วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1555934 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Sawiiika<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1555934", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: 30-10-2008 04:05 AM
    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 661
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,508
    ได้รับอนุโมทนา 7,279 ครั้ง ใน 530 โพส
    พลังการให้คะแนน: 79 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1555934 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    24-07-2008, 02:51 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1119294", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    การปฏิบัติธรรม และ การวางกำลังใจของเรานั้น ขยับขึ้นไปได้หลายระดับครับ การปฏิบัติอย่าได้
    ทำให้หนักจนเกินไป จนจิตใจเราหนักหรือเกิดความเครียดทรงอารมณ์ใจที่เบาๆสบายๆใสๆเข้าไว้

    เริ่มตั้งแต่ ตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า

    1. เราจะให้ทานก็ดี การสงเคราะห์ก็ดีและขึ้นชื่อว่าความดี เราจะทำให้เป็นปกติเป็นส่วนหนึ่ง
    ในชีวิตประจำวัน 2. ศีล 5 พรหมวิหาร4 เราจะทรงเอาไว้ให้เป็นปกติ 3. กุศลกรรมบท 10

    เราจะระวัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวาจา หากแต่เดิมวาจาของเรา ส่งผล ส่งคลื่น ส่งความรู้สึก
    เสียดสี ทิ่มแทงกระแทก กระทั้น ประชดประชัน ยังดวงจิตของผู้อื่น อันเป็นกรรมหนักอันเกิดจาก
    วาจาเราก็จงละเสีย เลิกเสีย ในพรรษานี้ จากนั้น ทรงวาจาเป็นปกติเป็นกลางเป็นอุเบกขาให้ได้ก่อน
    แล้วจึง เจริญเมตตาพรหมวิหาร 4 ใส่ลงไปในวาจาของเราให้ได้ให้วาจาของเราเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์
    ชะโลมดวงจิตของผู้อื่นให้ เกิดกุศลให้เกิดกำลังใจในการทำความดี ให้เกิดธรรมปิติให้เกิด
    อิ่มเอมในบุญกุศลที่ได้ทำมา เมื่อนั้นวาจาของเราก็จะกลายเป็นเสียงทิพย์เสียง
    สวรรค์ที่มวลหมู่เทพพรหมเทวาท่านก็แซ่สร้องโมทนาไปด้วย

    จากนั้นยกจิตเข้าสู่ในการปฏิบัติใน โลกุตรภูมิ มีวิปัสนาญาณเป็น
    เครื่องเจริญให้ยิ่งมีสมถะเป็นที่ตั้งใน อาณาปานสติวิหาร

    ขอความเจริญก้าวหน้าในธรรมจงบังเกิดขึ้นประดุจ ดอกบัวแก้ว
    ที่แย้มกลีบรับแสงอรุณโรจน์แห่งธรรมฉันนั้นด้วยเทอญ<O:p</O:p


    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ศีล 5
    คือข้อห้าม 5 อย่างเพื่อรักษาการเป็นมนุษย์อย่างปรกติ ทั้งโลกนี้โลกหน้า
    ชาตินี้ถ้ารักษาศีล5ได้ชาติหน้ายังเป็นมนุษย์อยู่
    ชาตินี้ถ้ารักษาศีล5ไม่ได้ชาตินี้หน้าตาเป็นคนอยู่แต่จิตใจเปลี่ยนเป็นสัตว์ไป
    ชาติหน้าไม่ได้เป็นมนุษย์ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน,เปรต,อสุรกายหรือสัตว์นรก

    นี่คือความจริงที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระคร่ำครึแต่คือความจริง
    ที่ต้องเป็นไปตามนี้อย่างแน่นอน
    ยิ่งนานวันคนยิ่งยอมรับการผิดศีลมากขึ้นเรื่อยๆทั้งจำนวนคนและความรุนแรง
    ของการผิดศีลจากน้อยๆไปหามาก
    ไล่ตั้งแต่การผิดศีลข้อ5 ห้ามเสพของมึนเมา สังคมยอมรับแล้ว
    คือคำที่ว่า"อย่าไปว่าคนเมา" "ดื่มเพื่อสังคม"
    ข้อ4.พูดโกหกมดเท็จ
    สมัยก่อนใครพูดเท็จคำเดียวถือว่ามีความผิดมาก"คำไหนคำนั้น"
    แต่พอนานวันสังคมยอมรับมากขึ้นผิดนิดหน่อยไม่เป็นไร
    ดีกรีมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันใครพูดจริงจะถูกตราหน้าว่า"โง่ฉิบหาย"
    พนักงานขายของบอกแต่ข้อดีปกปิดข้อเสียไม่ทำก็ขายไม่ได้
    โฆษณาบินราคา 499 เอาเข้าจริงกลายเป็น 3,000 บาท
    ใครๆเขาก็ทำอย่างนี้จนเป็นสาธารณะกลายเป็นว่าเราโง่เอง

    ข้อ3.ประพฤติผิดในกาม
    มีเมียน้อยมีกิ๊กความรู้สึกคนสมัยนี้ถือว่าผิดไม่มาก
    ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายถือว่าเก่งเสียอีก
    ยิ่งรวยมีชื่อเสียงเป็นดารารู้ว่าเขามีครอบครัวแล้วคนยิ่งแย่งกันหนัก
    จนเปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียกันง่ายๆ
    ข้อ2.ลักขโมย,ยักยอก
    ล่าสุดคนยอมรับการยักยอกคอรับชั่นได้ขอให้มีผลงานบ้าง
    ข้อ1.ห้ามฆ่าสัตว์
    คนยอมรับการฆ่าเพื่อป้องกัน ตนเอง,ทรัพย์สินและ ป้องกันประเทศ
    คนยอมรับคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต
    คนยอมรับการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร
    คนยอมรับการฆ่าสัตว์ที่ติดเชื้อโรคติดต่อเห็นชัดในปัจจุบัน
    ล่าสุด กำลังจะยอมรับในการฆ่าเพราะใส่เสื้อคนละสีกัน....
    น่าสงสารแท้ๆๆ
     
  3. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    อยากให้คนที่เรารักมีศรัทธาบ้าง <hr style="color: rgb(204, 204, 204);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> ถือเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่คนเข้าวัดใหม่ ๆ ย่อมปรารถนาอยากให้บุคคลอันเป็นที่รัก หรือหมู่เพื่อนมีศรัทธาไปวัดปฏิบัติธรรมกับเราด้วย

    แต่บางครั้ง การแสดงความปรารถนาดีของเราก็อาจขาดความรอบคอบ โดยมองข้ามความพร้อมของอีกฝ่ายหนึ่งไป ซึ่งเรื่องนี้ หลวงปู่เคยเตือนว่า
    "แกไปชวนเข้าวัด เขาร้อง "ฮึ" (หมายถึงอาการปฏิเสธ) ก็ได้ชื่อว่าเขาปรามาสธรรม และ...แกคือต้นบาป"

    ทำให้การจะชวนใครเข้าวัดปฏิบัติธรรมนี่ ต้องพิจารณากันให้ดี ๆ เชียว ไม่อย่างนั้น แทนที่จะได้บุญ กลับหาบาปใส่ตัวได้

    ทีนี้ จะทำอย่างไรล่ะ ที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดศรัทธาไว ๆ เพราะชีวิตคนเราก็ไม่แน่นอน อันนี้ หลวงปู่ก็ให้อุบายไว้อีกว่าเมื่อเราปฏิบัติกรรมฐานจนใจสงบดีแล้วทุกครั้ง ก็ให้นึกแผ่เมตตาไปที่กายใน (กายทิพย์) ของผู้นั้นเรื่อย ๆ จะช่วยให้เขามีจิตใจอ่อนโยน กระทั่งเป็นฝ่ายสนใจสอบถามหรือกระตือรือร้นมาวัดด้วย ซึ่งศิษย์หลายคนก็ใช้ได้ผลมาแล้ว

    อย่างไรก็ดี เรื่องของคนอื่น ย่อมต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง เราจะไปยึดมั่นหมายมั่นให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ดูเอาเถิด โยมแม่ของพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ กว่าที่พระสารีบุตรจะโปรดโยมแม่ได้ ก็ต้องรอจนถึงเวลาที่ท่านใกล้จะนิพพาน หรือในบางกรณีก็ต้องปล่อยวางไปเลย เพราะบางคนเขาไม่รับจริง ๆ

    สมดังพุทธพจน์ที่ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายอันเราไม่อาจบังคับบัญชาได้


    http://board.watthummuangna.com/showthread.php?p=130477
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันนี้ผมมานึกเล่นๆ เออ เฮ้ย สมมุตินะว่า ผมตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้กระผมได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ แล้วดันมีคนอธิษฐานเหมือนผมขึ้นมา
    อ้าว เอาละสิ ทีนี้ทำไงดี ถ้าเขาสำเร็จเราก็ไม่สำเร็จดิ งั้นเอาไงดี
    ผมก็มาคิดได้ว่าเอ ที่เราอธิษฐานอยากเป็นอัครสาวกขึ้นมาเนี่ย เพราะอะไร เพื่ออะไร
    ที่เราอธิษฐานแบบนี้เนี่ย ก็เพื่อช่วยหนุนบารมีขององค์พระโพธิสัตว์ ถูกไหม
    เพื่อให้ท่านได้สงเคราะห์คนจำนวนมาก ดังนั้นเราอธิษฐานขอติดตามองค์พระโพธิสัตว์ก็เพื่อสร้างความสุขให้กับคนจำนวนมาก
    เราไม่ได้อธิษฐานเพราะว่า ผมอยากเก่งคร้าบ ผมอยากไปอวดชาวบ้านว่าผมเป็นอัครสาวกคร้าบ
    ผมไม่ได้ตั้งกำลังใจแบบนั้นนี่ เพราะกำลังใจแบบนั้น มันเพื่อตัวเอง เพื่อความเก่ง เจ๋งของตัวเอง
    แต่เราอธิษฐานเพื่อสาธารณชน สาธารณประโยชน์
    อีกคนนึงที่เขาอธิษฐานเหมือนเราก็เพื่อสาธารณประโยชน์
    ดังนั้นเราจะได้เป็นอัครสาวกหรือไม่ ไม่สำคัญ อีกคนนึงจะได้เป็นหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ
    สำคัญที่ว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่ เพื่อสงเคราะห์ผู้คน และหนุนบารมีองค์พระโพธิสัตว์

    ไม่ใช่ว่าเราอยากเป็นอัครสาวกของพระโพธิสัตว์องค์นี้
    ถ้าใครมันกล้าอธิษฐานแบบเรา เราจะไปทำให้มันเสียกำลังใจจนเลิกอธิษฐาน
    การกระทำแบบนี้มันทำเพื่อตัวเองนี่นา มันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกิเลส
    แล้วองค์พระโพธิสัตว์ก็คงจะไม่ยินดีกับเราด้วยเป็นแน่

    ดังนั้นเราอธิษฐานอัครสาวกจริง แต่ถ้าเพื่อส่วนรวมแล้วทำให้เราต้องเปลี่ยนเป็นพระอสีติสาวกแทน
    ก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดนี่ ยังน่าสรรเสริญด้วยอีก เพราะสละตำแหน่งเพื่อสาธารณประโยชน์
    เพราะเราไม่ได้อยากได้ตำแหน่งนู้น ตำแหน่งนี้เพื่อตัวเรา
    แต่เราอยากจะได้ตำแหน่งดังกล่าว เพื่อสาธารณประโยชน์ของเหล่าสรรพสัตว์ตะหาก

    แต่ว่าผมไม่ได้อธิษฐานเป็นอัครสาวกนะคร้าบ อย่าคิดว่าผมไปอธิษฐานแบบนั้นนะ
    ผมอธิษฐานว่าขอให้ได้ทำประโยชน์เพื่อสาธารณชน เพื่อสรรพสัตว์ที่ผมรักยิ่ง ก็พอใจแล้ว
    อย่าลืมแผ่เมตตานะครับ เมตตา เมตตา เมตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2008
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขออานิสงค์การแผ่เมตตาอัปมาณฌาณของพวกเราทุกคนขอแผ่ไปให้ผู้ที่มีดวงจิตที่มีความทุกข์ขอให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ ขอแผ่ ไปยังผู้ที่มีดวงจิตอาฆาตพยาบาท อิจฉา ริษยาก็ขอให้คลายจากการอาฆาตพยาบาท อิจฉา ริษยานั้นเทอญ ขอแผ่ไปยังทุกๆดวงจิตให้มีความสุข ชุ่มเย็นเบิกบาน มี ความดีงาม ศีลธรรมในจิต ปฏิบัติธรรมเข้าถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำเร็จฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  6. ktopas999

    ktopas999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +406
    เวลาเกิดปัญหาในกลุ่มปฏิบัติธรรม ขอให้แก้เฉพาะจุดของปัญหานั้น
    [​IMG] เปรียบ คณะปฏิบัติธรรมเหมือนท่อน้ำประปาขนาดใหญ่ที่ส่งน้ำไปตามบ้านเรือน ชาวบ้านย่อมได้รับประโยชน์อย่างสูงจากน้ำประปาที่บริสุทธิ์ ใสสะอาด อาจมีบางจุดที่ท่อรั่ว น้ำไหลซึม[​IMG]
    เราก็ควรจะแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่น้ำรั่ว อย่าเอาขวานมาทุบตีท่อใหญ่ให้แตกเสียหายเลย จะพลอยทำให้เสียผลประโยชน์กันหมด"

    WHO?
    เอาขวานมาทุบตีท่อใหญ่ให้แตกเสียหาย
     
  7. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    [FONT=&quot]กลับมาแล้วครับ ก่อนอื่น ขอขอบคุณทุกท่าน และโมทนากับพี่เล็กและคณะด้วยครับ วันบวชปลาบปลื้มมากที่สมเด็จ หลวงปู่ หลวงพ่อฤาษีท่านมาปรากฏ จวบจนเทวงดา พรหม ท่านผู้มีคุณในอดีตมามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้นดาวดึง[/FONT]
    [FONT=&quot]ชั้นจตุมหาราช ตอนให้โอวาสผมได้ยินหลวงพ่อท่านสอนเรื่องบารมี[/FONT]10 [FONT=&quot]ไม่ให้เมาโลภะโทสะ โมหะที่แผดเผ่าให้เรามีแต่ทุกขเวทนาหนัก และ สมเด็จท่านสอนว่า ต้อเป็นผู้ไม่ประมาท ว่าอีกบุคคลย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร[/FONT]
    [FONT=&quot]ช่วงแรกเครียดค่อนข้างมากกลัวเรื่งศีล มันมากกว่าเก่าเยอะ ผิดเสขียวัตร หรือ อื่นๆเล็กๆก็เป็นสัตว์เดียรฉานแล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้แม้จะเหนื่อยและป่วยหลายวาระ ไม่หนักใจ ใจสบายมากครับได้ช่วยงานกฐิน(ยิ่งใหญ่มากผมจะจำไปจนตาย) งานทำบุญหลวงพ่อ([/FONT]25 26[FONT=&quot]ตค)มีบางสิ่งที่ชัดเจนมากตอนเป็นพระ หากเมื่อใดที่ตั้งความปารถนาไว้สูง[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำสิ่งที่ยากยิ่งในบารมี[/FONT]10 30[FONT=&quot]ก็ตาม จะเกิดมีสิ่งที่ทำให้เราต้องท้อถอยหรือเศร้าหมองเสมอ ฉะนั้นหากพี่ๆน้องๆจะไม่ท้อถอย หรือ ประมาทเกินไป หรือไขว้เขวนะครับมองเป้าหมาย เราจะมุ่งไปข้างหน้าแม้จะต้องตายนาทีนี้ยอมตาย[/FONT]
    [FONT=&quot]คนจะตายไม่มีภาระไม่ห่วงอะไรทั้งหมด ไม่ห่วงพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก แฟน ญาติ คนยอมตายจะห่วง กังวลอะไรอีก มุ่งถึงการสร้างบารมีและนิพพานอย่างเดียว ทั้งท่านที่ปารถนาสาวกภูมิ พุทธภูมิ เสียดายที่ไม่มีโอกาสที่ได้อยู่จนสิ้นอายุขัย มีหนี้ต้องใช้น่าเศร้านิดๆ แต่ก็สู้จะไม่ประมาทครับ เร่งรัดตนเอง มี ทาน ศีล ภาวนาปัญญาอยู่เสมอครับ[/FONT]
    [FONT=&quot](ปล.ผมยังมหาเลวนะครับ ผมมีแต่เลว อวดเลวได้อีกมากแต่ท่านสั่งให้เขียน จริงๆไม่ค่อยกล้าเดี๋ยวอุปกิเลสจะมากินหัวอีก)<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2008
  8. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    [​IMG]

    จากกระทู้ ร่วมโมทนาบุญในงานบวช Pat3112 และสมจิต จงจอหอ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=153669

    ขอขอบคุณสำหรับคำสอน
    และขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยทุกประการค่ะ
     
  9. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]



    ขอโมทนาบุญกับ คุณแพท ด้วยค่ะ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.5 KB
      เปิดดู:
      383
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.1 KB
      เปิดดู:
      52
    • DSC06051.jpg
      DSC06051.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.9 KB
      เปิดดู:
      53
    • DSC05915.jpg
      DSC05915.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177.1 KB
      เปิดดู:
      54
    • DSC06095.jpg
      DSC06095.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138 KB
      เปิดดู:
      55
    • DSC05926.jpg
      DSC05926.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.6 KB
      เปิดดู:
      50
    • DSC05887.jpg
      DSC05887.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.5 KB
      เปิดดู:
      51
    • DSC05866.jpg
      DSC05866.jpg
      ขนาดไฟล์:
      155.6 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSC05864.jpg
      DSC05864.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126.7 KB
      เปิดดู:
      56
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอให้ "ธรรมมะ"ในหัวใจของคุณคนเบ่งบาน งอกงามยิ่งๆขึ้นไป

    แม้ต้องฝ่า ลมฝน แดดกล้า อุปสรรค เรื่องกระทบใจบ้าง ก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งมั่นในปฏิปทา สาธารณะประโยชน์เอาไว้

    อันเป็นกำลังใจที่ต้องวางกำลังเอาไว้สูง เพราะต้องสละความสุขส่วนตัว

    มรดกธรรมที่หลวงพ่อท่านมอบเอาไว้ให้ลูกหลานนั้น


    "อภิญญาสมาบัติก็ดี ปฏิปทาสาธารณะก็ดี ขอให้รักษาเอาไว้ให้ได้ หากรักษาเอาไว้ก็ได้ชื่อว่าพ่ออยู่กับลูกเสมอ"

    นั่นคือหลวงพ่อท่านปรารถนาให้เรารักษากำลังใจในการเจริญกรรมฐานเอาไว้ ทั้งอภิญญาคือ มโนมยิทธิ เพราะเมื่อเราทรงเอาไว้ได้ ก็นับว่า เราไม่คลาดจากพระรัตนไตร ไปได้ เพราะกำลังของมโนมยิทธินั้นต้องทรงทั้ง ศีล(บริสุทธิ์) สมาธิ(ตั้งมั่น ฌานสี่ เป็นอย่างต่ำ) ปัญญา(ในการเจริญวิปัสนาญานครบถ้วน)

    ดังนั้นการทรงอภิญญาได้เราก็ย่อมตั้งมั่นในความดีเอาไว้ได้

    สมาบัตินั้นตามกำลัง จะฌานสี่ หรือมีกำลังไปจนถึงสมาบัติแปดได้คล่องตัวก็นับว่า เหมาะสมกับกำลังใจของพวกเราทุกๆคน

    ข้อที่ว่าปฏิปทา สาธารณะนั้นก็เพื่อให้จิตใจของพวกเราทรงในพรหมวิหารสี่เต็มบริบูรณ์ ทำความดีไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่จงเป็นไปเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ ตามปฏิปทาพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนารื้อขน สรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพานให้มากที่สุด

    ตั้งกำลังใจปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดี ความสุขเป็นสำคัญ

    เมื่อเราได้ทรงกำลังใจเอาไว้ได้"ตรง" ได้ถูกต้อง พระก็ดี หลวงพ่อก็ดี ท่านก็เมตตาเราได้เต็มที่ สงเคราะห์เราได้เต็มที่ โดยเป็นไปเพื่อส่วนรวม เพื่อความบริสุทธิ์ของจิตเป็นสำคัญ หากแม้นเราพลาดพลั้งไปบ้าง ท่านก็เมตตาสงเคราะห์มาเตือนเราได้

    เมื่อนั้นเราก็มีครูบาอาจารย์ภายใน ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อสงเคราะห์ ธรรมมะก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างที่ได้ปรากฏกระจ่างแจ้งแก่ใจเองในหลายๆคน

    ขอความเจริญในธรรมของทุกๆท่านจงอย่าถอยหลังลงอีกเลยมีแต่งอกงามไพบูลย์ยิ่งๆขึ้นไป นับแต่บัดนี้ตราบจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  11. Mrs.Kim

    Mrs.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +2,306
    ขอฝากบอกทีมงานทุกคนว่าได้รับหนังสือและสื่อต่างๆที่ส่งมาให้แล้วนะค่ะ
    ขอบพระคุณมากค่ะ และก็ขออนุโมทนาสาธุบุญที่ได้ร่วมทำด้วยกันในครั้งนี้ด้วยค่ะ
     
  12. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ได้มีโอกาสไปร่วมงานกฐินวัดท่าซุงในครั้งที่ผ่านมา ในการถวายสังฆทานได้รับหนังสือเล่มเล็กกลับมา ในบทแรกเป็นเรื่องของคาถาอภิญญา มีผู้ถามหลวงพ่อว่าได้ภาวนาคาถานี้แล้วมักจะฝันว่าตัวเองเหาะได้อยู่บ่อยๆ คาถาที่ว่านั้นคือ "สัมปจิตฉามิ" อันที่จริงทุกคนรู้จักอยู่แล้ว แต่แปลกใจว่าเพิ่งได้รู้ในครั้งนี้ว่า นี่คือคาถาอภิญญา หลวงพ่อบอกอีกว่า ให้ภาวนาทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ต่อไปจะเหาะได้จริงๆ และจากนั้นอภิญญาจะรวมตัวกัน

    หลังจากกลับมาจึงเอามาภาวนาบ้าง ในเวลาก่อนนอน ตั้งแต่ครั้งแรก มีความรู้สึกแตกต่าง จากคาถาบทอื่นๆ คือเหมือนมีแรงบางอย่างมาดึงจิตเรา แล้วก็เป็นสมาธิเร็วมาก

    เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากภาวนาแล้วหลับไป ฝันว่าได้ไปฝึกเหาะ จากที่นึง ไปที่นึงไปกลับอยู่หลายรอบ ตื่นมาจึงนึกว่า เหมือนกับที่มีผู้ถามไว้เลย ดังนั้นหากเราหมั่นภาวนาไปวันละ 1 ชม ในที่สุดคงจะได้อานิสงค์อย่างที่หลวงพ่อกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้น

    หากมีท่านใดได้ลองแล้ว ช่วยมาแชร์บ้างนะครับ ว่าได้ผลอย่างเดียวกันนี้หรือไม่
     
  13. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    เหาะในฝันนี้สนุกดีนะครับ ซ้อมๆไว้ รอถึงวาระคงใช้ได้จริงเองละครับ ^^
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    นำการถ่ายทอดสด มาลงให้จากน้อง Xorce ครับ

    [13:40:54] Chachawal says:
    ก่อนอื่น
    ให้เราแผ่เมตตา
    ให้ใจเราเย็นก่อน
    จิตใจ จะได้ดีขึ้น


    ----------------------------------------------

    โอเคพอแผ่เมตตาแล้ว


    เราจะเริ่มจากกสิณก่อน


    กสิณไฟ
    พิจารณาให้นิมิตรกสิณไฟใส เป็นเพชรเลย

    และก่อนกรรมฐานทั้งหมด


    ทุกท่านจง ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านก่อน

    "ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศได้ด้วยเทอญ"

    กสิณไฟ เป็นเพชร (ฌานสี่)

    แล้วให้เข้าอรูปที่ 1

    ทุกๆอย่างว่าง หายไป

    กลับมาจับกสิณไฟอีกครั้ง


    เข้าอรูปที่สอง

    ทุกๆอย่างพังทลายแตกสลายหายไป

    กสิณไฟอีกครั้ง

    เข้าอรูปที่3

    รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์หายไป
    ว่างจากใจของเรา

    จับกสิณไฟอีกครั้ง

    เข้าอรูปที่ 4

    สัญญาการหมายรู้ ความทรงจำ ทุกๆอย่างหายไป

    จับกสิณไฟอีกครั้ง

    เสร็จแล้วพิจารณาว่า

    "ธาตุไฟ ในร่างกาย ของเราเองก็มีความไม่เที่ยง
    เดี้ยวก็ร้อน เดี้ยวก็หนาว
    ในเมื่อธาตุไฟในกายไม่เที่ยง ร่างกายก็ไม่เที่ยง
    ขึ้นชื่อว่าร่างกายแบบนี้เราไม่ต้องการอีก
    หากตายจากชาตินี้เมื่อไหร่เราจะมีที่ไปคือพระนิพพานเท่านั้น"

    จากนั้นยกจิตของเราขึ้นสู่พระนิพพาน

    จากนั้นเรานำเอากองกสิณไฟที่เราฝึก
    น้อมถวายแก่ทุกๆท่านบนพระนิพพาน

    แล้วอธิษฐานวสีว่า

    "ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งกสิณไฟ ขึ้นอรูปฌาณ และจับวิปัสสนาญาณ ขึ้นมายังพระนิพพานได้
    ทุกๆครั้ง ทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่
    ที่เราต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่่งพระนิพพานด้วยเทอญ"

    จากนั้นให้เราเปลี่ยนเป็นกสิณน้ำ

    จนนิมิตรใสเป็นเพชร

    แล้วไล่อรูปฌาณ 1 2 3 4

    พอถึง4 แล้วให้เราพิจารณาว่า

    "ธาตุน้ำในร่างกายว่าไม่เที่ยง
    ถ้าธาตุไฟหมดลง ธาตุน้ำก็จะทำลายธาตุดิน ทำให้เกิดความเหม็นเน่า
    เมื่อร่างกายเหม็นเน่าแล้ว
    เราจะไปมีความอยากได้ใคร่ปรารถนาในร่างกายให้มันทุกข์อยู่ทำไม
    ร่างกายแบบนี้เราจะไม่เอาอีกต่อไป หากตายเมื่อไหร่เาจะไปยังพระนิพพานเท่านั้น"

    เสร็จแล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่ยังพระนิพพาน
    คราวนี้
    เราขอบารมีจากพระท่านเมตตาสงเคราะห์

    "ขอให้ข้าพเจ้าสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ด้วยเทอญ"

    แล้วสัมผัสอารมณ์พระนิพพานซักระยะหนึ่ง
    พอใจเป็นสุขดีแล้ว มีความชุ่มชื้นในจิต

    ให้เรานำกองกสิณน้ำยกขึ้นถวายพระท่าน
    แล้วอธิษฐานเหมือนเดิม

    คือ
    "ขอให้ข้าพเจ้าไล่อารมณ์ขึ้นสู่อรูปฌาณ และจับวิปัสสนาญาณมาสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ ด้วยกสิณน้ำ
    ได้ทุกๆครั้งทุกๆเวลาทุกๆสถานที่ที่เราต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน"

    เสร็จแล้วให้เราจับกสิณลม

    ให้เป็นเพชร

    ไล่ขึ้นอรูปฌาณ 1 2 3 4

    ให้เราจับภาพกสิณลมอีกครั้งนึง

    แล้วพิจารณาควาไม่เที่ยงของธาตุลมว่า

    "เราหายใจเข้าไม่หายใจออก ก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย
    ไม่หายใจก็ตาย
    ร่างกายที่เนื่องด้วยธาตุลมนี้หาความเที่ยงมิได้
    เราจะไม่มีความอยากได้ใคร่ปรารถนาในร่างกายอันไม่เที่ยงนี้อีก
    ถ้าเรายังเกิดอยู่ สุดท้ายก็จะต้องกลับมามีร่างกายอันไม่เที่ยงอีก
    เราจะไม่เกิดอีกต่อไป หากตายเมื่อใดเราขอเข้าถึงซึ่่งพระนิพพานเท่านั้น"
    เสร็จแล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน

    แล้วขอสัมผัสอารมณ์พระนิพพานจากพระท่าน

    เสร็จแล้วให้เรานำกองกสิณลม ยกขึ้นถวายพระท่าน

    แล้วอธิษฐานวสีปักหมุดในดวงจิตเหมือนเดิม

    เสร็จแล้วให้เราจับกองกสิณดิน

    ให้ใสเป็นเพชร

    จากนั้นไล่ขึ้นอรูปฌาณ 1 2 3 4

    แล้วให้พิจารณาว่า
    "ธาตุดินของเรานี้ไม่เที่ยง
    หากร่างกายหมดลมหายใจแล้ว ธาตุน้ำก็จะรวมกับธาตุดิน ทำให้ร่างกายเน่า เละ
    ร่างกายเน่าๆแบบนี้ เราจะไม่ปรารถนามันอีกต่อไป
    หากพ้นจากร่างกายนี้เมื่อไหร่กิจที่จะมาแสวงหาร่างกายใหม่จะไม่มีแก่เรา
    เราจะขอเข้าถึงซึ่่งพระนิพพานเท่านั้น"


    แล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่ยังพระนิพพาน

    แล้วขอสัมผัสอารมณ์จากพระท่าน

    เสร็จแล้วให้เราถวายกสิณดินแก่พระท่าน

    แล้วอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม

    เสร็จแล้วให้เราจับกสิณสีแดง

    เป็นเพชร

    จากนั้นไล่ขึ้นอรูปฌาณ 12 3 4

    แล้วพิจารณาว่า
    "สีแดง ของดอกไม้ยังมีความไม่เที่ยง เดี้ยวก็เหี่ยวเฉาเน่าไป
    ไม่ต่างจากร่างกายของเรา เดี้ยวก็ต้องตาย เน่า เหม็น
    ร่างกายแบบนี้เราไม่ปรารถนาอีกต่อไป
    หากเราตายเมื่อไหร่เราจะไปยังพระนิพพานเท่านั้น"

    แล้วยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานไปขอสัมผัสอารมณ์พระนิพพานจากพระท่านอีกครั้งนึง

    เสร็จแล้วให้เราอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม

    แล้วให้จับกสิณสีเหลือง

    ให้เป็นเพชร

    ไล่ขึ้นอรูปฌาณ 1 2 3 4

    แล้วพิจารณาความไม่เที่ยงของสีเหลืองในวัตถุต่างๆ
    แล้วน้อมเข้ามาหาร่างกายเราว่ามันเองก็ไม่เที่ยง

    แล้วยกจิตขึ้นสู่ยังพระนิพพาน

    ขอสัมผัสอารมณ์พระนิพพานจากพระท่าน

    แล้วให้เราอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม

    จากนั้นให้เราจับกสิณสีเขียว

    ให้เป็นเพชร

    แล้วไล่ขึ้นอรูป 12 3 4

    แล้วพิจารณาว่า

    "สีเขียวก็ไม่เที่ยง ร่างกายเราก็ไม่เที่ยงเหมือนสีเขียวในวัตถุธาตุ
    ร่างกายแบบนี้เราไม่ต้องการอีก ตายเมื่อไหร่เราจะไปพระนิพพานเท่าัน้น
    เสร็จแล้วให้ยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน"

    ไปสัมผัสอารมณ์พระนิพพานเหมือนเดิม

    แล้วให้เราอธิษฐษนปักหมุดเหมือนเดิม

    ให้จับกสิณสีขาว ให้เป็นเพชร

    ไล่ขึ้นอรูป 1 2 3 4

    แล้วให้พิจารณา

    "ความไม่เที่ยงของสีขาว
    แล้วน้อมเข้าสู่ร่างกาย
    ว่าผ้าที่มีสีขาวสะอาดเดี๋ยวก็สกปรก
    ก็ไม่ต่างจากร่างกายเรา
    ที่เดี้ยวก็เน่า เหม็น เดี๋ยวก็ตาย หาดีอะไรไม่ได้
    ตายเมื่อไหร่ร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีก ขอเข้าพระนิพพานเท่านั้น"

    เสร็จแล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน ไปสัมผัสอารมณ์จากพระท่าน
    แล้วให้เราอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม

    แล้วให้เราจับกสิณแสงสว่าง

    ให้เป็นเพชร

    ไล่ขึ้นอรูป1 2 3 4

    แล้วให้พิจารณาว่า

    "ความไม่เที่ยงของแสง
    แสงสักวันนึงก็จะต้องดับ หายไป
    ก็ไม่ต่างจากชีวิตเรา
    ที่เกิดแล้วก็จะต้องตาย
    หากเราไม่เข็ดก็จะต้องเกิดอีก
    การเกิดมาเพื่อทุกข์แบบนี้จะไม่มีแก่เราอีก ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น"

    แล้วยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานพร้อมขอสัมผัสอารมณ์

    จากนั้นให้เราอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม

    แล้วให้เราจับกสิณอากาศ

    ให้เป็นเพชร

    ไล่ขึ้นอรูป 1 2 3 4

    พิจารณาว่า

    "อากาศก็ไม่มีความเที่ยง
    แปรปรวน ดิ้นรน ต้องเปลี่ยนที่อยู่ตลอดเวลา
    ก็ไม่ต่างจากร่างกายของเราที่ต้องคอยบำรุงดูแลไม่ให้มันป่วย
    ร่างกายที่หาความเที่ยงไม่ได้แบบนี้ เราไม่ต้องการมันอีก
    ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพานเท่านั้น"

    แล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน

    ขอสัมผัสอารมณ์จากพระท่าน

    ให้เราอธิษฐานปักหมุดเหมือนเดิม
    คราวนี้

    ให้เราเสกนิมิตรกสิณขึ้นมาพร้อมๆกันทั้ง สิบกอง
    ไฟ น้ำ ดิน ลม แดง เหลือง เขียว ขาว แสง อากาศ
    แล้วให้มันเรียงตัวกันเป็นวงกลม
    พอเป็นวงกลมแล้วให้เราแผ่เมตตาออกไป
    ด้วยอานุภาพแห่งกสิณ 10 กอง
    เสร็จแล้วห็ให้เราอธิษฐานรวมกสิณเข้าเป็นกองเดียว
    แล้วก็อธิษฐานว่าขอให้เราสามารถใช้อภิญญา ด้วยการจับอารมณ์รวมขององค์กสิณได้

    พร้อมว่าคาถาอภิญญารวมกำกับว่า "โสตัตตะภิญญา"


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------

    คราวนี้

    เราก็มาไล่อสุภะกรรมฐานกันต่อ

    ให้เราจับภาพซากศพ ที่ขึ้นอืด บวมพอง

    ให้เป็นเพชร

    แล้วไล่ขึ้นอรูป
    1 2 3 4

    จากนั้นพิจารณาว่า

    "เดี๋ยวไม่ช้าร่างกายเราก็ต้องเป็นแบบนี้
    ร่างกายในอดีตชาติก่อนๆก็เป็นแบบนี้
    ร่างกายในชาติต่อๆไปก็ต้องเป็นแบบนี้
    เรายังอยากจะมีร่างกายที่มันเอาดีไม่ได้แบบนี้อยู่่อีกทำไม
    ตายเมื่อไหร่เราจะไปยังพระนิพพานเท่านั้น"


    แล้วให้เรายกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน ขอสัมผัสอารมณ์

    แล้วอธิษฐานปักหมุดตามเดิม

    คราวนี้จะให้ลองทำเอง

    พอทำอสุภะครบบอกผมด้วยนะครับ

    ศพเขียว
    ศพเหลือง
    ศพเลือด
    ศพขาดสองท่อน
    ศพถูกสัตว์กัดกิน
    ศพกระจัดกระจาย
    ศพถูกสับเป็นท่อนๆ
    ศพถูกหนอนไช
    ศพเหลือแต่กระดูก


    ถ้าได้แล้วให้ทำอนุสติต่อเลยครับ

    พอไล่ไปเรื่อยๆ อารมณ์จะจับพระนิพพานทรงตัวขึ้น
    ตั้งมั่นมากขึ้น

    แต่ละกองก็ให้ลองพิจารณาอารมณ์ทั้งวิปัสนาญาณ และอารมณ์สมถะของกองนั้นๆดู


    พุทธานุสติกรรมฐาน ทรงภาพพุทธนิมิตแล้วพิจารณาว่า

    "พระวรกายขององค์สมเด็จท่านก็ยังไม่เที่ยง แล้วเราไม่ได้ธุลีความดีของท่าน ร่างกายเราจะเที่ยงได้อย่างไร"


    เทวตานุสติกรรมฐาน

    "ความเป็นเทวดาเป็นพรหมยังไม่เที่ยง เราจะพอใจแค่ความเป็นเทวดา พรหมทำไม ก้าวดีต่อไปสู่พระนิพพานดีกว่า"

    สีลานุสติกรรมฐาน

    "ที่้เราถือศีลก็ เพื่อเป็นเครื่องกั้นอกุศลกรรม ความชั่ว ทั้งปวง และเป็นเพราะเราเคารพเชื่อฟังพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเพราะศีลเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่่งพระนิพพาน"


    จาคานุสติ

    "ทานเป็นเครื่องสงเคราะห์ให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความสุข และทานที่เราบริจาคก็ไม่เที่ยง เราผู้ให้ทานก็ไม่เที่ยง ผู้รับทานกายท่านก็ยังไม่เที่ยง เราจงอย่าไปหลงไปยึดติด ในทาน ให้เพื่อเป็นการละ การสละ การคลายออกจากความโลภ เพราะแม้
    ร่างกายไม่เที่ยง แล้วเราจะไปทรัพย์สิ่งของทั้งปวงเอาไปยึดไว้ทำไม ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานดีกว่า"

    ถ้าจบอนุสติแล้วก็บอกด้วยนะครับ

    จะแนะนำอีกสิบกองให้ล่วงหน้านะครับ

    จตุธาตุ 4 ผมจับภาพกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    อาหาเรผมก็นึกถึงภาพอาหารที่กิน จนกระทั่งเปลี่ยนกลายเป็นุอุจจาระตัวเอง ว่ามีสภาวะความเป็นจริงอย่างไร


    พรหมวิหาร 4

    ผมก็เห็นนิมิต
    ตัวเอง แผ่เมตตา 1
    ช่วยเหลือผู้อื่น 1
    ยกมือโมทนาในความดีผู้อื่น 1
    และยืนเฉยวางอุเบกขา 1
    แล้วผมก็ลงด้วยไล่อรูป 4

    เป็นอันจบ40กอง

    ผมจบปุ้ป ผมก็ตั้งกองกรรมฐาน
    ขึ้นมาทีเดียวทั้ง 40 กอง
    เอาให้เห็นให้ครบ

    แล้วก็ให้มาเรียงกันเป็นวงกลม เป็นประกาย

    แล้วผมก็จะเห็นว่ากรรมฐาน 40 กอง รวมตัวกันเปลี่ยนเป็นธรรมจักร ที่ค่อยๆหมุนเร็วขึ้น หมุนจนกลายเป็นเพชร เปล่งรัศมีออกมา

    แล้วก็หมุนแผ่เมตตา แผ่บุญจากกรรมฐาน 40 ออกไป ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ ให้ทุกๆดวงจิตเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย

    เป็นการลงท้ายด้วยเมตตา อุทิศบุญ ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2008
  15. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    โมทนาการถ่ายทอดสดจากน้องชัชมากมายค่ะ
    เป็นการนำเอา กรรมฐาน 40 + วิปัสนา 9 มาพิจารณา ร่วมกัน
    เป็นโจทย์ให้เจนนำไปฝึกด้วยเรยค่ะ
    ขอบพระคุณมากมายค่ะ :)


    จะไปบวชฯที่วัดท่าซุง พรุ่งนี้แล้ว เจนจะพยายาม น้อมรับฟังพระธธรมคำสั่งสอน
    จาก ครูบาอาจารย์ ที่เป็นทั้งกายเนื้อ + กายทิพย์ ที่ท่านเมตตา สงเคราะห์
    มาสอนให้ได้ เจริญในธรรม ที่ละเอียดปราณีต ยิ่งขึ้นน่ะค่ะ

    แล้วเรื่องงราวที่เกิด ขึ้น ใน แต่ละ วัน จะเป็นเรื่องแห่ง การปฏิบัติธรรม โดยอัตโนมัติค่ะ
    ไม่ว่าจะทำอะไร และ อยู่ที่ไน๋ ไม่ใช่แค่ เฉพาะ ตอนฝึก มโนฯ
    หรือ ตอน ทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็น เท่านั้นค่ะ

    จะได้ให้เวลาที่ได้ ไปถือศีล บวชเนขัมมะนั้น ได้ อานิสงค์เต็มรอบยิ่ง ยิ่งขึ้นค่ะ

    เมื่อมีโอกาส และ มีทางเลือกที่ดีกว่า ก็จะใช้โอกาส นั้นให้เต็มทีค่ะ
    ให้คุ้มค่าที่ได้เกิดมา ให้คุ้มค่ากับศักยภาพที่ตัวเรามี ให้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปให้ได้มากที่สุดค่ะ ...

    - จะพยายามไม่วางอารมณ์ หนักไป
    - ไม่ตั้งใจมากไป
    - ไม่ เป็นมานะทิฐิมาก ไปค่ะ

    เพื่อความเจริญ ก้าวหน้าในธรรม ที่ยิ่ง ยิ่ง ขึ้นไป ด้วยความน้อบน้อมต่อพระองค์ท่าน
    ด้วยความน้อบน้อมรับฟัง คำสอนครูบาอาจารย์ แล้วนำไปปฏิบัติ ตาม
    ให้เกิด อานิสงค์ ผลบุญ จากการปฏิบัติ จริง เป็น การตอบแทนพระคุณท่าน
    หล่อหลอมให้ ดวงจิต ดวงนี้ เต็มพร้อม ใน วิชชา ความรู้เท่าถึงพร้อมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ


    ;aa22;aa22;aa22;aa22

    ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่เกิดขึ้น ไม่ว่า จะน้อย หรือ มาก เพียงไรก็ตาม
    ขอน้อมถวายแต่ พระพุทธองค์ อันมีสมเด็จองค์ปฐม เป็นที่สุด
    ขอน้อมถวายแด่ พระโพธิสัตว์ ทุก ทุก พระองค์ คุณครูบาอาจารย์ คุณบิดา - มารดา
    ท่าน ผู้มีพระคุณ ญาติธรรม กัลยานิมตร ผู้ตั้งมั่น ในวงกุศลคุณความดี

    ขอให้เจริญในธรรมเข้าถึง แก่นแท้ของพระธรรมคำสั้งสอนของพระพุทธองค์
    แล้วน้อมนำไปปฏบัติ ให้รู้แจ้ง แก่ตนเอง หลุดพ้นซึ้ง วัฏฏจักรสงสาร
    เข้าถึงพระนิพพาน อันบรมสุข ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2008
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Sawiiika
    สวัสดีค่ะ พี่น้องที่เครพรัก
    สบายดีกันทุก ทุก ท่าน น่ะค่ะ <O>:p</O>:p
    แป๊บเด๋ว ก็จะสิ้นปีเก่า เข้าปีใหม่อีกแล้ว
    เจนก็จะย่างเข้า 21 ปี เดือน มีนา นี้แล้วน่ะค่ะ ^^<O>:p</O>:p

    ตอนนี้ .. เจนขออนุญาติไปบวชชีพรามณ์ ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยทานี
    หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไร ในความไม่เที่ยงไม่แน่นอน
    ก็จะขอบวช นับตั้งแต่ วันที่ 8 พ.ย - 15 ธ.ค 08 น่ะค่ะ

    เตรียม ธุดง 6-15 ธ.ค และ ฝึกมโนมยิทธิ เต็มกำลัง 13-14 ธ.ค ค่ะ
    พี่น้องท่านใดมาธุดง + ฝึกมโนเต็มกำลัง ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ


    จุดประสงค์แห่งการตั้งใจไปฝึกนั้น คือ ปราถนา ฝึก วิชชา มโนมยิทธิ
    โดย มี เหตุ + ปัจจัย ในการฝึก ได้อย่างเต็มที

    - อยู่ในสถานที่ ๆ อันเอื้ออำนวยต่อการฝึกมโนมยิทธิ <O>:p
    - มีคุณครูบาอาจารย์ บอกสอน วิชชา มโนมยิทธิ ทั้งกายเนื้อ + กายทิพย์
    - มีสภาวะ ที่แว้ดล้อมไปด้วย ผู้ฝึกวิชชาฯ
    - มีสิ่งคักดิ์สิทธิ กระตุ้นเตือน คุ้มครอง ดูแล <O>:p</O>:p
    - มีกำลังใจแรงสูง ในการฝึก ในสภาวะที่มีเหตุ ปัจจัย ในการฝึกพร้อม<O>:p</O>:p
    - มีเวลาในการฝึกติดต่อ กันเป็นเวลานาน พอสมควร ที่จะทำให้
    กำลังใจค่อย ๆ เข้าที่เข้าทาง เป็นเหตุ ให้ฝึกวิชชาฯ ได้คล่อง ยิ่งขึ้น


    [​IMG]<O>:p</O>:p
    <O>:p</O>

    มีแรงบัลดาลใจอันยิ่งใหญ่ไพศาล คือ การได้ " ปฏิบัติบูชา "

    พระพุทธองค์ อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นที่สุด

    ที่สำคัญที่สุด คือ ได้ ปฏิบัติบูชา พระโพธิสัตว์ ท่านด้วยความปิติอิ่มเอมใจ


    ขอให้ช่วงเวลาที่ได้ น้อมจิตถือศีลบวชเนกขัมมะนี้
    เป็นช่วงเวลาที่ได้ ปฏิบัติ ได้อย่างเต็มที เต็มกำลังมีอานิสงค์เต็มพร้อม
    เพื่อให้ประโยชน์สูงสุด กับ ความตั้งใจที่ได้ตั้งจิตอธิฐานไว้ ค่ะ

    [​IMG]


    " ข้ออ้างเพิ่มเติมในการไปบวชฯ เข้าทางธรรม หนีทางโลก "

    เจนยังไม่เข้มแข็ง ไม่แข็งแรงพอ ที่จะสู้
    กับ สภาพแว้ดล้อม ที่เต็มไปด้วย อวิชชา

    เจนยังไม่เข้มแข็ง ไม่แข็งแรงพอ ที่จะมอง อวิชชา เหล่านั้น<O>:p</O>:p
    ให้เป็น วิชชา จนผลิกวิกิตให้เป็นโอกาศ มอง ปัญหา ให้เป็น ปัญญา

    เจนยังไม่แข็งแรง พอ ที่จะ ต่อสู้ และ อยู่ ในโลกแห่งความเป็นจริง
    โดยไม่ใหลไปกับมัน แล้ว ถูกกลืนกินเป็นหนึ่งเด๋วกับมันค่ะ<O>:p</O>:p

    " แต่เมื่อได้ อยู่ในทางธรรมแล้ว "


    <O>:p</O>
    ดวงจิต ดวงนี้ มีคุณค่า ยิ่งนักที่ได้ จุติมา แล้ว ได้พบพระพุทธองค์
    และ ได้ดำเนินรอดตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    ให้ดวงจิต ดวงนี้ได้อยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ของพระพุทธองค์
    อยู่ภายใต้ การสั่งสอน ดูแล ของพระพุทธองค์ เป็น อุบาสิกา
    ที่ ปฏิบัติ หน้าที่ได้อย่างปิติอิ่มเอมใจ .. ,,,


    เมื่อเข้าถึงธรรม เข้าถึงวิชชา เข้าถึงคุณครูบาอาจารย์
    อันมีหลวงพ่อฤาษีฯ หลวงพ่อ ปาน เป็นที่สุด

    เมื่อน้อบจิตรับฟังพระธรรมคำสั่งสอนของท่าน อันละเอียดปารณีต แล้ว
    ย่อมเป็นพละปัจจัย นำส่งให้ ดวงจิต ดวงนี้
    " ก้าวหน้าในธรรมอย่างก้าวกระโดด "

    นำวิชชาอันละเอียดปราณีตนี้ มาประยุคใช้ได้จริง ทั้งทางโลก + ทางธรรม
    ก้าวหน้าในธรรม เจริญในพระธรรมคำสั่งสอน กลับมาทำหน้าที่ ในทางโลก
    มีกำลังใจในการประกอบการอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้น

    ขอให้พี่น้องที่เครพรัก เป็นกำลังใจ ให้ด้วยค่ะ
    ขอบพระคุณมากมายค่ะ ^^


    Ps. การบวชฯรอบนี้ พอร์ช (coolz) ช่วยเหลือเจนเต็มที่เรยค่ะ

    ขอบพระคุณมากมายเรยน่ะค่ะ :)



    ;aa22;aa22;aa22;aa22
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขอให้ความดีที่น้องเจนปลูกฝังเอาไว้นั้นจงงอกงามขึ้น และเป็นส่วนสนับสนุน หนุนเนื่องให้น้องเจนรุดหน้าในธรรมอย่างก้าวกระโดด

    และกลับมาทำหน้าที่ทางโลก เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม และท้ายสุดสู่ปลายทางของความสำเร็จสุดท้ายในชีวิต คือพระนิพพาน

    พี่เอ๋กราบโมทนาบุญกับ น้องเจน ด้วยทุกประการ

    ขอกุศลผลบุญนี้ จงเป็นอุปนิสัย จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพนาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้า ของน้องเจน และพอร์ช ด้วยเทอญ .... สาธุ สาธุ สาธุ</O>อนุโมทนาด้วยครับ _/\_

    ขอให้เข้าถึงสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฎิบัติตามจนเข้าสู่พระนิพพาน _/\_
    ขอทุกหวังที่ตั้งจิต จงสัมฤทธิ์ดั่งเจตนา....

    กราบโมทนาบุญด้วยทั้งหมดทั้งมวลจ๊ะ ^^<!-- / message -->
     
  17. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เรื่องความซน
    ผมคิดว่าความซนนิดๆของผมเป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆเกลาออกเช่นกัน
    หากใครกำลังรู้สึกว่าเรามีความซนอยู่นิดๆ ลองๆเกลามันออกไปดูนะครับ เกลานิดๆหน่อยๆ
    บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองซนจนร้อน ต้องซนแบบเย็นๆ กำลังฝึกซนแบบเย็นๆอยู่ครับ
    คนเรานอกจากจะเรียนถูกแล้วก็จะต้องเรียนผิดด้วยนะครับ
    บางครั้งสิ่งทีเราได้รับจากการเรียนผิดอาจจะมีค่ามากกว่าการเรียนแต่ถูกแบบเดียวซะอีก
    อนุโมทนากับพี่เจนด้วยครับ แล้วจะตามไปฝึกมโนเต็มกำลังครับ
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ก้อนอื่นต้องขออภัยถ้าข้อความที่ได้พิมพ์นี้ไปกระทบหรือล่วงเกินท่านผู้ใด ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ

    วันนี้ได้พิจารณาถึงความเลวของจิตตัวเอง คือวันนี้ช่วงบ่ายได้นัดพี่คนหนี่งไว้เขาจะมาที่บ้าน แต่พอถึงเวลายังไม่มา คงจะงานยุ่ง

    ตอนนั้นพอดีน้องชายยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ฝนก็ทำท่าจะตก ก็ได้บอกให้น้องช่วยเก็บเสื่อที่ตากไว้เข้ามาในบ้าน ทีนี้น้องบอกมือเขาเปียกให้ไปเก็บเอง

    ความรู้สึกตรงนั้นปฏิฆะเกิด

    คือคิดว่าทำไมแค่เช็ดมือให้แห้งแล้วไปเก็บมาก็ได้แล้ว

    ตอนนั้นอารมณ์ก็พาลไปถึงพี่คนที่นัดเอาไว้ ทำไมป่านนี้ไม่มาสักที พออารมณ์มากระทบและทำให้คิดแบบนี้ปั๊บ ก็รีบบอกตัวเองว่า เขาคงไม่ว่าง งานเขาก็เยอะ

    พยายามปรับอารมณ์ใจให้เย็นคลายความหงุดหงิดลง แต่อารมณ์ก็จะปะทุอีก ก็พยายามนึกถึงความดีที่เขามีให้ เวลามีปัญหาพี่เขาก็ให้กำลังใจ และสอนธรรมะชี้ข้อบกพร่องในตัวของเราเสมอ อย่าไปคิดอะไรที่ไม่ดีกับพี่เขาเลย พอคิดได้แบบนี้สักพัก ก็ค่อยยังชั่ว แต่มานั่งคิดอีกในห้องน้ำ

    สิ่งที่เราเป็นนั้น คือกิเลส,นิวรณ์ในใจของเราทั้งนั้นเลย แล้วคิดต่อไปอีกว่า ทำไมเราเลว มหาเลวอย่างนี้ การที่เราปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจให้เบาบางลงจากกิเลสนั้น มันไม่ได้เบาบางลงเลย กลับมีเพิ่มมากขึ้น ซะด้วยซ้ำ เลยถามตัวเองว่าเพราะอะไรที่เป็นแบบนี้ ก็พิจารณาดูว่าที่เป็นแบบนี้เพราะ อารมณ์ กิเลสที่เรามีนั้นมันทับซ้อนเป็นชั้นๆอยู่ ตกตะกอนนอนก้นอยู่ในใจเรานั่นเอง

    เวลาเกิดอารมณ์ หรือมีอะไรเข้ามากระทบ ไม่ได้จับมาพิจารณาในสิ่งที่เราเป็นอยู่ มีแต่ปล่อยผ่านเลยไปบ่อยๆเข้า เลยทำให้วันนี้มันถึงได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีแสดงออกมาจนตัวเราเองรู้สีกได้ จนรู้สึกใจเป็นทุกข์

    เลยมาคิดไล่ย้อนหลังในอดีตเรามีนิสัยเป็นอย่างไร จึงทำให้เห็นว่ามีเยอะมาก มีความโกรธ น้อยใจ อาฆาตพยาบาท ฟุ้งซ่านการเอาแต่ใจโดยเฉพาะตัว ทิฏฐิมานะนั้นชัดเจนมาก และเวลาโกรธยอมรับว่าเป็นคนที่ใจดำมาก คือถ้ามีอาวุธอยู่ใกล้ๆฆ่าคนได้ ชอบทะนงตนว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่มาก ใครก็สู้ไม่ได้

    พอมาย้อนคิดถึงได้เห็นว่าแท้จริงเราโง่มากๆ ที่ได้โดนกิเลสเผาใจตัวเองมาตั้งนาน ดังนั้นกิเลสไม่เหมือนกับที่เราอาบน้ำชำระร่างกายได้ ต้องอาศัยความเพียรและมีธรรมะไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้เสมอ


    ข้อสำคัญคือต้องมีสติสัมปชัญญะ และปัญญามาใช้ในการที่เราจะคิดทำอะไร ต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนเพื่อจะได้ไม่มาเสียใจภายหลังค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2008
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระท่านเมตตามาสอนว่า

    "วิสัย ของของท่านผู้บรรลุแบบ สุขวิปัสโกนั้น ท่านต้อง ได้ฌานสี่ในอานาปานสติกรรมฐาน

    วิสัยของ ท่านที่ได้วิชชาสาม ต้องได้ ฌานสี่ใน กสิณ กองใดกองหนึ่ง เป็นอย่างต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กสิณกองที่หนุนนำในการเกิดทิพยจักษุญาณ อาทิ อโลกกสิณหรือกสิณ แสงสว่างก็ดี เตโชกสิณกสิณไฟก็ดี หรือ อาโปกสิณกสิณน้ำก็ดี จึงเป็นปัจจัยให้ท่านได้ ทิพยจักษุญาณได้

    วิสัยของท่านที่ได้ วิชชาหก ฉฬภิญโญ นั้น ท่านแสดงอิทธิวิธี ได้ จึงต้องได้กสิณครบทั้งสิบกอง รวมทั้งควรได้ กรรมฐาน40กองครบหมดด้วย


    วิสัยของท่านที่ได้ ปฏิสัมภิทาญาณ นั้น ท่านต้องได้คลุมไปจนถึงสมาบัติแปด หรืออรูปฌาน อรูปสมาบัติ กรรมฐานสี่สิบกองมีความคล่องตัว ไล่ฌาน ตามลำดับอนุโลมปฏิโลมมีความคล่องตัว

    ไล่ความละเอียดของอารมณ์สมาธิได้อย่างคล่องตัว

    เมื่อความคล่องตัวในปรจิตมีสูง เจโตปริยญาณก็ย่อมมีความคล่องตัวรวดเร็วไปด้วย เช่นกัน



    ส่วนพุทธภูมินั้น กลับต้อง ครอบคลุมในวิสัย จริต ภูมิจิต ภูมิธรรมให้ยิ่งขึ้นไปอีก

    กรรมฐานสี่สิบกอง ต้องคล่องตัว วิสัยทั่วไป ที่ท่านทำกรรมฐานกัน จบแต่ละกองที่ญาณสี่



    แต่หากเป็นวิสัยพุทธภูมิ ต้องให้ได้ไล่อารมณ์ขึ้นไปอีก จนถึง สมาบัติแปดเพื่อครอบคลุมวิสัยของ สุขวิปัสโก จนถึงปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด

    และไล่ขึ้นไปจบในอารมณ์วิปัสนาญาณ จนถึงอารมณ์พระนิพพานในกรรมฐานแต่ละกอง ทั้งสี่สิบกองต้องครบให้หมด

    อารมณ์ในการปฏิบัติ ในกรรมฐานกองนี้ อารมณ์จิตเป็นอย่างไร ต้องรู้ ต้องทราบ ต้องจดจำอารมณ์กรรมฐาน โดยเป็นการรู้รำลึกปรากฏขึ้นจาก"ผลแห่งการปฏิบัติอันเป็นปัตจัตตัง"

    เวลา สอนเวลาสงเคราะห์ในธรรมแก่ท่านผู้อื่นจึงจะ แจงได้อย่างแจ่มแจ้ง เกิดผลในการสงเคราะห์ให้เกิดความก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง



    แต่กระนั้นไม่ว่า วิสัยใดก็ตาม อารมณ์ในวิปัสนาญาณก็ย่อมไม่ต่างกันในข้อที่เมื่อถึงที่สุดแล้ว วิมุติญาณทัศนะ เห็นความสิ้นไปในกองกิเลศทั้งปวงก็ย่อมไม่ต่างกัน และถึงที่สุดแห่งความสิ้นทุกข์คือพระนิพพาน เช่นเดียวกัน



    ส่วนความรู้ ของโลกียบุคคล ก็มีในระดับ ความรู้ทั่วไปทางโลกเป็นพื้น วิชาความรู้เหล่านี้ เมื่อตายจากอันตภาพนี้ไป ก็มีความสะลายไปเป็นสัญญาอนิจจา เกิดใหม่ก็เรียนรู้ใหม่ไปไม่มีที่สิ้นสุด ตายแล้วก็มาเรียนใหม่ เริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป วนเวียนอยู่อย่างนี้


    วิชาความรู้ทางโลกในระดับสูงขึ้นมา ก็เกิดขึ้น จากการเพาะบ่มศึกษา ฟังมาก อ่านมาก จินตนาการมาก ถามมากเพื่อความแตกฉาน บันทึกจดจำเอาไว้มาก เรียกว่า "พหูสูตร" ด้วยคุณธรรมที่มีหัวใจว่า "สุ จิ ปุ ลิ"

    สุตตะ การสดับฟัง
    จิตตะ การตั้งจิตพิจารณาจินตภาพ
    ปุจฉา การซักถามข้อสงสัยเพื่อให้เกิดคำตอบเพิ่มเสริมความรู้ความคิด
    ลิลิต การบันทึก จดจำ เพื่อการทำความเข้าใจ

    ผู้นับว่าเป็น "พหูสูตร" นั้นจัดเป็นปราชญ์เป็น ผู้รอบรู้ในสรรพวิชาทั้งปวง


    แต่ที่เป็นความรู้ละเอียดปราณีตสุขุมขึ้นอีก ทรงคุณประโยชน์มากกว่า เกิดจาก ความรู้จากภายใน อันเกิดขึ้น จาก "ญานทัศนะ" หรือ"ตัวรู้" ด้วยกำลังของสมาธินั่นเอง


    ญาณเครื่องรู้ นั้น หากเป็นของท่านผู้ได้ โลกียะฌาน ก็มีเครื่องรู้ในระดับหนึ่ง มีถูกบ้าง ผิดบ้าง และยังอาจเจือไปด้วย กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปตามสภาวะจิต สภาวะกรรมพาไป

    ท่านที่ ได้ถึงความเป็นพระอริยะผลขั้นใดขั้นหนึ่ง ความรู้ จากญาณทัศนะของท่านมีความละเอียดปราณีต ลุ่มลึกกว่ามาก และที่สำคัญก็คือเป็น

    "วิสุทธิปัญญา"

    ปัญญาที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นก็ดี

    ปัญญาที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ดี

    ต่างจากความรู้หรือ ปัญญาทางโลก ซึ่งหากเจือไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะมีความเสื่อม ความเสียหายเป็นที่ตั้ง

    อันที่จริงเราสามารถใช้ปัญญาจากสมาธิ ใช้กำลังจากญาณทัศนะมาสร้างความรู้ ได้

    แต่ขอให้ตั้งกำลังใจ เพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ

    ตั้งกำลังใจว่า

    จะนำวิชาความรู้เหล่านั้น มาใช้ ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ก็ดี

    ช่วยให้บุคคลทั้งหลายบรรเทาเบาบางจากความทุกข์ลงไม่มากก็น้อยก็ดี

    เพื่อทำให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดีก็ดี

    เมื่อนั้นความรู้ต่างๆที่ได้มาจากสมาธิก็จะเกิด คุณประโยชน์สูงสุด



    ส่วนความรู้หรือวิชชาที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น

    ได้แก่

    วิชชาสาม ได้ทิพยจักษุญาณ

    อภิญญาหก ได้ความเป็นทิพย์ของจิต และแสดง ฤทธิ์ด้วยอิทธิวิธีได้

    ปฏิสัมภิทาญาณ มีความรู้จากความเป็นทิพย์และบริสุทธิ์ของจิตจากกำลังของสมาบัติแปด วิมุติธรรม แสดงฤทธิ์ได้

    รู้ภาษาทุกภาษา เนื่องจากข้ามไป รู้เนื่องด้วยจิต ทั้งคนและสัตว์ในทุกภพ ทุกมิติ

    ทรงความคล่องในการแสดงธรรม อธิบายธรรมที่ง่ายให้ละเอียดลึกซึ้ง พิศดาร อธิบายธรรมที่ยากพิศดาร ให้กลับง่ายดายกระจ่างใจตรงวาระจิตของผู้ฟังธรรม

    ทรงพระไตรปิฏก ทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธุ์ได้กระจ่างแม้ไม่เคยได้ศึกษามาก่อน

    ทรงปัญญายิ่ง ทั้งในปฏิภาน ไหวพริบ

    และที่ยิ่งเลิศในสรรพวิชาทั้งปวง ความรู้อื่นใดยิ่งไปกว่านั้นหาไม่ได้อีกแล้ว นั่นก็ คือ

    "สัพพัญญูญาณ" ขององค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ขึ้นชื่อว่าความไม่รู้ แม้เพียงแต่น้อยก็ไม่มีสำหรับพระองค์
    ความรู้ในธรรมนั้น เป็นที่ปรากฏชัดเจน กระจ่าง ประดุจฝ่ามือ

    ความรู้ในทางโลกนั้น ขึ้นชื่อว่าวิชา ในทั้งในโลกนี้ก็ดี ทั่วอนันตจักรวาลก็ดี ทุกมิติ ทุกภพภูมิก็ดี ไม่พ้นจาก สัพพัญญูญานทัศนะวิสัย ของพระพุทธองค์ไปได้

    เมื่อวาระที่พระพุทธองค์ท่านจะทรงโปรดผู้ใดแล้ว ท่านเล็งญาณทัศนะ ไปถึงอดีตชาติ กรรม วาระแห่งกรรม สภาวะจิตในปัจจุบันว่ามีความพร้อมเพียงใด มีวิบากขัดขวางในข้อใด แก้ไขป้องกันได้อย่างไร และต่อไปในอนาคตว่า ท่าน ท่านทรงเทศนา ธรรมด้วย ข้อธรรมบทนี้ บทนี้ ผู้ที่ท่านโปรดฟังธรรมด้วยอาการนี้ อารมณ์จิตเคลื่อนสู่ภูมิธรรมระดับนี้ เมื่อฟังธรรมแล้วจะบรรลุธรรมในอริยะผลระดับนี้

    ญานทัศนะแห่งพระพุทธองค์ประกอบไปด้วยมหาเมตตาอันบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด


    ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราจึงต้อง "ถามพระ" "ขอบารมีพระ" กันเสมอๆ ทุกครั้ง ให้ความรู้ วิชชาที่ปรากฏแก่ใจของเราก็ดี ธรรมมะก็ดี เป็นธรรมมะ จากพระพุทธองค์


    ความรู้ด้วยกำลังของเรา ไม่อาจเทียบ บารมีแห่งพระพุทธองค์ได้ ทั้งความละเอียด ความลึกซึ้ง

    ดังนั้นขอให้เราจงเดินตามรอยหลวงพ่อท่าน ในการทรงกำลังใจ
    ขอบารมีพระพุทธองค์เอาไว้เป็นพุทธานุสติไว้ทุกครั้งเสมอ




    "ขอวิชชาอันพิสุทธิ์จงปรากฏแก่ทุกๆดวงจิตที่ตังมั่นในความดี ให้นำเอาสรรพวิชาจากสมาธิไปใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้อย่างเต็มศักยภาพ

    และขอให้วิชชาอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ อันได้แก่วิมุติญาณ จงปรากฏ ถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...