สมเด็จพระอนุตรธรรมมารดา (เอี่ยวตี้กิมบ้อ)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ฉั่วปิงหาน, 21 ตุลาคม 2008.

  1. ปุญญิกา

    ปุญญิกา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +24
    บัดนี้แม่หย่อนสายทองให้ลูกปีนขึ้นไปหาแม่ นานเหลือเกินแล้วที่ลูกทิ้งแม่ไม่ยอมกลับบ้าน แม่ร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ตอนนี้ลูกคนนี้คิดถึงแม่ ขอบพระคุณที่ได้ให้มีการรับธรรมะ หากลูกได้กล่าวหรือกระทำความผิดใดๆ ขอประทานอภัยให้ลูกโง่คนนี้ด้วย ขอบคุณค่ะ
     
  2. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขออนุโมทนาในความปราถนาดีครับ
    ขอโอกาสแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อย
    กระผมเห็นว่า เวปบอร์ดทั้งหลายนั้น มีไว้แสดงความคิดเห็นถกกัน ตักเตือนชี้แนะและซักถาม ตามเหตุตามปัจจัย โดยมีหลักว่าพึงวางใจเป็นกลาง และกล่าวด้วยความปราถนาดี
    นำข้อชี้แนะนั้นมาพิจารณาด้วยใจเป็นกลาง มองดูอัตตาของตน เมื่อเห็นกิเลสด้วยความมีสติกิเลสนั้นมิอาจครอบงำได้ ย้ำนะครับว่าด้วยควมมีสติ รู้ตัว

    มีผู้รู้กล่าวไว้ว่าบุคคลผู้มีปัญญามิพึง ปล่อยให้กิเลสครอบงำจิตอันประภัสสร แต่ตามรู้กิเลสนั้นโดยมิล่วงเกินผู้อื่นด้วยวาจาก็ดี ด้วยกายก็ดี

    ดังนั้นแค่เพียงแต่เห็นกิเลสก็ย่อม เป็นการดี บางทีอ่านข้อความแล้วเป็นผัสสะกระทบจิต เป็นการฝึกจิตฝึกใจ ได้อีกวิธิหนึ่ง
    และบุคคลผู้มีปัญญานั้น ย่อมพิจารณาโดยแยบคายมิกล่าวโทษผู้อื่นด้วยว่าตนโดนครอบงำด้วยกิเลส หากจะกล่าวเพื่อให้เจ็บใจ หรือเพื่อเอาชนะมิใช่จิตอนุเคราะห์ก็มิบังควรครับ แต่หากพิจารณาดีแล้วก็จงกล่าวเถิด เพราะกรรมที่ก่อไปย่อมให้ผล เนื่องด้วยเจตนา
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2009
  3. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    งงทามมาย ไม่เห็นต้องงงไรนิ ถ้าไม่นับถือในถานะเทพก็นัยถือในฐานะที่ท่านได้ทำความดีจนมีบุญกุศลมาเกิดเป็นพระแม่องค์ธรรมจิ เราอะควรศึกษาไว้ เพราะเราทำได้อย่างท่านเมื่อไหร่ค่อยมาว่าท่านนะ
     
  4. ทิวัตถ์

    ทิวัตถ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +56
    ถามว่าพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ขอถามอีกว่าเรานับถือพระพุทธศาสนายึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าเคยถามบ้างไหมว่าพระพุทธเจ้านับถือใครโลกและจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ให้จินตนาการแดนวิสุทธิ์พระอริยะต้องการนิพพานทำไม ลองถามใจตัวเองดูนะครับ ผมอยู่ในวิถีอนุตตรธรรมมาเกือบ 3 ปีศึกษามาบ้างไม่เคยห่างวัดและไม่เคยห่างจากสถานธรรมพรธธรรมสอนให้เป็นคนดีอย่าทะเลาะกันเลยอย่าใช้อารมณ์มาตัดสินจะทำให้พุทธจิตมัวหมองยากแก่การขัดเกลา เมื่อบุญกุศลบุญวาระถึงพร้อมท่านคงได้รับรู้สัจธรรมเหมือนครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ถ่ายทอดให้กับพระอัญญาโกณฑัญญะโดยการชูดอกบวกขึ้นแล้วตรัสว่า บัดนี้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วหนอ
     
  5. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ขอแจมนะครับ การถกกัน มีทั้งส่วน ดีและไม่ดี ถ้าควบคุม อารมณ์ได้ เอาเหตุเอาผลเป็นหลัก หรือเอาเหตุเอาผลออกหน้าแทนอารมณ์ ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเอาอารมณ์ออกหน้าก็อาจจะทำให้จิตออกนอกเหตุนอกผลก็ได้ครับ ถ้าสติไม่ทันต่อจิตที่ปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เจอเหตุนั้นๆ อาจเผลอไปตามอารมณ์ก็ได้
    แต่การถกกันก้ทำให้เกิดปัญญา และสามารถนำมาปรับปรุงตัวเราได้
    แต่ถ้าใช้อารมณ์ มีอัคติ และความขัดเคือง ซึ่งเป็นส่วนของความโกรธนั้งก็จะเกิดโทษ
    เป็นเรื่องธรรมดาที่ คนเรามีความเห็นต่างกัน จึงทำให้มีข้อสงสัย หรือต้องการแสดงเหตุผล เพื่อหาความจริง
    ถ้าถกกันด้วยอารมณ์ อาจทำให้กลายเป็นศัตรูกันก็ได้
    ถ้าถกกันด้วยเหตุและผลอาจจะได้รับความจริงในเรื่องนั้นๆก็ได้
    ต่างคนต่างมีเหตุมีผล ในที่สุดเมื่อถ้า ถก กันด้วยเหตุผล ต่างคนต่างมีความเชื่อ ก้จะยุติเอง และเดินตามเส้นทางที่ตนเชื่อ แต่ต่างคนต่างไม่มีอัคติต่อกัน ยังคงเป็นมิตรกันเหมือนเดิม ถ้าเอาเหตุเอาผล ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ พร้อมทั้งมีเมตตาและไมตรีจิต นะครับ
    ในจุดนี้ตัวผมก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก้จะพยายามต่อไปเพื่อให้ฝึกตน ตามเส้นทางมหาบุรุษ ทรงพาดำเนิน ครับ
     
  6. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอโอกาสแสดงความคิดเล็กน้อย
    ผมไม่เคยมีเรื่องหรือสิ่งขุ่นเคืองใจ ในสถานธรรมนะครับ
    เรื่องรับธรรมะ ผมเเค่เคยมีคนมาชักชวนเนื่องด้วยว่า เรา มีทางเดินของเราแล้ว จึงรับฟังโดยสงบ
    พี่สาวผม คุณตาผมก็ไปรับธรรมะนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถตอบคำถามที่ผมถามได้
    เพียงแค่ปฏิบัติตามๆ ที่ให้ทำ

    555ขอบคุณครับที่ชี้แนะและเป็นห่วง
    แต่ทางที่ผมเดินอยู่ ไม่มีรถ ไม่มีแม้แต่ใครเดินสวนมาเลยครับ
    เพราะทุกคนมุ่งหน้าไปในทางเดียวกัน ไม่มีทับกัน ไม่มีใครเท่ากันเป๊ะจึงไม่ต้องห่วงว่าจะชนกัน
    เพียงแต่ประสพ พบกันตามเหตุตามปัจจัย ตามวาระ เช่นที่กล่าวอยู่นี่ก็เช่นกัน



    ใจผมมิได้แปลกแยกเลยว่าอนุตรธรรมนั้น เป็นธรรมที่เลวกว่า ธรรมะที่เรารู้
    หรือคำสอนของศาสนาใดๆในโลกที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นผิด

    แค่อยากรู้ว่า จุดมุ่งหมายเพื่ออะไร เหตุใดจึงแตกต่างไป(ผมเลี่ยงคำว่าไม่เหมือนนะครับ แต่แค่แตกต่าง)ในรูปแบบ การปฏิบัติ
    อันนี้เห็นผลว่าท่านmarty ได้ศรัทธาไม่ไหวหวั่นน่าชื่นชมจึงกล่าวถามในธรรมนั้นๆ เท่านั้นเอง

    หากทราบเราก็จะทราบจุดประสงค์ และทราบในแนวทางการปฏิบัติ
    ผู้รู้กล่าวว่า คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง
    แต่คนฉลาดในกาล(รู้ว่าเวลาเป็นของจำกัด)เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น


    ผมเองก็รู้น้อย เวลาแสดงความคิด ผมเองก็ดูจิตไปด้วย ดูลมหายใจไปด้วย ว่าจิตใจเปลี่ยนไปไหมรู้สึกยังไง
    การแสดงความคิดนั้นก็ อาสัยเพียง สัญญาอันไม่เที่ยง และการได้พิจารณาแล้วเป็นเหตุ
    ไต่ถามตามสมควรเท่านั้นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2009
  7. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    หากคุณmarty เห็นว่าอนุตรธรรมนั้น เป็นการศึกษาทุกศาสนา
    ที่เห็นคุณแม่ศึกษาอาจเป็นศีลสิกขา(การรักษาศีล)หรือปัญญาสิกขา(การเจริญปัญญา) ไม่ได้ศึกษาเรื่องจิตสิกขา
    (หรืออาจศึกษาแต่คุณอาจไม่เห็น เพราะเป็นสิ่งที่ศึกษาจากภายในไม่เห็นจากภายนอก)
    ลองศึกษาเรื่องจิตไหมครับ ผมแนะนำ
    http://www.wimutti.net/pramote/
    นี่เป็นธรรมะ แท้ๆจากพุทธศาสนาเลยนะครับ
    ลองโหลดมาฟังดู น่าจะเป็นประโยชน์ในภายหน้า

    ย้ำนะว่าศาสนาใดก็ศึกษาได้ แล้วก็ฟังเล่นๆเฉยๆ ผมก็ฟังเล่นๆ
    เพื่อนผมที่เป็นอนุตรธรรมก็ฟังเล่นๆ ไม่ได้จริงจัง
    แต่พอเห็นจิตเห็นใจแล้วมันมีความสุข(ก็รู้ว่ามีความสุข55)

    การปฏิบัติแนวอนุตรธรรมของท่านก็ทำต่อไปแต่แค่ฟังเฉยๆคงไม่หนักหนาอะไรนะครับ
    ไม่ได้ทำอะไรเลยเปิดเล่นๆ จริงๆ

    เพราะเห็นว่าดีจึงแนะนำ ด้วยกัลญาณธรรม อันนี้หวังดีจริงๆ
    หากท่านเคยศึกษาแล้วผมก็มิกล่าวสิ่งใด

    เพียงแค่อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2009
  8. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528

    อนุโมทนาครับ
    ขอโอกาสแสดงความคิดสักเล็กน้อย ไม่ได้โกรธนะครับ เพียงแต่ต้องการให้ทราบเจตนาที่ผมถาม

    ไม่ได้ว่ากล่าวติเตียนใครเลย เพียงแต่ถามเฉยๆอ่ะครับ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร ผมจะกล้าปรามาสท่านได้อย่างไร เพียงอาศัย สัญญาเก่าที่ไม่เที่ยงว่า เอ พระแม่องค์ธรรม มิใช่พระผู้ทรงคุณที่เรารู้จักชะรอยจะเป็นเทพ ผมเองก็เชื่อในเทพเจ้านะครับ เพราะทำดีจึงได้ดี แต่ก็งงว่าจะมีผู้ใดเล่าประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้หาผู้เสมอเหมือนมิได้เท่านั้นเอง ก็สัญญา(ความกำหนดได้หมายรู้)มันไม่เที่ยง
    เลยกล่าวถาม

    ผมนับถือนะครับ เมื่อพิจารณาแล้วจึงนับถือ
    ผมเองนับถือผู้อื่นนั้น ด้วยวัย ด้วยคุณและด้วยชาติกำเนิด
    แม้ผู้ที่มีศีลสูงกว่าตนเพียงข้อเดียวหรืออายุมากกว่าตนเพียงวันเดียวก็นับถือ

    มีผู้รู้กล่าวว่า ไม้ที่ไม่มีแก่นดำรงอยู่ได้แต่ไม่เเข็งแรง
    ศรัทธาที่ไม่มีปัญญาเป็นแก่นก็ ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน

    ผมรู้ว่าจิตใจคุณเองก็ อ่อนโยน แต่ผมแค่อธิบายความรู้สึกของผมตอนนั้นเท่านั้นเอง
    ชี้แนะด้วยคร๊าบบบ 55
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2009
  9. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ปากอย่างใจอย่าง พวกสุดโต่ง
    ปากก็พูดว่ามีใจเป็นกลาง แต่สุดท้ายก็หลงว่าของตนนั้นประเสริฐเลิศที่สุดแล้ว
    ของคนอื่นไม่ใช่ทาง นับถือพุทธเพียงทะเบียนราษฏร์
    คงไม่มีประโยชน์อันใดที่กล่าวกับบุคคลเยี่ยงนี้อีก
     
  10. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขออนุญาตแสดงความคิดสักเล็กน้อย
    ไม่หรอกครับ ผมยังด้อยศึกษานัก
    ก็เป็นพุทธตามทะเบียนบ้านจริงๆ
    แต่เพราะได้ศึกษาแล้วเห็นว่าดี จึงศรัทธา
    เมื่อคิดว่าดีจึงแนะนำ

    เพราะคิดว่าดีที่สุดที่ได้เจอมาในชีวิต
    แต่ถ้าศรัทธาผมมั่นคงไม่ไหวหวั่นคงเป็นพระโสดาบันไปแล้ว ผมยังเป็นศรัทธาวิปลาสอยู่
    ก็บอกแล้วว่าเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าผู้เลิศที่สุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ถ้าผมเชื่อมั่นว่าอย่างนั้น ศรัทธาเที่ยงจริงก็คงไม่เชื่อและ ก็ไม่ถามแล้ว เพราะสงสัยจึงถาม
    และสิ่งที่ตนศรัทธา ไม่ได้เอามาทับถมหรือ กล่าวโอ้อวดแก่ผู้ใด หรือเปรียบว่าดีกว่า

    เมื่อเล็งเห็นด้วยว่า ผู้ที่มีคติแนวคิดอื่นศรัทธาเราเองก็ต้องการศึกษาแนวทางนั้นเช่นกัน
    เพราะไม่ได้ศึกษาทุกศาสนา (ซึงคงไม่มีใครศึกษาขนาดนั้น ผมคิดว่าอย่างมากก็ศาสนาหลักๆ)

    เวลาเราสรรเสิญก็ย่อมต้องสรรเสิญสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดในชีวิตใช่ไหมครับ
    แต่อย่าได้ ทับถมหรือกล่าวร้ายศาสนาอื่นก็พอนี่ช่ายป่ะ
    ป๋มไม่ได้บอกว่าดีกว่า แค่บอกว่าดีที่สุดในชีวิต แล้วก็ง่ายด้วย

    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2009
  11. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอแสดงความคิดเล็กน้อยนะครับ
    ผมเข้าใจว่าหากจุดหมายเช่นเดียวกันนั้น ถูกต้องครับเดินทางใดก็ได้ถึงเหมือนกัน

    เท่าที่อ่านและพิจารณาดูแล้วเห็นว่า
    ผู้ที่เป็นห่วง หรือผู้สนใจทั้งหลายนั้น(ไม่ใช่ผมนะครับหมายถึงคนที่โต้กลับในวิถีนี้ๆ เพราะผมแค่ถามด้วยความสนใจและแสดงธรรมที่ตนสนใจศึกษาอยู่เฉยๆ ไม่ได้โอ้อวดอะไรเลย ใครจะตีความว่าโอ้อวดก็ขึ้นกับมานะของตนแล้วหล่ะครับ 55)

    ผู้ที่ถามกลับนั้น เปรียบเหมือนเป็นผู้เดินทางไปเหมือนกันจึงมองผู้กำลังเดินทางอยู่และถามถึงเฉยๆมั้งครับว่า "ท่านผู้เดินอยู่นั้น ท่านจะไปไหน(จุดมุ่งหมายของท่านคืออะไร)"
    " ทางที่เดินอยู่นั้นเป็นเช่นไร(แนวการปฏิบัติเป็นอย่างไร)"

    ผู้ศึกษาวิถีนั้นๆก็ตอบว่า"เป็นจุดเดียวกับท่าน หรือเป็นสิ่งเดียวกัน"
    ผมว่าท่านนที่ถามก็คงสงสัยจึงถามต่อว่า" จุดเดียวกับเราที่ท่านว่าเป็นอย่างไร"
    แค่นั้นมั้ง
    เพระผู้ที่ถามเองก็คงอาศัยธรรมแห่งกัลญาณมิตรผู้เดินทางไกล ไต่ถามตามสมควร
    แต่คำถาม คำตอบบางครั้งอาจ ตีความตัวหนังสือตามประสบการณ์ของตนไปสักเล็กน้อย ว่าดูถูกบ้าง ปรามาสบ้าง หรือเจอโทสะบ้าง

    หากตั้งจิต วางตนในฐานะผู้ศึกษา เป็นกัลญาณมิตรที่ดีก็คงไม่เป็นเช่นนี้
    คงตอบกลับโดย ตามที่ตนเข้าใจ แบบชี้เเจง ไม่เอาจุดนั้นจุดนี้มากล่าวโทษ
    เพียงแต่แสดงธรรมะตามแนวทางของตนให้ผู้สงสัยได้พิจารณาแล้วตัดสินเอง

    สำคัญที่สุดนั้น เมื่อแสดงธรรมะหรือแนวทางของตนและพิจารณาของผู้อื่นก็ชี้แนะตามสมควรเมื่อกล่าวแล้วก็จากไปในวิถีของตน
    คู่สนทนานั้นๆจะศึกษาหรือไม่ได้ ก็วางอุเบกขาแล้วจากไปอย่างสงบนี่ก็เป็นหนึ่งในคุณธรรมของกัลญาณมิตรผู้ชี้แนะ

    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นนะครับ
     
  12. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    มาฆบุญยมาส เหล่าเทวะราชพาสร้างกุศล เหล่าประชาพากันทำบุญ ทุกๆๆคนต่างปลืมปิติปรีดา
    อิ่มบุญอิ่มกุศลพากันสร้าง ต่างพากันถวายบังคมพระศาสดาจารย์ อนุโมทนาทานในวันมาฆบูชาด้วยครับ เจริญพร
     
  13. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ขออนุโมทนาครับ ผู้ที่มีทิฎฐิมานะน้อยนั้นหายาก ยิ่งผู่ที่ไม่มีมานะทิฎฐิยิ่งหายากกว่า
    กระผมยังมีปัญญาน้อยอยู่ไม่อาจไปสอนใครได้ ยังต้องให้ท่านทั้งหลายแนะนำอยู่ และยินดียิ่งในการแนะนำของท่านทั้งหลายด้วยหลักเหตุและผล
    ในบรรดา สิ่งที่มีจิต พระพุทธเจ้าทั้งหลายประเสริฐสุด แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพ คือ พระธรรม ขอขอบคุณครับที่แก้ข้อสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2009
  14. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ในกระทู้ของคุน Marty
    1. สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสวงหา นั้นคือ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าแสวงหาสิ่งใด สิ่งนั้นต้องประเสริฐกว่าแน่นอนจ้า แต่สิ่งนั้น พี่คิดเอาเองว่า น่าจะเป็น "สัจธรรม" สัจธรรมไม่มีเกิดไม่มีดับ สัจธรรม คือ ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น พระแม่องค์ธรรมที่มนุษย์ตั้งชื่อเรียกนั้น น่าจะหมายถึง องค์ธรรม หรือ สุญญตา (จิตจักรวาล) นั่นเอง พระพุทธองค์เข้าถึงธรรม หรือ พุทธะ ก็คงเข้าถึงองค์สัจธรรมแห่งฟ้า ซึ่งหมายถึง จักรวาลที่ไม่เกิดไม่ดับ
    -----

    เมื่อ พระแม่องค์ธรรม คือ สุญญตา หรือ หระนิพพาน แล้ว ก็ไม่อยู่ในฐานะแห่งสมมุติ และ ไม่อยู่ในฐานะที่จะบัญชา สั่งสอน แนะนำใครได้ หากแต่ว่ามีผู้ที่ปฎิบัติ จนเข้าถึง พระนิพพาน แล้วจึงนำมาสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ด้วยเหตุที่ธรรมมีอยู่แต่เดิมแล้ว ผู้ปฎิบัติมารู้ภายหลัง ผู้ปฎิบัตินั้น ก็ย่อม เคารพพระธรรมเป็นธรรมดา
    ดังนั้น พระธรรม พระนิพพาน จึงไม่ได้สอน ไม่ได้แนะนำ ไม่ได้บัญชาใคร แต่พระธรรมนั้นมีอยู่ บุคคลอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เพื่อเข้าถึง พระนิพพาน อันมีสภาพไร้สมมุติ
    ขออนุโมทนากับการทำบุญกุศลของเหล่าสัพพสัตว์ทั้งหลาย ที่กระทำแล้วและที่กำลังจะกระทำต่อไป ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ครับ สาธุ

     
  15. bhodhithas

    bhodhithas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +591
    คำตอบมีอยู่ในโพสต์เก่าๆ

    http://palungjit.org/threads/อนุตตรธรรมคืออะไร.115829/page-6

    โพสต์ตอบกระทู้ วันที่ 25-04-2012, 04:58 PM #116

    หากกล่าวถึงลัทธิวิถีอนุตตรธรรมแล้ว ข้ออรรถข้อธรรมต่างๆก็นำไปจากศาสนาพุทธบ้าง เต๋า ขงจื้อ บ้าง นำวิธีการเผยแพร่ไปจาก คริสต์ อิสลาม บ้าง จึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจ ถ้าจะกล่าวว่าลัทธินี้สอนดี สอนคนให้กินเจ มีเมตตา มีคุณธรรม มีกตัญญู ซื่อสัตย์ รักผู้อื่น ถ้าอนุตตรธรรมสอนเพียงเท่านี้ก็น่าสรรเสริญ เพราะเป็นธรรมแท้จากศาสดาที่ได้รับการยอมรับของโลก

    แต่ที่ไม่ถูกต้อง ก็คือส่วนที่เจตนาเข้าไปชำแรก เข้าไปบิดเบือน ปลอมปน เปลี่ยนแปลง ส่วนประกอบของธรรมเดิมให้ผิดเพี้ยน โดยให้เกิดประโยชน์เฉพาะแก่ลัทธิตน เช่น การปั้นแต่งเรื่องอนุตตรธรรมมารดา การทรงจี้กง พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ เทพเซียนต่างๆ แม้กระทั่งพระศรีอาริยเมตตรัย (ไม่ยักกล้าไปทรงพระเยซู พระอัลเลาะห์) การสร้างเรื่องให้เทพเซียน พระโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้าต้องรับบัญชา (คำสั่ง) จากองค์มารดา ที่ยกขึ้นข่มเป็นพระเจ้าเหนือพระเจ้า เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาในทุกศาสนา ทั้งที่ลัทธิวิถีอนุตตรธรรมแอบคัดลอกนำคำสอนเขาไปใช้ เป็นการขาดกตัญญู แอบอ้าง ทุจริต เนรคุณ โดยคำสอนแท้ๆที่มาจากลัทธิวิถีอนุตตรธรรมเองนั้น กลับเป็นที่น่าสงสัย และบิดเบือน คำสอนในธรรมเดิมอย่างโจ่งแจ้ง เช่น เรื่อง

    1. พระพุทธเจ้าถูกสั่งให้มารับปกครองธรรมกาล มีธรรมกาลยุคเขียว ธรรมกาลยุคแดง ธรรมกาลยุคขาว

    2. ธรรมกาลยุคแดงโดยพระพุทธเจ้าศากยมุนีบัดนี้จบสิ้นแล้ว ปัจจุบันเป็นธรรมกาลยุคขาว เป็นยุคของพระศรีอาริยเมตตรัยปกครองแล้ว

    3. พระมหากัสปเป็นผู้รับสืบทอดวิถีอนุตตรธรรมโดยตรง มาจากพระพุทธเจ้าสมณโคดมเพียงองค์เดียว

    4. ในอดีตชาติ พระพุทธเจ้าศากยมุนี แอบสับเปลี่ยนดอกบัวอธิษฐานกับ พระศรีอาริย์

    5. การบิดเบือนคำสอนในศาสนาพุทธว่าด้วยเรื่อง พระรัตนไตร ไปเป็น พระไตรรัตน์

    6. มีการให้ฆราวาสจิ้มนิ้วที่หน้าผาก ว่าเป็นการ ชี้จุดญานทวาร แทนพระพุทธ

    7. การให้ท่องจำ ระหัสคาถาลับ 5 คำ (อู่ไท้ฝอหมีเล่อ) ว่า แทนพระธรรม

    8. การห่อมือ ทำสัญลักษณ์ เรียกว่าลัญจกร แทนพระสงฆ์

    9. การแสดงไตรรัตน์ทั้ง 3 ประการ มีผลเป็นใบผ่านให้สาวกลัทธินี้เข้าประตูสวรรค์ได้ทุกคน

    10. การไปรับธรรม เขียนชื่อบนกระดาษนำไปเผา ลบชื่อออกจากบัญชีในขุมนรกได้ ไม่ต้องตกนรก

    11. การไม่รับวิถีอนุตตรธรรม ไม่ไปชี้จุด ไม่สามารถเข้าสู่แดนนิพพาน แม้แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ตาม

    12. การรับวิถีอนุตตรธรรม พระสงฆ์ต้องคุกเข่าต่อฆราวาส เพื่อรับการชี้จุดถ่ายทอดธรรม

    13. การถ่ายทอดธรรมในครั้งโบราณ ยุคเขียว เฉพาะกษัตริย์สู่กษัตริย์

    14. การถ่ายทอดธรรมในครั้งต่อมา ยุคแดง เฉพาะนักบวชสู่นักบวช

    15. การถ่ายทอดธรรมในยุคหลัง คือยุคขาว ครัวเรือนสู่ครัวเรือน หมายความว่า ปัจจุบันนี้ไม่ต้องออกบวช ก็สามารถนิพพานได้แล้ว

    16. มีการปรกโปรด ฉุดช่วยสามโลก โดยการบัญชาของเหลาหมู่ หรือองค์มารดา

    17. เฉพาะยุคนี้ เป็นยุคคับขัน เป็นปลายกัปสุดท้ายโลกใกล้แตกดับ มีโซ่ทองส่งตรงลงมา ฉุดช่วยผู้คนขึ้นสู่นิพพานเบื้องบนได้ฉับพลัน

    18. พร้อมกันนี้ก็ได้ประทานภัยพิบัติให้มาล้างโลก กวาดชำระ แยกหินออกจากหยก

    19. ฉวยโอกาส เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นที่ใด ก็อ้างว่าเห็นไหมเตือนแล้ว และอุปโลกนำวิญญานเหล่านั้นมาลงทรงสารภาพบาป ลัทธินี้เคยทำพลาดครั้งหนึ่งที่ทำนายว่าโลกจะแตกในปี ค.ศ.1999-2000 ทุกคนต้องรับวิถีอนุตตรธรรมทันทีจึงจะรอด แต่ปัจจุบันไม่มีสำนักไหนยอมรับทั้งที่ยังมีแผ่นปลิวเป็นหลักฐาน

    20. แอบอ้าง โดยการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เทพกวนอู เทพตั๊วเล่าเอี๊ย มาลงทรงอยากรับวิถีอนุตตรธรรมด้วยแต่วาสนาไม่พอ

    ผู้เลื่อมใสในวิถีอนุตตรธรรมเท่าที่พบปะเจอะเจอ เคยสนทนา เคยแลกเปลี่ยนข้อธรรม ไม่เคยมีใครตอบปัญหาได้ชัดเจน ในความบิดเบือนทั้งปวงที่ลัทธินี้สอนอยู่ เมื่อจนปัญญา ก็ใช้วิธีตอบกำกวม หรือหลีกเลี่ยงว่า คุณยังไม่ได้ศึกษา ศึกษาก่อนสิ ก็ขอถามกลับว่าถ้าไม่ศึกษาแล้วจะรู้ว่า ลัทธิวิถีอนุตตรธรรมบิดเบือนตรงไหนได้อย่างไร แล้วรู้แม้กระทั่งประวัติความเป็นมาของลัทธิจอมปลอมนี้ตั้งแต่ครั้งโบราณอีกต่างหาก หรือไม่ก็ปฏิเสธว่า สถานธรรมของตนเองไม่เคยสอนอย่างนี้ คงเป็นสำนักอื่น หรือสำนักปลอม "เข้าใจว่าคงผลัดกันปลอมมากกว่า" ถูกซักหนักเข้าหาข้อโต้แย้งไม่ได้ก็พาลขอตัวติดธุระด่วนทันที ไปหาเหยื่อรายใหม่ที่หลอกง่ายๆดีกว่า....

    เมื่อมีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับสาวกลัทธินี้ ไม่ควรไปถกข้อธรรมที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเขาก็ไปลอกแบบมาจากศาสนาพุทธเช่นกัน พูดอย่างไรก็ถูกเพราะเป็นธรรมจากที่เดียวกัน แม้ความลึกซึ้งในบางเรื่องอาจไม่ตรงบ้างแต่ก็ยังถือว่าพูดถูกโดยสามัญ หัวข้อสนทนาที่ควรยกเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนความเห็นด้วย ควรเป็นข้อธรรมที่ลัทธินี้คิดขึ้นมาเองเพื่อชวนเชื่อให้หลงเท่านั้น ดังเช่นที่ยกขึ้นไว้ข้างต้น จะเห็นผลว่าที่สุดเขาก็รีบหนีไปตั้งหลักไม่กลับมาอีกเสียทุกรายไป....

    ช่วยขจัดภัยในพระพุทธศาสนา ต่อต้านการบิดเบือน เป็นหน้าที่พุทธบริษัท ลัทธิวิถีอนุตตรธรรมก็ไม่ผิดไปจากฮินดูที่สอนว่า พระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์....<!-- google_ad_section_end -->
    ..............................


    กระทู้เดียวกัน
    หัวข้อโพสต์ วันที่ 01-05-2012, 05:10 PM #118

    หลังจากโพสต์นี้ขึ้นบอร์ด เมื่อวันพุธที่ 25 เมษายน 2555 เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นมีผู้เลื่อมใสในอนุตตรธรรมเข้ามาตอบเลยสักคน จะเห็นว่าหัวข้อโต้แย้งที่ยกมาทั้ง 20 ข้อข้างต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน

    ลอกธรรมจากศาสดาอื่นมาแสดงยังพอให้อภัย แต่การเนรคุณนำครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์มาเหยียบย่ำ เพื่อให้ตัวเองเด่นกว่า เหนือกว่า เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ บิดเบือนกันผิดๆก็เห็นๆ หนำซ้ำสาวกในลัทธินี้ยังแต่งตั้งกันเองให้เป็นโพธิสัตว์โน้นนี้เมื่อมีใครตายลงอีก เป็นการขายตำแหน่งให้ผู้หลงไหล ขายความมักง่ายในนิพพานให้ผู้ด้อยปัญญา แน่นอนว่านรกขุมใหญ่ได้สำรองที่อยู่ไว้ให้แล้วไม่ต้องสงสัย ผู้บรรลุฌานสมาบัติย่อมรับรองได้ทุกคน<!-- google_ad_section_end -->
    ............................

    กระทู้เดียวกัน
    หัวข้อโพสต์ วันที่ 07-05-2012, 01:00 PM #122

    กินเจ เป็นคำสอนและการปฏิบัติของ "พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน"
    การไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น เป็นสิ่งดีแท้แน่นอน เทพเทวาย่อมสรรเสริญ

    "อนุตตรธรรม" อ้างตนเองเป็น "พุทธศาสนามหายาน" แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

    อนุตตรธรรม มีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศจีน ต่อมาไปเติบโตที่ไต้หวัน ปัจจุบันพยายามเสาะหาและสร้างฐานใหม่ในประเทศไทย มีการกว้านซื้อที่ดิน และชักชวนบริจาคที่ดินทำพุทธสถานตามจังหวัดต่างๆ เพราะการขยายความเชื่อในไต้หวันเริ่มตีบตัน

    เมื่อครั้งลัทธินี้เริ่มก่อกำเนิดในประเทศจีนในชื่ออื่น โดยการแยกตัวมาจากลัทธิหลอจู่ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "อนุตตรธรรม" แต่เพราะเจ้าลัทธินี้มอมเมาความเชื่อที่บิดเบือน แอบซ่อนแฝงเร้นวัตถุประสงค์ร้ายไว้ภายใน เปรียบดัง ยัดไส้ขนมอร่อยด้วยยาพิษ จึงถูกทางการจีนขับไล่ ระหกระเหินระเห็ดกระเด็นไปตั้งฐานรากใหม่ในไต้หวัน กระนั้นก็ดี "ซุนซู่เจิน" เจ้าลัทธิในขณะนั้นก็ยังต้องอยู่ในไต้หวันอย่างหลบๆซ่อนๆ จนถึง พ.ศ.2530 ภายหลังการตายของซุนซู่เจิน ทางการไต้หวันจึงอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนได้ ว่าเป็นลัทธิถูกกฏหมาย เนื่องเพราะเจ้าลัทธินี้เคยสนับสนุนเจียงไคเช็คต่อสู้กับเหมาเจ๋อตงแห่งจีนแผ่นดินใหญ่มาก่อน ปัจจุบันนี้ หากมีใครคิดเผยแพร่ลัทธิอนุตตรธรรมในประเทศจีน มีโทษสูงถึงประหารชีวิต

    แม้ลัทธิอนุตตรธรรมแอบอ้างตนเองและพยายามอย่างไร พุทธศาสนิกชนและองค์กรศาสนาพุทธต่างๆในไต้หวันก็ไม่เคยยอมรับ "อนุตตรธรรม" ว่าเป็นส่วนหนึ่งหรือนิกายหนึ่งของ "ศาสนาพุทธมหายาน" คงเรียกได้เป็น "ลัทธิ" หนึ่งเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลัทธิบิดเบือนนี้ต้องไปตามหาคนโง่ในประเทศอื่นๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ประเทศไทยนี่เอง อ่านเรื่องราวต่างๆได้ตามลิงค์ต่อไปนี้

    ว่าด้วยประเพณีกินเจ ตอนที่ ๔ : ลัทธิในประเทศจีน

    ตามกระทู้ก่อนเคยบอกแล้วว่า ไม่ต้องสนใจคำสอนที่ "ลัทธิอนุตตรธรรม" ไปคัดลอกศาสนาอื่นและแอบอ้างสอนในนามตนเอง เช่น การถือศีลกินเจ ได้มาจากศาสนาพุทธมหายาน คุณธรรมแปด มาจากขงจื้อ ปรัชญาความว่าง มาจากเหลาจื้อ รูปแบบการขยายความเชื่อการสร้างสังคม มาจาก ศาสนาคริสต์และอิสลาม ที่มีพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ ส่วน "อนุตตรธรรม" ยกให้ "เหลาหมู่" เป็นที่สุดในจักรวาลเหนือศาสดาทั้ง 5 ที่ทั่วโลกยกย่อง

    ขอให้สนใจเพียงว่า "ลัทธิอนุตตรธรรม" บิดเบือนเอาดีใส่ตัวชั่วเป็นของผู้อื่นอย่างไร สอนผิดๆเพี้ยนๆอย่างไร ถึงตอนนี้ ท่านจะเถียงว่าผู้ที่นำอาหารหรือ ขนมอร่อยที่ยัดไส้ยาพิษไว้ภายในมาให้ท่านรัปทาน ว่าเป็นผู้วิเศษผู้มีคุณก็คงแล้วแต่ท่านพิจารณา

    แต่อย่าลืมตอบคำถาม หรือยกอธิบายหัวข้อ 20 หัวข้อในกระทู้ก่อน มาสนทนาแลกเปลี่ยนกันด้วย โดยเฉพาะเรื่อง ธรรมกาล ยุคเขียว ยุคแดง ยุคขาว เชื่อว่าเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว แม้เจ้าลัทธิคนแรกๆมาเกิดใหม่ก็คงอธิบายให้กระจ่างชัดไม่ได้

    เจริญในธรรม (ที่ไม่บิดเบือน)
    ..................<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. ิิbetarird

    ิิbetarird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +161
    ขอให้ทุกท่านยึดมั่นในพระรัตนตรัย

    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"
     
  17. มหาอธิษฐาน

    มหาอธิษฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +418
    จิตวิญญานมิได้มีพระเจ้าผู้ใด้ให้กำเนิดหรือจะรอไปรวมกับที่ใหน อวิชชาเป็นปัจจัยทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดจากเหตุดับไปก็เมื่อเหตุดับ คำว่าสังสารวัฏหมายถึงการเกิดดับของสภาวะแต่มิได้มีคนหรือสัตว์ในนั้น เราไม่มีในขันธ์ ขันธ์ไม่มีในเรา อย่ามัวหาต้นหาปลายอยู่เลย สังสารวัฏนี้ไม่มีต้นไม่มีปลายมีแต่ความสืบเนื่องของความไม่รู้

    ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กรกฎาคม 2012
  18. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****พิจารณาก่อนเถิดหนอท่านทั้งหลาย*****
    .....อันความเชื่อก็ดี ความยึดมั่นศรัทธาก็ดีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ผิดอะไรไปจากผู้ที่ใฝ่ยึดมั่น ก็เหมือนกับชาวโรมันที่ศรัทธาเทพเจ้าเป็นใหญ่ซึ่งมีทั้ง เทพอพอลโลก็ดี เทพเซอุสก็ดี เทพโพเซดอนก็ดี สิ่งนั้นคือความเชื่อที่ทำให้จิตใจมีเป้าหมาย.
    .....อันศาสนาใดหรือเหล่าใดสอนให้คนเป็นคนดีไม่เบียดเบียนกัน ศาสนาเหล่านั้นย่อมถือว่าประเสริฐ.
    .....เหมือนเมื่อคราวหนึ่ง เหล่าพราหมณ์ด้วยกลัวว่าประชาชนที่เคยใฝ่ในพราหมณ์จะคลายใจไปยึดมั่นในพุทธศาสนากันเสียหมด เหล่าพราหมณ์จึงอุปมารวมเหล่าเทพมาเป็นโพธิสัตว์ก็มี จนปัจจุบันจึงเป็นการยากที่จะแยกพุทธออกจากพราหมณ์ได้ แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาพุทธโดยแท้ย่อมแยกแยะออกจากกันได้ไม่ยาก.
    *****ในจีนก็เช่นเดียวกันก่อนพุทธศาสนาจะเข้าไปเผยแพร่ในจีน เดิมทีก็มีลัทธิเต๋าอยู่ก่อนแล้ว เหตุการจึงไม่แตกต่างกันไปเมื่อคราวพุทธกับพราหมณ์ ด้วยลัทธิเต๋าก็เกรงว่าพุทธศาสนาจะแพร่หลายทำให้ผู้ที่เคยมีใจยึดมั่นเต๋าจะคลายศรัทธา ก็จึงอุปมาเหล่าเทพมาเป็นโพทธิสัตว์ก็มี เป็นพุทธมารดาโพธิสัตว์ก็มี จนปัจจุบันนี้จึงไม่สามารถแยกพุทธแท้ออกจากเต๋าได้ในจีน.
    *****ฉะนั้นสำหรับผู้ที่ยึดมั่นในพุทธศาสนา หากสนใจที่จะศึกษาพุทธแท้ตามหลักคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถศึกษาและพิจารณาหลักธรรมและแนวทางปฎิบัติได้จากในพระไตรปิฎกร์นั่นเอง.
    ****ฉะนั้นก็เปรียบดั่งหลักวิทยาศาสตร์ ที่วัตถุก้อนหนึ่งนั้นเราสามารถเห็นได้ว่ามีลักษณ์รูปร่างกลิ่นรสเช่นใด แต่หากวัตถุนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยสารประกอบ(คือธาตุหลายๆธาตุมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน) หากเราต้องการที่จะแยกสารประกอบนั้นเราก็สามารถกระทำได้ด้วยการกลั่นกรองแยกสารประกอบออกจากกัน หากเราสามารถแยกสารประกอบออกจากกันได้เมื่อนั้นแลเราก็จะได้สารบริสุทธิ์นั่นเอง.
    *****สรุปคือ พุทธแท้ย่อมไม่มีพราหมณ์เจือปน และพุทธแท้ก็ย่อมไม่มีเต๋าเจือปนเช่นกัน ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาได้ด้วยปัญญาของตนแล****ขออนุโมทนาบุญมาด้วยประการ ณ ฉะนี้แล.
     
  19. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    ที่มาของอนุตตรธรรม ไม่ได้เป็นตามที่ลัทธินี้กล่าวอ่างเลย 3ยุคอะไรไร้สาระ พวกท่านที่นับถืองมงาย พวกท่านรู้ความจริงบ้างไหม น่าสงสาร
     
  20. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    เรื่องลัทธิที่อ้างพระเมตไตรยก็เป็นอีกหนึ่งในหลายรูปแบบที่แพร่หลาย
    นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้แต่ประเทศไทยในปัจจุบันก็
    สามารถพบเห็นได้ ซึ่งสามารถพบได้ในแหล่งคนจีน และไม่ใช่คนจีน ความจริงลัทธิพวกนี้แม้
    จะอ้างบุคคลตลอดจนถึงหลักคำสอน
    ในพุทธศาสนาและศาสนาเต๋า แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและศาสนาเต๋าแต่อย่างใด
    ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจีน เรียกลัทธิพวกนี้ว่า “ลัทธิเดียรถีย์ที่อิงแอบพุทธศาสนา”
    ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นมีทั้งที่อิงพุทธศาสนาและทั้งที่อิงศาสนาเต๋า หรืออิงทั้ง2-3ศาสนา (รวมขงจื่อด้วย) มีการนำบุคคล,
    คัมภีร์, คำสอนของศาสนาดังกล่าวเพื่อบังหน้า แต่ลึกๆแล้วมีการสอดแทรกคำสอนของตน
    ตลอดจนมีการอธิบายความคำสอนตามความคิดของตน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆกันไป โดยจุดประสงค์ของลัทธิพวกนี้
    ก็มีตั้งแต่เพื่อหาเงิน, สมาชิก, สร้าง ความยิ่งใหญ่ขององค์กรหรือแม้แต่กระทั่งเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง ฯลฯ

    ศรัทธานั้นไม่มีตัวตน แต่มีพลัง
    สามารถทำให้คนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
    โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ
    บางครั้งศรัทธาที่เจ้าลัทธิอุปโลกน์ขึ้น ก็สามารถยังให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผู้มีศรัทธา ตกเป็นของเจ้าลัทธิ หรือให้ ผู้มีศรัทธากระทำการ
    ใดการหนึ่งเพื่อเจ้าลัทธิ
    แม้กระทั่งไปตายแทนบรรดาเจ้าลัทธิได้

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างลัทธิบางส่วน ที่ได้ชื่อว่า “ลัทธิแอบอ้างศาสนา”
    โดยบางส่วนของลัทธิเหล่านี้บางลัทธิ
    ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในไต้หวัน และที่
    อยู่ของชาวจีนโพ้นทะเล
    ในสมัยปัจจุบันได้แก่
    สมาคมสหกุศลธรรม, ลัทธิบุบผาประทีป,
    ลัทธิพลังธรรมจักร (ฝ่าหลุนกง),
    ลัทธินาคปุษปะ, ลัทธิบุพพนภามรรค,
    ลัทธิอนุตตรธรรม,
    ลัทธิเมตไตรยมหามรรค ฯลฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...