลงให้เพื่อนๆได้ติดตามกันต่อเรื่อยๆนะคะ

 

น้องดายังอยู่ป่าวเนี่ย ขอโทษทีนะจ๊ะ วันนี้งานเข้ามากๆ ออกเวรกลับบ้านมาตอนบ่ายแหละ แต่วันนี้มีภารกิจส่วนตัว ต้องรีบลงรูปในเวปพี่อ่ะจ้า ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย งานเข้าๆ พรุ่งนี้คุณสามีสุดที่รักต้องไปตจว.หลายวัน เดี๋ยวอัพรูปไม่ทันอ่ะจ้า ยังไงฝากน้องดาดูแลบ้านแก้วโป่งข่ามหลังน้อยของน้องฟ้าด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่ว่างแล้วจะแว๊บเข้ามาเป็นระยะ ระยะค่ะ

ตอนนี้ขอตัวไปนุ่มนิ่มก่อนหละน๊า พรุ่งนี้เข้าเวรเช้าแทนเพื่อนอีกจ้า

ฝันดีนะค่ะทุกคน night night

 

ได้รับเรียบร้อย ขอบคุณครับที่เป็นสะพานบุญ ขอให้ได้บุญมากๆครับ

 

ของดีและเป็นศิริมงคลครับ อนุโมทนาด้วยครับ

thaiput007@hotmail.com

 

ขอบคุณพี่ลูกแก้วแววตา, พี่ MSSODA และท่านอื่นๆที่นำภาพและความรู้มาลงให้ชมครับ
ที่ลืมไม่ได้คือ คุณฟ้าครับ ขอบคุณมาก

ผมได้รับโป่งขามแล้ว เม็ดใหญ่กว่าที่คิดมาก 555+
(ตอนแรกกะว่าจะทำหัวแหวน พอเห็นของจริงแล้วต้องเปลี่ยนใจไปทำเป็นจี้แทน!)
ปวกเขียวเยอะสุดๆ ส่องเพลินเลยครับ ตอนนี้กำลังเล็งๆเม็ดที่สองอยู่
คิดว่าจะเอาชนิดที่แตกต่างกันมาศึกษาครับ

 

-ช่วงนี้พี่แก้ว งานยุ่ง พักผ่อนเยอะๆๆนะ ดูแลสุขภาพด้วย ไว้เสาร์-อาทิตย์ค่อยมาออนเจอกันค่ะ ;aa41

 

***ขออนุโมทนาค่ะ***

 

-ไม่ลองดูจำพวก2-3กษัตริย์ล่ะคะ 1.หายาก 2.มีแก้วหลากหลายชนิดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แปลกนะ เหมาะสำหรับเอาไว้ศึกษา คุณวิเศษของแก้วก้อดี

 

5."แก้วพิรุณแสนห่า" หรือ "แก้วฝนแสนห่า"
​

แก้วพิรุณแสนห่า หรือฝนแสนห่านั้นมีลักษณะคล้ายเส้นสายฝนพุ่งลงจากด้านบนสู่ล่าง ซึ่งจะดูคล้ายกับฝนที่ตกลงมาเป็นริ้วๆ เส้นแร่เหล่านี้จะเป็นเส้นเล็ก ไม่เกินเส้นผม อาจจะตกลงมาตรงๆ หรืออาจจะทแยงข้างบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเส้นนอนตามขวาง สีสันของเส้นฝนจะมีหลายสี เช่น สีดำ เรียกว่า"ขนเหล็ก", สีทอง เรียกว่า "ไหมทอง", สีเขียว เรียกว่า "เข็มมรกต" และที่หายากมากที่สุด และราคาแพงที่สุดคือ สีฟ้า แต่ลักษณะของเส้นขนสีฟ้าจะไม่เป็นเส้นขนใหญ่เหมือนเส้นขนแบบอื่นๆ แต่จะเป็นริ้วบางเหมือนแพรด้ายบางเบาที่แผ่ออกมาเป็นผืนสาย เรียกกันได้อีกอย่างว่า "แก้วสีฟ้า" (ซึ่งแก้วสีฟ้าบางชนิดที่แรวิ่งเข้าตามตำราก็ได้) ซึ่งมองดูแล้วเหมือนกับเวลาฝนตกเช่นกัน **แต่ก็มีบ้างที่หลายคนนำแก้วขนเหล็กมาแอบอ้างว่าเป็นแก้วพิรุณแสนห่า** ฉะนั้นท่านต้องสังเกตลักษณะลายให้ดีๆนะคะว่าใช่หรือไม่
แก้วอีกอย่างที่คล้ายกับแก้วพิรุณแสนห่า คือ แก้วสีฟ้าค่ะ แต่แก้วสีฟ้าแบบนี้จะต้องเป็นสีฟ้าที่เป็น"ฟ้าแร"เท่านั้นค่ะ แต่ลายเส้นที่ปรากฏจะไม่เหมือนกัน ลายเส้นจะเป็นเสี้ยนดูคล้ายเสี้ยนไม่ไผ่ และจะเป็นลายแนวขวางค่ะ
ยังมีความเชื่อกันอีกว่า"แก้วพิรุณแสนห่า"นี้ สามารถคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ จะสามารถแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวงได้ ทำให้ทรัพย์สินเงินทองงอกเงยยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้เกิดความเจริญ และยังสามารถพลิกฟื้นโชคชะตาให้ดีขึ้นได้ค่ะ เปรียบได้กับสายฝนที่สามารถให้ความชุ่มชื้น และพลิกผืนแผ่นดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญงอกงามแก่สรรพสิ่งทั้งหลายได้ อีกทั้งยังสามารถบอกเหตุให้กับผู้ครอบครองได้ค่ะ โดยเมื่อหากมีการเปลี่ยนแปลง หรือจะเกิดสิ่งไม่ดี แก้วจะมีสีซีดลง รวมทั้งในช่วงที่มักมีข่าวไม่ดี หรืออยู่ในระยะกังวลใจอีกด้วยค่ะ ซึ่งในบางครั้งแก้วยังบ่งบอกถึงการมีปัญหาด้านสุขภาพได้ด้วยค่ะ แก้วจึงเป็นของแปลกที่ธรรมชาติประทานให้กับมนุษย์ให้ได้เรียนรู้ ใช้ประโยชน์ เพราะแก้วคล้ายกับมีจิตวิญญาณที่เป็นเพื่อนที่คอยบ่งบอกเรื่องราวต่างๆ โบราณจึงจัดเรื่องของอัญมณี และแก้วออกเป็นศาสตร์เฉพาะอีกแขนงหนึ่งที่นอกเหนือจากความเชื่อเรื่องเวทย์มนต์คาถา ซึ่งจะเห็นได้ว่าความเชื่อทั้งสองส่วนนั้นนำมาใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัวค่ะ
"คาถาพิรุณแสนห่า" ใช้สวดสาธยายเพื่อความเป็นมงคล และกันภัย หรือประกอบกับหัวใจในบทอิติปิโสแปดทิศ ที่ถอดจากอิตอปิโสห้องพุทธคุณ ๕๖ ห้อง ได้ ๗ คำ ภาวนาประจำเป็นสมาธิจะดีมาก ดังนี้ค่ะ "ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง"

​

ขอเท้าความแต่โบราณกาลมาแล้วที่มีการใช้คาถาพิรุณแสนห่า อย่างเช่น คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ, คาถาฝนแสนห่า หรือยันต์ฝนแสนห่านั้น ทางเหนือเองได้ใช้คาถานี้ในการลงยันต์ตะกรุด และเทียนบูชาต่างๆ ซึ่งคาถานี้นับว่าเป็นคาถาที่มีอานุภาพสูง สามารถใช้ได้พันช่อง คือเรียกว่าใช้ได้ทุกทางแบบครอบจักรวาลค่ะ เหตุที่มีความสำคัญนั้น เพราะว่าเป็นคาถาที่ใช้ในด้านคุ้มครอง คงกระพันชาตรี หลีกพ้นเคราะห์ภัย เปรียบได้แม้มีอาวุธดังห่าฝน หรือถึงแสนห่า ก็มิอาจทำอันตรายแก่ผู้ที่ได้ใช้คาถาฝนแสนห่านี้ได้ค่ะ ("ห่า" เป็นมาตราวัดปริมาณน้ำฝนของคนโบราณ ๑ ห่า เท่ากับปริมาณน้ำฝน ๑๐๘ บาตรพระค่ะ) และเมื่อได้นำคาถามาใช่ร่วมกับ"แก้วพิรุณแสนห่า"ด้วยแล้วนั้นยิ่งส่งผลให้แก้ว และคาถาส่งผลให้มีอานุภาพเพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ.

6.แก้ว แร
คำว่า "แร" ในภาษาพื้นเมือง แปลว่า "แยง" ขึ้นตรงกับคำว่า "ดู" ในภาษาพื้นเมืองจะว่า "ผ่อ" คนเมืองเหนือจะมีคำว่า "แก้วแร" โดยเฉพาะ ใช้ประกอบคำลักษณ์วิเศษณ์ในประโยคที่ว่า "แก้วแรใน ไหลหลิดๆ" "แก้วแรกลิ้งใน" ซึ่งในที่นี้ต่างมาจากประโยคที่เกี่ยวกับคำว่า"แร" ในการใช้แก้วโป่งข่าม​

คำว่า "แร" ซึ่งเป็นคำอันไพเราะ ใช้กันอย่างแคบๆในแวดวงจิตรกรได้กลับกลายเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอย่างดีสำหรับคนทางภาคเหนือ เพราะทางเหนือใช้คำว่า "แร" ในความหมายเดียวกับคำว่า "แรเงา" ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นคำว่า "แล"ค่ะ
"แก้วแร" เป็นแก้วที่ส่งผลในการหนุนเนื่อง คำคูนผู้ที่ทำธุรกิจ โดยเฉพาะท่านที่ต้องเดินทางติดต่อใช้วาทะศิลป์ และความละเอียดอ่อนในการสร้างผลงาน เป็นแก้วที่ทำให้บังเกิดสมบัติ เนื่องจากคุณสมบัติของแก้วนั้นจะเหนี่ยวนำให้เกิดความคิด หรือปัญญาที่จะเป็นเหตุที่มาของโภคสมบัติ จึงอาจเปรียบเสมือนแก้วจินดามณี ที่หมายถึงพระนางจินดา หรือพระแม่สรัสวตี เทวีแห่งปัญญาและศาสตร์ศิลป์นั่นเอง ผู้มีแก้วแรทุกคนล้วนเกิดญาณทัศนะบางอย่างที่ทำให้หยั่งลึกในลู่ทางของโภคทรัพย์ ซึ่งอีกมิติหนึ่งของแก้วชนิดนี้คือ ก่อให้เกิดจินตนาการเชิงศิลปะที่โดดเด่น จึงเหมาะสำหรับบุคคลที่ต้องการความพิเศษในการสร้างญาณทัศนะเพื่อรังสรรค์ศิลปกรรมที่โดดเด่น อย่างจิตรกรรม วรรณกรรม หรือนาฏกรรม เป็นต้น

​

สำหรับประกายแร เกิดจากวาวแก้ว อันมีจากผลต่างของเนื้อแก้วที่มีละอองประกายชนิดนี้ลอยติดกันเป็นพืด เหมือนกับทางช้างเผือก ซึ่งเป็นโพรงอากาศเล็กๆ จนไม่อาจดูได้ด้วยตาเปล่า โดยลักษณะโพรงเล็กๆ เหล่านี้เหมือนกับละอองหมอกที่มีประกายแก้วละเอียดสุดๆ

​

แก้วแร สามารถแบ่งได้ ๔ ประเภท คือ
๑. ประกายแร ถ้าในแก้วมีเส้นแพรแก้ว ในลักษณะควันแพร แก้วมักจะพบในแก้วสีฟ้าควัน แพรแก้วตวัดม้วนอยู่ข้างใน และมีประกายแรติดอยู่กับเส้นแพรแก้วด้วย ทำให้เกิดวาวแววเหลือบด้านใน ซึ่งเราเรียกว่า "แก้วแรใน"
๒. แรสาด อีกแบบหนึ่งที่เส้นแพรแก้วอยู่ในลักษณะโค้งเว้าลงก้นแก้ว มีประกายแรกลิ้งใน วาวแรสาดกลิ้งไปบนแก้วได้ เรียกว่า "แรสาด"
๓. แรใน ยังมีแก้วแบบพิเศษอีกแบบหนึ่ง คือ มีวาวแร และวาวสีพิเศษในเนื้อแก้ว มองดูเหมือนแก้วเนื้อใสธรรมดา บางครั้งก็เห็นเหลือบสีขึ้นมา โดยจะมองจากแต่ละมุมไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของ "น้ำแก้วแรใน" แบบ "น้ำแก้วน้ำใส" วาวแรที่สะท้อนกันเองในแก้ว ดั่งน้ำและน้ำมันรวมกัน ทีสีเจือจางอยู่อย่างจางๆ สุดจากมุมใดมุมหนึ่งของแก้วสามารถทอสีขึ้นมาโดยวาวสีเล่นกับวาวแก้ว จึงเรียกกันว่าแก้ว "แรใน"
๔. แรเหลือบ คือลักษณะของแก้วที่มีประกายแรเหลือบไป-เหลือบมาได้ เรียกว่า "พรายเหลือบ น้ำแก้วแรใน" หรือเรียกตามชื่อสีที่ปรากฏ เช่น "แก้วพรายแรฟ้าเหลือบ" หรือ "เขียวเหลือบ" เป็นต้น โดยจะเรียกตามสีที่เหลือบขึ้นมาได้ การเล่นแก้วนี้แต่โบราณนั้นถือว่าแก้วชนิดนี้มีราคาดีมาก เพราะเป็นการเล่นด้วยน้ำใสที่มีผลต่างจากความใส และมีสีที่ประหลาดที่เหลือบได้ ซึ่งมาจากข้างใดข้างหนึ่งของแก้วนั่นเองค่ะ

***พรุ่งนี้ยังมีต่อนะคะ***

 

แก้วพิรุณฝนแสนห่าของพี่แก้วค่ะ

เม็ดนี้ใหญ่โตมโหฬารเลย ได้แต่เก็บไว้เฉยๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอ่ะจ้า

 

อุ๊ย..."สาปภูษา" มาแว้ว ขอไปเฝ้าหน้าจอก่อนหละเจ้าค่า ช่ะแว๊บๆๆๆ

 

อยากทราบว่ายังมีแก้วขนเหล็ก แบ่งอยู่บ้างหรือเปล่าครับ แล้วเท่าไหร่ช่วยลงรูป และตอบกลับด้วยครับ

ขอบคุณครับ

 

แก้วขนเหล็ก น้องฟ้าน่าจะหาได้นะค่ะ ยังไงรอน้องฟ้าหน่อยนึงค่ะ พรุ่งนี้น้องเค้ากลับจากต่างจังหวัดแล้วจ้า แวะเข้ามาบ่อยๆนะค่ะ

 

วงนี้เรียกว่า "แก้วสามกษัตริย์" (แก้วเข้าแก้ว+ขนเหล็ก+เป๊กทอง) แก้วโป่งข่ามหายากอีกชิ้นนึงของแก้วค่ะ

 

น้องดาค้าบ พรุ่งนี้เย็นๆค่อยคุยกันนะจ๊ะ พรุ่งนี้พี่ออกเวรเที่ยง กลับถึงบ้านก็คงต้องถ่ายรูปภารกิจของพี่ต่ออีกหละจ้า ไม่รู้ว่าน้องฟ้าจะกลับมาถึงกี่โมง ยังไงก็จะแวะเข้ามาทักทายให้ได้หละจ้า

 

รับทราบการจองแล้วค่ะคุณกำธร จะเก็บไว้ให้ค่ะ
อนุโมทนาด้วยนะคะ

 

แก้วขนเหล็กที่ยังมีอยู่ 4 เม็ดค่ะ ท่านใดสนใจ รีบจองเลยค่ะ..
(ภาพที่ ๓๐.)size 2x3 cm.(จองแล้ว)

(ภาพที่ ๕๐.) size 1.4x1.6 cm. (จองแล้ว)

(ภาพที่ ๕๓.) size 2x2.6 cm.(ขายแล้ว)

(ภาพที่ ๔๖.) size 1.3x1.5 cm.(คุณณัฐจองแล้วค่ะ)

สนใจเม็ดไหนก็รีบจองเข้ามากันเลยนะคะ...
โทร. สายตรง 083-3230243
e-mail: nannyp2@gmail.com