เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณเซลล์ถ้าการพิมพ์อธิบายมันลำบาก บางทีการใช้ภาพเข้ามาช่วยอธิบายอาจจะทำให้เห็นภาพง่ายกว่านะ อย่างที่ผมเคยทำอยู่บางครั้งเหมือนกัน

    ์NGE เป็นการ์ตูนที่เนื้อหามีปริศนาแฝงอยู่เยอะมาก ตรงจุดนี้ก็ทำให้คนสนใจในเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้เวอร์ชั่นที่เป็นหนังสือการ์ตูนยังพิมพ์ไม่จบเลยครับถึงแม้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายมานานแล้ว ได้ยินมาอีกว่าภาคนี้ก็จะจบไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นที่ทำออกมาก่อนหน้านั้นอีก

    ชอบภาพโปสเตอร์มันครับคุณเดรดใช้สีสวยดี (ไม่รู้ภาพในหนังจะสวยอย่างนี้หรือเปล่า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2008
  2. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อยากดูจัง ทำยังไงถึงจะมีโอกาสได้ดูหนอ ว่าแล้วจดจ่อเข้าไว้
     
  3. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เข้าฉายลิโด้ ที่เดียวซะด้วยซิ...กว่าจะครบ4ภาค
    อิอิ...เดรดคงรอแผ่น
     
  4. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เอา key-art มั๊ย เด๋วส่งให้ แต่ file ค่อนข้างใหญ่อ่ะ ส่งทางเมลล์ไม่ผ่านแน่
    ขนาดโปสเตอร์ กะแบนเนอร์อะ...หุหุ(จาโดนเค้าฟ้องมั๊ยเนี่ย..อิอิ)
     
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ไม่เป็นไรครับคุณเดรด ขอบคุณมาก :)
     
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ช่วงนี้จินตวดีมีคำถามและความสงสัยอยู่บางประการ ตั้งใจว่าจะลองพยายามหาคำตอบเอง อยู่ ๆก็มีความรู้สึกอยากอ่านหนังสืออาจารย์อนาลัยอีก เมื่อคืนก่อนนอนจึงเดินไปหยิบ หนังสือเล่ม "ธรรมชาติชาติภพ" ออกจากตู้ ตั้งใจเปิดดูตั้งแต่หน้าแรก พอก้มลงดู ปรากฏว่าหนังสือในมือนั้นถูกเปิดรออยู่แล้วด้วยตัวเองโดยไม่รู้ตัว จินตวดีเชื่อว่าความบังเอิญไม่มีในโลก จึงอ่านดู ซึ่งตรงกับหน้า 186 บทที่ 12 ยาวไปเรื่อย ๆ พบว่าข้อความในหนังสือตอบคำถามได้ตรงกับใจพอดี พอมาคิดอีกที ครั้งที่แล้วที่เรามีคำถาม เราก็อ่านเจอตรงนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำถามนั้นเป็นคนละคำถามคนละประเด็นกัน และต่างเวลา ก็เลยมีความรู้สึกว่า หนังสือชุดนี้นี่มีความหลายมิติมาก เพราะในข้อความชุดเดียวกันสามารถตอบได้หลายคำถามหลายประเด็นทีเดียว เคยแปลกใจครั้งหนึ่งตอนอ่านอมตะจิตวิญญาณภาคปลาย ที่ท่านอนาลัยกล่าวว่า "ทุกคำถามจะพบคำตอบได้ในหนังสือชุดนี้" เราก็ยังคิดเลยว่ามันจะตอบทุกคำถามได้ยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เพราะพอมีคำถามในใจทีไร ก็ไอ้ข้อความเดิม ๆ ที่กลับมาอ่านอีกครั้งน่ะแหละ มันตอบได้ทุกคำถามจริง ๆ

    ตัวอย่างจากหน้า 186 ที่ตอบคำถามจินตวดี

    จิตวิญญาณรวมส่งพลังบางส่วนมาเพื่อเปิดโลกแห่งความเป็นจริง มิฉะนั้นโลกเหล่านี้จะคงอยู่ไม่ได้ รูปกายสามมิติ (ภาวะทางกายภาพ) ที่ถูกสร้างขึ้นจากจิตวิญญาณรวม อาศัยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นสามมิติ (โลกทางกายภาพ) และ จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับโลกสามมิตินี้ทั้งหมด สติสัมปชัญญะภายในเป็นแหล่งของพลังและความแข็งแกร่ง จิตวิญญาณในรูปกายสามมิติเหล่านีจะต้องเข้าใจ-รู้หน้าที่และบทบาทในละครชีวิตในแต่ละชาติภพ เมื่อเรียนรู้และเข้าใจแล้ว จิตวิญญาณในรูปกายสามมิติเหล่านี้ก็จะกลับคืนไปสู่จิตวิญญาณรวม


    จากหน้า 195 บทที่ 12 ธรรมชาติชาติภพ

    ในขณะที่เธออ่านหนังสือเล่มนี้และในกาลต่อไปข้างหน้า เธอจะมองดูตัวเธอ ห้องที่เธอนั่งโต๊ะ เก้าอี้ พื้น ผนัง เพดาน มันอาจแลดูทึบตัน เป็นจริงและถาวร ในขณะเดียวกันเธอจะรู้สึกว่า ตัวตนของเธอเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเพราะมันเปราะบางไม่มั่นคงถาวร และ ติดกับอยู่ระหว่างการเกิดและการสูญสลาย เธออาจรู้สึกอิจฉาวัตถุธาตุอันถาวรเหล่านั้น เธอจะจินตนาการว่า จักรวาลจะดำเนินต่อไปหลังจากที่เธอตายไปแล้วอย่างไรก็ตาม เมื่อหนังสือเล่มนี้จบลงฉันหวังว่า เธอจะตระหนักถึงความเป็นอมตะและความสมบูรณ์แห่งจิตวิญญาณของเธอ ตระหนักถึงความไม่มั่นคงถาวรของวัตถุธาตุทั้งหลายในโลกทางกายภาพ ตลอดจนความไม่ยั่งยืนถาวรของสภาวะแวดล้อมในชีวิตของเธอและในจักรวาล


    อ่านประโยคด้านบนแล้ว หวนกลับไปนึกถึง สารจากจักรวาลจากห้องเขากะลาในตอนท้าย ซึ่งยังติดตาติดใจจินตวดีตลอด ไม่เคยลืม โดยเฉพาะตอนท้ายที่ว่า
    " เมื่อท่านเห็นเรา ก็เท่ากับหน้าที่และภาระของเราได้จบสิ้นแล้ว"

    มันช่างไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
     
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ไหน ๆ ก็ไหน แล้วน่าจะเอามาพวกเราได้อ่านกันมั่งนะคะพี่จินต์.. ขจรวรรณเข้าไปห้องเขากะลาก็เพราะข้อความนี้แหล่ะค่ะ.. คิดว่าชาวพลังจักรวาลเมื่ออ่านแล้วคงไม่ต้องแปลความหมาย มองหน้ากันก็เข้าใจแล้วแหล่ะ.. นู๋รัก God จัง..
    ..............................................................
    denceedenceedencee(kiss)(kiss)(kiss)
     
  8. brotherpray

    brotherpray เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +177
    อธิบายคำนี้หน่อยครับ

    จากภาวะแห่งความไม่เป็นนี่เอง คือที่มาของฉัน
     
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    การที่จินตวดีรู้สึกว่า หนังสือชุดนี้มีหลายมิติ ก็เพราะว่า ทุกครั้งที่อ่านหนังสือชุดนี้จบลงในแต่ละครั้งมีความรู้สึกว่า ความรู้ความเข้าใจเราขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกครั้งในลักษณะที่กว้างขึ้น ลึกขึ้นกว่าเดิม เปรียบเสมือนกับอ่านจบรอบแรก ก็เข้าใจในระดับหนึ่ง เหมือนจบชั้น ป. 1 พอกลับมาอ่านอีกรอบที่สอง ก็เข้าใจเพิ่มไปในอีกระดับหนึ่ง เหมือนจบชั้น ป. 2 สรุปว่าตั้งแต่ ระดับหนึ่ง จน ขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น คืออ่านหนังสือชุดเดียวกันทั้งหมด แต่ความเข้าใจกลับขยายตัวไปไม่มีที่สิ้นสุด อุปมาอุปมัยเหมือนกับการขุดสระน้ำ ที่การขุดแต่ละครั้งเพิ่มความกว้าง ความยาว และ ความลึกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดจริง จึงเหมือนการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นจริง ๆ พอคิดได้ มีถ้อยคำผุดขึ้นมาในความคิดอีกแล้ว " ความรู้ที่ปราศจากการแบ่งปัน เป็นความไร้ค่า" แค่นั้นจินตวดีก็นั่งหัวเราะตัวเอง เพื่อนข้าง ๆรอบตัว ว่าเรานั้น บ้าไปแล้ว เพราะสนใจในสิ่งที่เขาคิดว่า ไร้สาร แต่จริง ๆ แล้ว เขามักลืมว่า "สาระมักจะแฝงมากับสิ่งที่ดูเสมือนไร้สาระเสมอ" คิดถึงคำที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ในหนังสือฃุดนี้ เรามักจะค้นหาพลังอำนาจจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเสมอ เรามักจะคิดว่าวิธีที่จะฝึกฝนอำนาจภายในต้องเป็นสิ่งที่เหนือชั้น หรือแตกต่างจากปกติ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นอบู่ภายในตัวเรานั้นเอง วิธีฝึกฝนก็ไม่ยากเย็น(ดังปรากฏอยู่ในหนังสือชุดนี้) เพียงแต่ต้องอาศัยความเพียรส่วนตัวเท่านั้น
     
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณจินต์อ่านหลายรอบแล้วเหรอเนี่ยดีจัง กระผมพยายามจะเอารอบแรกให้จบอยู่ คืออ่านทุกเล่มให้จบไปซักรอบนึง
     
  12. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จากหน้า 34 - 35 ธรรมชาติชาติภพ

    "สิ่งที่เธอจะต้องเรียนรู้ก็คือ การใช้สติระแวดระวังเพื่อติดตามว่า จิตวิญญาณของเธอเป็นอิสระจากช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลาได้อย่างไร จิตวิญญาณของเธอเดินทางไปยังภพภูมิใดและการรับรู้ของเธอแปรเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในแต่ละภพภูมิ

    เมื่อฉันพูดว่าสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้คือการใช้สติระแวดระวังฉันหมายความเข่นนั้นอย่างแท้จริง เธอไม่ต้องเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจิตวิญญาณาของเธอจึงจะเป็นอิสระจากข่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา เพราะมันเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติตลอดวันเวลา แต่สิ่งที่เธอจะต้องเรียนรู้คือ การมีสติที่จะติดตามเพื่อที่จะรู้เห็นได้ว่า มันเกิดขึ้นเมื่อใดและมันเป็นไปอย่างไร"

    ข้อความข้างบนน่าจะหมายถึงการมีสติติดตามการกระทำทุกขณะจิต คือการมีสติอยู่กับปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็คือแนวทางเดียวกับทางสายเอกแห่งพุทธศาสนา นั่นคือ สติปัฐฐานสี่นั่นเอง ซึ่งก็ตรงกับที่ในหนังสือระบุไว้ว่า พระพุทธเจ้า พระเยซู ต่างก็เคยค้นพบธรรมชาติแห่งความเป็นจริงนี้มาแล้ว
     
  13. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ทุกสัจธรรมย่อมเชื่อมต่อและมีความเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆนะครับ การวิปัสสนาของศาสนาพุทธก็สามารถทำให้เราตามสติและเฝ้ามอง อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้เป็นอย่างดี
     
  14. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เมื่อวานฝึกจิตวิญญาณประสานกายภาคปฎิบัติมาครับ
    เพราะเป็นหวัดงอมแงมเลย เลยฝืนตัวเองหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน และเปิดอ่านแบบฝึกหัดในหนังสือ
    เหมือนเป็นวิธีการง่ายๆนะครับ แต่เป็นสิ่งที่มองข้ามกันมาโดยตลอด
    "จินตนาการสร้างความเป็นจริง
    เหตุเกิดจากจินตนาการ ก็ต้องแก้ที่จินตนาการ"
    เมื่อลองทำดูแล้ว ถึงยังไม่หายขาด 100% แต่ก็ดีขึ้นประมาณ 70% ได้
    ได้เข้าใจถึงคำว่าสติสัมปชัญญะสองประเภทที่เฝ้ามองกันอยู่
    สติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งกำลังหายใจอยู่ และทำงานอยู่ภายในร่างกาย
    สติสัมปชัญญะอีกส่วนหนึ่งกำลังเฝ้ามองดูอยู่
    สติสัมปชัญญะทั้งสองส่วน เหมือนจะแยกออกจากกัน แต่ไม่แยกออกจากกัน
    ในภาวะนี้ไม่มีความเจ็บปวดใดๆเหลืออยู่เลย
    แต่เมื่อกลับสู่ภาวะปกติแล้ว จิตวิญญาณจดจ่อกับร่างกายทำให้รู้สึกปวดขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาการดีขึ้นค่อนข้างเยอะ
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ภาคต้น
    บทที่ 11 ความสำคัญของปัญญา มุมมองส่วนบุคคล และ สติสัมปชัญญะระดับต่างๆ
    p. 135-142


    หนังสือเล่มนี้เกี่ยวพันกับสาระของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ฉันปรารถนาที่จะแสดงให้เธอผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ได้เห็นความเกี่ยวพันระหว่างประสบการณ์ของภาวะจิต ในระดับต่างๆกับผลลัพธ์ของประสบการณ์ ในนัยของระบบโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-หลากระบบ ซึ่งแต่ละระบบขึ้นอยู่กับชีวิต ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอรู้จัก

    นักเขียนผู้เป็นล่ามและเลขาของฉัน ยินยอมให้ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับชีวิตนี้ของเขา เปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่มุมมองอื่นๆในระบบโลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น-มิติอื่น ซึ่งเปรียบเสมือนห้องสมุดแห่งภาวะจิตของเขา ชีวิตของเขาในโลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น-มิติอื่น มีความเป็นจริงและคมชัดไม่น้อยไปกว่าชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงโลกนี้

    นักเขียนเคยเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณ ด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น-มิติอื่นในความฝัน อย่างเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับเธอทั้งหลาย แต่เขาสนใจที่จะจดจำความฝัน ด้วยการติดตามสติสัมปชัญญะของเขาไปในความฝันเสมอ

    บ่อยครั้งเขาพบว่า เขาเป็นบุคคลตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น-มิติอื่น ที่แตกต่างไปจากการเป็นบุคคลตัวตนในโลกนี้ เขาพบว่าเขามีความทรงจำอีกชุดหนึ่ง มีบุคลิกภาพ เป็นบุคคลตัวตนที่แตกต่างไปเป็นอีกบุคคลหนึ่ง มีประวัติศาสตร์ มีปัจจุบันและอนาคตอันชัดเจน-จริงจัง ไม่น้อยไปกว่าบุคลิกภาพตัวตนที่เป็นนักเขียน

    ในยามตื่นเขาเริ่มรู้เห็นประสบการณ์ในการเป็นบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตนเหล่านั้นมากขึ้น เช่น ได้กลิ่น ได้ยิน ได้ลิ้มรส หรือสัมผัสกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนในมิติอื่นของเขา และตระหนักว่า มันเป็นปรากฏการณ์ที่เขารับได้จากบุคิลกภาพเหล่านั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของเขา กล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า เขาเริ่มเรียนรู้ ที่จะรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงอย่างน้อยสองโลก-สองมิติพร้อมๆกันอย่างมีสติ การรู้เห็นดังกล่าวไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดสำหรับเธอทั้งหลาย โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นไปเช่นนั้นตลอดเวลา เพราะจิตวิญญาณคือนักเดินทางท่องเที่ยว จิตวิญญาณไม่เคยอยู่นิ่ง แต่เปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะอย่างฉับไวไปสู่โลกอื่น-มิติอื่นอยู่ตลอดวันเวลา ดังเช่นที่ฉันได้กล่าวไว้ใน“อมตะแห่งจิตวิญญาณ(ภาคต้น)”ว่า เธอไม่ได้อยู่ที่นี่-เดี๋ยวนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นที่เธอคิด และร่างกายของเธอก็ไม่ได้ทึบตันถาวรคงที่ และอยู่ที่นี่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง อย่างที่เธอเข้าใจ หากแต่ว่าจิตวิญญาณของเธอเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปตลอดเวลา อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วของแสง ยังผลให้ร่างกายของเธอ “กะพริบ-เกิด-ดับ”อยู่ตลอดวันเวลา

    หากเธอเริ่มฝึกฝนด้วยการติดตามสติิสัมปชัญญะยามตื่นของเธอ ไปรู้เห็นความฝันอย่างมีสติ สติสัมปชัญญะของเธอจะขยายตัว และรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้กว้างขึ้น การรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติพร้อมๆกับการรู้เห็นโลกของเธอ ไม่ได้ก้าวก่ายโลกของเธอ หากแต่จะทำให้ประสบการณ์ของเธอมั่งคั่งมากขึ้น

    ความคิดรวบยอดของหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ จะช่วยขยายสติสัมปชัญญะของเธอผู้อ่านที่รักแต่ละคน ด้วยการดึงการมีสติรู้เห็นของเธอ ออกมาจากขีดจำกัดเดิมๆ ทำให้สติสัมปชัญญะของเธอก้าวล่วงกลับไป - กลับมา - ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอรู้จัก กับ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติที่เธอไม่เคยรู้จัก

    เธอทั้งหลายสามารถก้าวล่วงไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติได้ ด้วยการทิ้งข้อมูลความรู้ที่เธอยึดถือและรับเอา ว่าเป็นมาตรฐานของความเป็นจริงไว้เบื้องหลัง เพราะข้อมูลความรู้เดิมๆที่เธอยึดถือ มักทำให้เธอข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อ ในการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป หากเธอทิ้งข้อมูลความรู้ที่เธอยึดถือไว้เบื้องหลัง มันจะทำให้เธอสามารถมองเห็น การมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปได้ด้วยดวงตาดวงใหม่

    พวกเธอจำนวนมากมักเติบโตขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่า เธอจำเป็นต้องใช้ปัญญาในการวินิจฉัย-ติเตียนหรือวิเคราะห์ แทนที่จะใช้ปัญญาเพื่อสร้างสรรค์หรือรวบรวม เธอถูกสอนว่า การวิเคราะห์ คือการแยกแยะส่วนต่างๆออกจากความคิดรวบยอด แทนที่จะรวบรวมมันไว้ให้คงสภาพตามแบบฉบับเดิม

    เธอถูกสอนให้มองเห็นความคิดรวบยอดใหม่ๆ ที่ขัดแย้งกับความคิดรวบยอดเก่าๆ ในนัยที่ว่า ความคิดรวบยอดใหม่ เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญชาติญาณ ในขณะที่ความคิดรวบยอดเก่าๆ มักเป็นสิ่งที่เกิดจากปัญญา ดังนั้นความคิดรวบยอดใหม่กับเก่า จึงมักจะดูเสมือนเป็นสิ่งที่แปลกแยกแตกต่างกันเสมอ

    แท้จริงแล้ว สัญชาติญาณและปัญญาเป็นของคู่กันเสมอ และควรจะทำงานร่วมกันในประสบการณ์ต่างๆของเธอ การนำสัญชาติญาณมาใช้ควบคู่กับปัญญา จะทำให้เกิดความสามารถในการรู้เห็นแบบใหม่ ซึ่งทำให้เธอเป็นอิสระจากข้อจำกัดเก่าๆ และเอื้ออำนวยให้เธอเผชิญกับประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในนัยที่ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น เธอทั้งหลายมักพอใจที่จะเล่นกับความคิดรวบยอดเหล่านี้ โดยไม่พยายามที่จะเผชิญกับประสบการณ์โดยตรง พวกเธอจำนวนมากยอมรับเอาประสบการณ์ของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เธอนับถือ หรือศรัทธาว่าเป็นความเป็นจริงโดยปริยาย

    แต่ความสามารถอันหลากหลายและมหาศาลของเธอ ก็แสดงออกเสมอๆในความฝัน และในประสบการณ์ส่วนตน แม้แต่โมเลกุลในร่างกายของเธอก็มีความรู้ที่เธอไม่ได้ยิน

    ภาวะจิตมีอารยธรรมที่พัฒนาก้าวหน้า การเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ จะทำให้เธอค้นพบความเป็นจริง ที่สูญหายไปจากอารยธรรมในโลกมนุษย์
    ขนบธรรมเนียมทางกายภาพทั้งหลายในโลกมนุษย์ ล้วนคล้องจองกับภาวะจิตของเผ่าพันธุ์นั้นๆของมนุษย์

    พวกเธอจำนวนมากมีความสนเท่ห์ ในทฤษฎีหรือความคิดรวบยอด อันเป็นเงื่อนงำเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่เธอมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป แต่เธอกลับข้องใจในหลักฐานทั้งหลายที่สนับสนุนความเป็นจริงเหล่านั้น

    เธอทั้งหลายมักตีความหมายหลักฐานเหล่านั้น ในนัยของลัทธิความเชื่อที่เธอคุ้นเคย เพื่อทำให้หลักฐานเหล่านั้นเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น การยึดติดในลัทธิความเชื่อและข้อมูลอันจำกัด ทำให้เธอปฏิเสธประสบการณ์ที่ขัดแย้ง มันทำให้เธอขาดความยืดหยุ่นและ ขาดความสร้างสรรค์ หากเธอปลดความเชื่อเหล่านั้นออกไป ความใฝ่รู้ใฝ่เห็นของเธอจะมีความยืดหยุ่น มากพอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ และในขณะเดียวกันก็ยังคงการติดต่อสื่อสารกับโลกแห่งความเป็?นจริงตามปกติต่อไปได้ด้วย

    เธอทั้งหลายมักเผชิญกับการรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ ที่่นอกเหนือไปจากโลกที่เธอรู้จักได้ชั่ววูบหนึ่ง เช่น ได้ยินเสียง ได้ลิ้มรส ได้กลิ่น ได้เห็น หรือได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่ได้ปรากฏจริงในสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของเธอ แต่เธอมักปฏิเสธข้อมูลความรู้เหล่านี้โดยปริยาย โดยวินิจฉัยตนเองว่า หูแว่ว ตาฝาด เพี้ยนหรือคิดไปเอง เธอทั้งหลายไม่เคยก้าวล่วงไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น-มิติอื่นอย่างเต็มตัวในยามตื่น เธออาจยอมให้ตนเองรู้สึกถึงความสัมพันธ์ เชื่อมต่อระหว่างโลกสองโลกที่เกิดขึ้นชั่ววูบ หากเธอไม่ปฏิเสธการรู้เห็นเหล่านั้น เธอก็มักจะซ่อนเป้าหมายของการรู้เห็นเหล่านั้นจากตนเอง ในขณะเดียวกันเธอต่างก็มุ่งหน้าที่จะบรรลุเป้าหมายของตนเอง

    การยอมรับเป้าหมายในการรู้เห็นเหล่านั้น หมายถึงการนำมันมาเปิดเผย ซึ่งมันอาจทำให้เธอต้องกล่าวในสิ่งที่เธอไม่อาจจะกล่าวต่อผู้อื่นได้ เป้าหมายส่วนบุคคลของเธอแต่ละคนแตกต่างกัน เธอบางคนมีเป้าหมายเกี่ยวกับสัมพันธภาพในครอบครัว บางคนมีเป้าหมายเกี่ยวพันกับเด็กๆ บางคนมีเป้าหมายในหน้าที่การงาน และประสบการณ์ทางกายภาพ การเดินทางไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอาจเป็นความลี้ลับ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติม ที่ทำให้เธอเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจดจ่ออยู่ ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน

    ประสบการณ์ทั้งหลายที่เธอได้รับจากโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ล้วนเป็นข้อมูลความรู้หรือสัญญาณเตือน ที่เพิ่มเติมความรู้ ความเข้าใจในประสบการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในโลกแห่่งความเป็นจริงทางกายภาพ

    เธอทั้งหลายอยู่ในตำแหน่งหรือสถานที่ที่เธออยู่ และเป็นอย่างที่เธอกำลังเป็นอยู่ เพราะจิตวิญญาณของเธอจดจ่อ ด้วยสติสัมปชัญญะกับภาวะนั้นๆและสร้างโลกแห่งความเป็นจริงขึ้น สถานการณ์ทางกายภาพของเธอ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และโครงสร้างของระบบประสาทของเธอก็คล้อยตามแบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น

    หากเธอเรียนรู้ที่จะโยนความคิดรวบยอดเก่าๆทิ้งไป เธอจะเริ่มเผชิญกับหลักฐานจากระดับอื่นๆของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ เธอจะเริ่มรู้เห็นข้อมูลอื่นๆที่เธอเคยปิดกั้นมันมาก่อน

    มาถึงจุดนี้ จะมีพวกเธอจำนวนไม่น้อย ที่ยังข้องใจต่อไปว่า โนวา อนาลัย จะสอนอะไรใหม่ให้กับเธอ เธอคาดหวังว่าจะได้เรียนรู้วิธีการที่ทำให้เธอล่วงรู้สิ่งที่เธอไม่เคยรู้เห็นมาก่อน บางคนคาดหวังว่า ฉันจะให้วิธีการแปลกประหลาดที่เธอไม่เคยเรียนรู้ และคาดหวังว่า มันจะพิสูจน์ความเป็นจริงในบางสิ่งบางอย่างที่เธอข้องใจ หรือมิฉะนั้นมันก็พิสูจน์ว่า ข้อมูลความรู้ที่ฉันถ่ายทอดให้ไม่เป็นจริงสำหรับเธอ

    แต่ความเป็นจริงที่เรียบง่ายที่สุดที่ฉันจะบอกกับเธอคือ เธอทั้งหลายไม่ได้จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการประหลาดหรือแปลกใหม่จากฉัน เพื่อรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่ปรากฏให้เธอรู้เห็นอยู่เสมอๆ หากแต่ว่า เธอจำเป็นต้องปลดสิ่งที่เธอเรียนรู้และยึดถือไว้ทิ้งไป การรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ เป็นความสามารถตามธรรมชาติ แต่เธอจะรู้เห็นมันไม่ได้หากเธอยึดถือความเชื่อเก่าๆของเธอว่า ความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งเหนือมนุษย์ และต้องใช้ความเพียรพยายามแรมปีกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ

    ฉันได้กล่าวมาแล้วบ่อยครั้งว่า จิตวิญญาณของเธอไม่เคยอยู่นิ่ง มันเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกอื่น-มิติอื่นอยู่ตลอดเวลา จิตวิญญาณเคลื่อนไหวและสร้างสรรค์อยู่เสมอ ไม่มีวันสิ้นสุด เธอแต่ละคนจึงเคลื่อนไหวผ่านภาวะจิตของตนเองตลอดชีวิต ยังผลให้ประสบการณ์ทางกายภาพของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2008
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    พอคุณเซลล์พูดถึงการแยกสติสัมปชัญญะเพื่อลดความเจ็บปวดทางร่างกายนี่
    ทำให้นึกถึงประสบการณ์ครั้งที่พี่นักเขียนถูกแมงมุมพิษร้ายแรงกัด การต่อต้านสารพิษจากแมงมุมที่แทรกเข้าถึงไขกระดูกอย่างรวดเร็ว แถมโรงพยาบาลอยู่ไกลมากแต่รู้ด้วยจิตว่าที่นั่นไม่มีเซรุ่ม จึงกลับมารักษาตัวที่บ้าน..และด้วยการแยกสติสัมปชัญญะของพี่นักเขียนฯอาการทั้งหลายจึงค่อยๆกลับมาเป็นปกติในที่สุดครับ.. เดี๋ยวผมจะลองค้นดูให้ครับถ้ายังไม่ได้อ่าน ยังไงก็ขอให้คุณเซลล์หายมาม่า..อ้อ..หายไวไวนะครับ ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2008
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วันนี้พี่นักเขียนขอนำจดหมายจากผู้อ่านท่านหนึ่งมา post เพราะเห็นว่า เป็นคำถามที่ดีมาก และเป็นคำถามที่เป็นตัวแทนของคำถามจากผู้อ่านจำนวนนับร้อยราย


    ก่อนอื่นพี่นักเขียนต้องขอตอบว่า ผู้อ่านนับพันที่ e-mail เข้ามาหาพี่นักเขียน กล่าวอย่างเดียวกันว่าหนังสือชุดนี้อ่านยาก ต้องแปลไทยเป็นไทย แต่บางช่วงที่อ่านด้วยสมาธิจริงๆ จะเข้าใจได้อย่างง่ายดาย สรุปได้ว่า ทุกท่านที่เขียนเข้ามามีประสบการณ์คล้ายคลึงกันหมดคือ พบว่า ต้องอ่านหนังสือชุดนี้ด้วยสมาธิ เหมือนที่คุณน้องบอกว่า เหมือนอ่านหนังสือสอบจึงจะเข้าใจ

    ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่พี่นักเขียนทราบดี ไม่ใช่เพราะว่าตนเองชอบเขียนหนังสือด้วยคำศัพท์ยากๆ เพราะที่จริงแล้วโดยอาชีพ พี่นักเขียนเขียนตำราเรียนและหนังสือเด็กมามาก ต้องพยายามทำของยาก ให้เป็นของง่ายโดยอาชีพอยู่แล้ว

    หนังสือชุดนี้อ่านยาก เพราะเมื่อเขียนก็เขียนยากมากเนื่องจากว่าสาระที่พี่นักเขียนได้รับมา แทบจะกล่าวเป็นคำพูดบไม่ได้ จึงต้องพยายามสร้างคำศัพท์ คำนิยาม ที่จะสามารถใช้ได้กับทั้ง 10 เล่ม โดยไม่ให้คลาดเคลื่อน เพื่อที่ผู้อ่านจะสามารถจับสาระและประเด็นได้อย่างเป็นเนื้อเดียวตลอดทั้งชุด

    หนังสือชุดนี้จึงไม่ใช่หนังสืออ่านเล่น และไม่ใช่หนังสือที่จะอ่านผ่านๆเพียงครั้งเดียว แล้วเข้าใจได้ง่ายๆหมดทุกบท ผู้อ่านจำนวนหลายร้อยท่านเขียนมาบอกว่า ได้อ่านหนังสือชุดนี้ทั้งชุดมากกว่า 3 รอบ และกล่าวว่า ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจ และเชื่อว่าจะต้องอ่านซ้ำๆต่อไปอีกจนกว่าจะซึมซับสาระได้ทั้งหมด มีเพียงท่านเดียวที่เขียนมาถามว่า เมื่อไรจะออกหนังสือเล่มที่ 11 หรือชุดต่อไป

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ตราบใดที่ผู้อ่านยังไม่เข้าใจสาระของหนังสือชุดนี้ได้อย่างถ่องแท้ แม้จะออกเล่มที่ 11 หรือชุดต่อไปก็คงเปล่าประโยชน์ เพราะจะเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจไม่ได้เลย

    ตอบคำถาม
    1.ความฝันนี้ คือลางสังหรณ์ รึเปล่า เพราะจากที่จดบันทึกก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ตีความได้จากความฝัน แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ได้

    โลกของความฝัน คิือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป ด้วยภาวะตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปนอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    สิ่งที่จิตวิญญาณรู้เห็นในความฝัน จึงเป็นได้ทั้งปรากฏการณ์ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ในปัจจุบันชาติ ในอดีตชาติ และในอนาคตชาติ และในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในโลกอื่น มิติอื่น

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า เหตุการณ์ทั้งหลาย ไม่ได้เกิดขึ้นตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก แต่กำลังเป็นไปพร้อมกันหมดในปัจจุบัน เพียงแต่ว่า เครื่องพรางของโลกทางกายภาพอันได้แก่ ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ทำให้เรารู้เห็นได้เพียงส่ิงที่เราเรียกว่าเป็นป้จจุบันเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตทางกายภาพได้

    ดังนั้นสิ่งที่เรารู้เห็นในความฝัน จะเรียกว่าลางสังหรณ์ หรือรู้การณ์ล่วงหน้า ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะมันแคบและจำกัดเกินไป แต่เมื่อส่ิงที่เรารู้เห็น มาปรากฏในอนาคต เราก็อดเชื่อไม่ได้ว่า มันเป็นเช่นนั้น

    แท้จริงแล้ว ภาวะจิตของเราในปัจจุบัน ก่อเกิดประสบการณ์และปรากฏการณ์ทั้งหมดในชีวิตของเรา กล่าวคือ ภาวะจิตของเราในปัจจุบ้น สร้างสรรค์ความฝัน สร้างสรรค์ความเป็นไปในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ในปัจจุบันชาติ ในอดีตชาติ และในอนาคตชาติ และในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในโลกอื่น มิติอื่น

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึิกนึกคิดและการกระทำของเรา ณ ขณะจิตนี้ เป็นศูนย์กลางของโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมดของเรา ซึ่งครอบคลุมทุกโลก ทุกบุคลิกภาพ ทุกบุคคลตัวตนของเรา ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในทุกชาติภพ ทุกมิติ ทุกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึิกนึกคิดและการกระทำของเรา จึงสร้างอนาคตให้เราเห็นในความฝัน พร้อมๆกับที่สร้างอดีต และความเป็นไปได้ทั้งหลาย ดังที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เราสร้างแบบพิมพ์เขียวในความฝัน แล้วนำมันมาสร้างประสบการณ์ชีวิตยามตื่น

    เราจะเรียกความฝันว่าเป็นลางสังหรณ์ หรือการรู้การณ์ล่่วงหน้า ก็เท่ากับว่า เราตัดเอาความเป็นจริงอีกส่วนออกไป คือ อดีต และความเป็นไปได้อื่นๆ ที่อาจจะไม่มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตื่นในอนาคต

    โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อความฝันที่เราจะจำได้ดีและจดจ่อกับมัน มาปรากฏในประสบการณ์ชีวิตของเรา เราก็มุักสรุปเอาว่า เรารู้การณ์ล่วงหน้า การจดจ่อของเรา ดึงดูดประสบการณ์ในความฝัน ให้มีความเข้มข้น จนกระทั่งมันแปลงสภาพจากภาวะอันเป็นจินตภาพหรือพลังงาน เป็นภาวะอันเป็นกายภาพหรือสสาร ซึ่งเป็นไปตามกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาล

    แต่ความฝันอื่่นๆ ที่เราจดจำไม่ได้ในระดับจิตสำนึก ก็มาปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะแท้จริงแล้ว โลกแห่งความฝันคือ โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นต้นกำเนิดของประสบการณ์ยามตื่นทั้งปวง(rose)
    ________________________________________________________________

    2.นอกจาก บอกลางสังหรณ์แล้ว ความฝันนี้จะแก้ไขปัญหาชีวิตของเราได้ยังไง คะ ตรงนี้ที่หนูรู้สึกสงสัยมาก เช่น ความกลัวบางอย่างภายในใจที่ซ่อนอยู่ ความไม่มั่นใจ หรือ ปัญหาของความสัมพันธ์ที่ไม่เข้าใจกัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ จะแก้ไขจากความฝันได้อย่างไรคะ

    สิ่งที่เราเรียกกันว่าปัญหา-ในปัจจุบัน มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ซึ่งเราเชื่อว่า เราไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เราต้องเผชิญกับผลสืบเนื่องของมัน-ในปัจจุบัน หรือเกรงว่าจะเผชิญกับผลสืบเนื่องของมัน-ในอนาคต

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอว่า อดีต-อนาคต เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง กาลเวลาเป็นเพียงเครื่องพราง หรือเป็นเพียงสิ่งมายา ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว เรามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น เราจึงสามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงทุกส่ิงทุกอย่างได้จากปัจจุบัน

    สาระนี้เป็นสาระที่พี่นักเขียนพยายามกล่าวถึงเสมอๆ เพื่อช่วยตอกย้ำให้พวกเราสามารถฉุกคิด หรือจดจ่อได้ในระดับจิตสำนึก เพราะหากเราลืมเลือน ที่จะตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ เราจะไม่อาจเข้าใจสาระใดๆในหนังสือชุดนี้ได้อย่างแท้จริง และทำให้เราตั้งคำถามผิดๆเสมอ เพราะเมื่อเราไม่นำเอาธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา มาไว้ในสติสัมปชัญญะ ในระดับจิตสำนึก และตระหนักในความเป็นจริงข้อนี้ได้เสมอๆ เราก็วินิจฉัยจิตวิญญาณและสาระทั้งหมด ด้วยกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งใช้ไม่ได้กับจิตวิญญาณ ทำให้เราเข้าใจทุกส่ิงทุกอย่างบิดเบือนไปหมด

    หากเราตัดเอากาลเวลาทิ้งไป สิ่งที่เรียกว่า ต้นเหตุของปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นในอดีต
    จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในป้จจุบัน เสมือนการฉายภาพยนต์ย้อนหลัง กลับไปยังฉากที่เกิดการกระทำอันผิดพลาด หรือเกิดการตัดสินใจในทิศทางที่เกิดโทษ แล้วกระทำการในทิศทางใหม่ เลือกตัดสินใจในทิศทางใหม่ หรือสร้างอดีตใหม่ ด้วยการดึงเอาอดีตมาปรากฏในปัจจุบัน

    ทั้งหมดนี้ดูเสมือนว่า เป็นส่ิงที่เหลวไหล ไร้สาระ เพราะเราเชื่อว่า อดีตผ่านพ้นไปแล้ว และเราเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่แก้ไขปัญหาทั้งหลายในชีิวตได้สำเร็จ ได้เข้าไปสร้างสถานการณ์ใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบพิมพ์เขียวของประสบการณ์ชีวิตของเขาใหม่ ในความฝันเสมอๆ เพื่อสร้างอนาคตในทิศทางใหม่ หรือเปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนทัศนคติในปัจจุบันใหม่ ทำให้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้

    หากคุณน้องกำลังเผชิญปัญหาใดๆอยู่ในปัจจุบันนี้ คุณน้องสามารถตั้งจิต ขอแก้ปัญหาก่อนนอน โดยใช้จินตนาการกำหนดว่า หากคุณน้องสามารถกลับไปเปลี่ยนสถานการณ์อันเป็นต้นเหตุของปัญหาได้ เสมือนการย้อนกลับไปฉากแรกๆของภาพยนต์ แล้วเขียนบทใหม่ คุณน้องจะให้มันดำเนินไปเช่นไร

    ทั้งหมดนี้อาจปรากฏในความฝันเป็นสัญลักษณ์ แทนที่จะปรากฏเป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เสมอเหมือนชีวิตจริง เพราะโลกของความฝันมักเป็นอุปมาอุปมัยเสมอ เพราะมันเป็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอันซับซ้อน อุปมาอุปมัย และสัญลักษณ์ต่างๆ เป็นวิธีการเดียวที่จะสามารถบรรจุข้อมูลปริมาณมหาศาลไว้ได้

    ยกตัวอย่างเช่น อุปมาอุปมัยหรือสัญลักษณ์ ของบุคคลตัวตนเพียงหนึ่งคน ที่ปรากฏในความฝัน บรรจุด้วยข้อมูลที่ครอบคลุม บุคลิกภาพ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลผู้นั้น ตลอดจนทัศนคติ มุมมอง เพศ วัย อาชีพ รสนิยม อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรม ตลอดจนวิถีทางดำเนินชีวิตของเขา ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ ที่เรามีข้อมูลความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับเขาอยู่มากมาย

    การตั้งจิต ขอฝันในทิศทางที่เราปรารถนา อาจดูเสมือนจินตนาการที่ไม่จริงจัง
    แต่ทุกส่ิงทุกอย่างที่ปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริง ในชีวิตยามตื่นของเรา
    ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากจินตนาการของเราทั้งสิ้น


    ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียว ที่ปรากฏในชีวิตของเรา โดยที่เราไม่ได้เริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาด้วยจินตนาการของตนเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความล้มเหลว หรือความสำเร็จ ในทิศทางใดๆก็ตาม เราสร้างภาพในจินตนาการเห็นความสำเร็จ และความล้มเหลวของสัมพันธภาพ ของหน้าที่การงาน ฯลฯ ก่อนหน้าที่เราจะเผชิญกับมันเสมอ

    การสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ทำได้ด้วยจินตนาการเช่นกัน
    คุณน้องสามารถสร้างสรรค์บุคลิกภาพใหม่ ในทิศทางที่พึงปรารถนาได้ด้วยการเริ่มต้นจินตนาการ ในทิศทางที่พึงปรารถนา จินตนาการในแง่บวก เห็นตนเองเป็นบุคคลตัวตนที่มีความมั่นใจในทิศทางที่ต้องการ

    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราเสมอ ไม่ใช่ในทางกลับกัน

    เราจินตนาการทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาก่อน แล้วเราจึงเป็นไป
    ไม่ว่าการเป็นไปของเราจะจิบจ้อยเพียงใดก็ตาม เช่น เราจินตนาการว่า เราจะไปรับประทานอาหารร้านใด หรือรับประทานอะไร ช่วงเวลาพักกลางวันในวันนี้ แว้บหนึ่งเรามีจินตนาการดังกล่าวขึ้นมา เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน จินตนาการดังกล่าวก็กลายเป็นความเป็นจริง

    ฉันใดก็ฉันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีิวิตของเรา มีจุดเริ่มต้นมาจากจินตนาการทั้งสิ้น
    ดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้วว่า

    จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงทั้งหลาย(rose)(rose)

    ________________________________________________________________
    3.ความฝันจะเป็นตัวปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือความเชื่อบางอย่าง ซึ่งจะนำมาสู่การแก้ไขพฤติกรรมของเราได้อย่างไรคะ

    จินตนาการยามตื่น มักคละเคล้าไปด้วยวิตกวิจารณ์ การวินิจฉัยตนเองและผู้อื่น อันเกิดจากการแบ่งแยกเรา-เขา มันจึงมักจะเป็นจินตนาการที่ไม่ให้ผลในสรัางสรรค์เสมอไป แม้เราจะพยายามก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น หากคุณน้องมีปัญหาสัมพันธภาพ และคุณน้องพยายามใช้จินตนาการยามตื่น วาดภาพในมโนภาพ เห็นการคืนดี การปรองดอง หรือการให้อภัย หรือการสื่อสารกันระหว่างคุณน้อง กับบุคคลที่คุณน้องปรารถนาจะมีสัมพันธภาพที่ดีด้วย

    สติสัมปชัญญะยามตื่น มักจะท่วมไปด้วยข้อแม้ และคำวินิจฉัย ที่ปิดกั้นจินตนาการ
    เช่น มันอาจมีความคิดผุดขึ้นมาว่า จินตนาการเหล่านั้น-เป็นไปไม่ได้ และสติสัมปชัญญะยามตื่นก็จะนำเอาเหตุผลมากมายมาสรุป เพื่อปิดกั้นความเป็นไปได้ทั้งหลาย


    ท่านอาจารย์อนาลัย จึงได้แนะนำให้เราฝึกฝนที่จะจัดการกับการสร้างสรรค์ความเป็นจริงของเราในความฝัน เพราะในโลกของความฝันนั้น สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกยามตื่นจะอ่อนกำลังในการวินิจฉัยลงไปมาก และมักจะยอมให้สติสัมปชัญญะของตัวตนภายใน ซึ่งนึกคิดตรงไปตรงมา ตามปรารถนาที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ตัดสินและกระทำการได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะมันปราศจากข้อแม้ และปราศจากกาลเวลา

    คุณน้องสามารถตั้งจิตขอฝัน ให้สัมพันธภาพเป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา หากสัมพันธภาพที่พึงปรารถนา คือความปรารถนาที่แท้จริงของจิตวิญญาณ คุณน้องก็จะเผชิญกับความฝันที่เปิดเผยให้รู้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหา หรือ เผชิญกับการสร้างสัมพันธภาพในทิศทางที่ตัวตนยามตื่น พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่เต็มไปด้วยวิตกวิจารณ์และการวินิจฉัยคิดไม่ถึง หรือมองข้ามไปด้วยเหตุผลที่ถูกจำกัดด้วยช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    ความฝันมักเปิดเผยให้เราเห็นทิศทางของการตัดสินใจ การเลือก หรือพฤติกรรมที่เราอาจจะไม่เคยคิดเลือกทำหรือตัดสินใจยามตื่น ด้วยข้อแม้มากมาย แต่เมื่อได้เผชิญกับทิศทางใหม่ในความฝันแล้ว มันก็ทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อไปได้อย่างฉับพลัน

    เราทุกคนพลิกผันความเชื่อและทัศนคติเสมอๆ ด้วยความฝันอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ
    เพราะจิตวิญญาณของเราไม่เคยปล่อยให้เราดำเนินชีวิตไป ด้วยความไม่รู้อยู่เสมอๆ


    เมื่อใดที่เราละเลยที่จะแสวงหาความรู้ ในที่สุดบางสิ่งบางอย่างที่เราสมควรจะเรียนรู้ และถึงเวลาที่จะเรียนรู้แล้ว จะปรากฏขึ้นในความฝัน เรามักจะตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกสนเท่ห์ และประทับใจในความฝันนั้น มันจะส่งผลกระทบต่อทัศนคติที่เรามีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือต่อความเชื่อและทัศนคติที่เรามีต่อชีวิตและโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างลุ่มลึก(rose)(rose)(rose)

    ________________________________________________________________
    4.ที่ในหนังสือบอกว่า เราสามารถดึงเอาศักยภาพ จาก ตัวตนต่างมิติ มาใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดในชีวิตของเรา นี่คืออะไรคะ จะดึงหรือเชื่อมโยงได้อย่างไร ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยจินตนาการด้วยมั้ยคะ เหมือน Law of attraction หรือเปล่าคะ

    การเชื่อมโยงของบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ เราทุกคนพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้และทักษะด้วยการลงมือทำสิ่งต่างๆในชีวิต หรือเรียนรู้ที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องไม่สำคัญ หรือเรื่องสำคัญๆ ด้วยการเกิดแรงบันดาลใจ ด้วยการเกิดความรู้สึกนึกคิด และความปรารถนา ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นจากการการเชื่อมโยงของบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ที่เป็นไปตลอดวันเวลา

    ไม่ว่าคุณน้องจะมีแรงบันดาลใจที่จะมี จะเป็น จะทำสิ่งใด แรงบันดาลใจเหล่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ผู้กำลังมี กำลังเป็น กำลังทำสิ่งนั้นๆอยู่ ในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง หรือมิติใดมิติหนึ่ง หรือบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใดเส้นหนึ่งอยู่แล้ว

    ยกตัวอย่างเช่น หาก ณ วันนี้ คุณน้องปรารถนาที่จะเป็นนักพูด สามารถพูดต่อหน้าคนจำนวนมากได้ด้วยความมั่นใจ คุณน้องกำลังมีบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่กำลังดำเนินชีวิตเป็นนักพูดผู้มีความมั่นใจในตนเองอยู่

    ความเป็นไปของบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจเสมอ ซึ่งเราทุกคนจะพบว่า เรามีแรงบันดาลใจมากมาย หลายทิศทาง จนบางครั้งเราแทบจะเลือกไม่ได้ว่า เราอยากจะมี จะเป็น จะทำสิ่งใด เนื่องจากบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ มีมากมายหลากหลาย-เป็นอนันต์ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณปราศจากขีดจำกัด ความเป็นไปได้ของเราจึงปราศจากขีดจำกัดด้วยนัยนี้

    เราทุกคนสำมารถเหนี่ยวนำเอาความรู้ ความสามารถ หรือศักยภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหริือภาวะที่แฝงอยู่ในบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ มาสู่การเป็นบุคคลตัวตนซึ่งเป็น-เรา ได้เสมอ ด้วยการจดจ่อกับความปรารถนานั้นๆ และใช้เจตนาและความมุ่งมั่นของเราอย่างหมดใจ ที่จะพัฒนาตนเอง

    เราจะมีความจดจ่อที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมุ่งมั่น เสมือนกับว่า เราได้รู้เห็นเส้นชัย หรือเป้าหมายที่จะทำให้เรากลายเป็นบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ผู้นั้นได้อย่างชัดเจน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ความรู้ความสามารถและทักษะของบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ จะถ่ายทอดมาสู่ตัวตนของเราอย่างง่ายดาย

    มาถึงจุดนี้ พี่นักเขียนขอให้เราเขาย้อนคิดถึงความหมายที่แท้จริงของการประสานกันเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณว่า ส่ิงที่ประสานกันและถ่ายทอดกันและกันได้เสมอนั้น คือจิตวิญญาณ คือข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดสู่กันและกันได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    เมื่อกล่าวถึงการเหนี่ยวนำเอาความรู้ ความสามารถ หรือศักยภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหริือภาวะที่แฝงอยู่ในบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ มาสู่การบุคคลตัวตนซึ่งเป็น-เรา มันหมายถึงอะไร?

    มันหมายถึง การถ่ายทอดจิตวิญญาณ

    หากจะกล่าวว่า การจดจ่อกับแรงบันดาลใจ การมีเจตนาอันมุ่งมั่น ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันรูนแรง เหนี่ยวนำให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ - ก็ไม่ผิด

    อีกนัยหนึ่งหากจะกล่าวว่า การจดจ่อกับแรงบันดาลใจ การมีเจตนาอันมุ่งมั่น ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันรูนแรง เหนี่ยวนำให้เกิดการถ่ายทอดจิตวิญญาณ - ก็ไม่ผิด

    ผลลัพธ์ที่ได้คือ บุคคลตัวตนพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่เราคิดว่า เป็นของเรา-คือเรา
    ได้รับถ่ายทอดข้อมูลความรู้ หรือศักยภาพต่างๆมาจากบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า บุคคลตัวตนพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่เราคิดว่า เป็นของเรา-คือเรา
    แปลงสภาวะไปเป็นบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ กลายเป็นบุคคลตัวตนผู้มีความรู้ ความสามารถ หรือศักยภาพ ในทิศทางที่แตกต่างไป


    เราเปลี่ยนการเป็นบุคคลตัวตนของเราตลอดชีวิต ด้วยการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่ข้อมูลความรู้ใหม่ๆ เมื่อเราบรรลุความสำเร็จใหม่ๆ ได้เรียนรู้ ได้ทำในสิ่งใหม่ๆ ตามความปรารถนาและแรงบันดาลใจ จิตวิญญาณของเราได้เปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่การเป็นบุคคลตัวตน ต่างชาติภพ ต่างมิติ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เราได้นำตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้หนึ่งๆ มาสู่เส้นทางแห่งความเป็นจริง (rose)(rose)(rose)(rose)
     
  18. Campanile

    Campanile สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    Thanks for the reminder.
     
  19. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ขอบพระคุณสำหรับความรู้ใหม่ครับ...
     
  20. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณทั้งมาม่า และไวไวนะครับ คุณ mead แถมยำๆ จากคุณเดรดหลังห้องอีก อิ่มแปร้เลย อิอิ ;aa47

    เรื่องประสบการณ์แมงมุมพิษของพี่นักเขียน ผมว่าถ้าผมเจอคงช๊อคเหมือนกัน เป็นประสบการณ์ที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายจริงๆครับ

    ประสบการณ์ของผมเป็นแค่พิษไข้ เพิ่งได้เรียนรู้ชัดๆ เมื่อทำแบบฝึกหัด และเฝ้ามองโดยยังไม่หลับครับ

    denceeยินดีต้อนรับคุณขมิ้นชันนะครับdencee
    อาจารย์ อนาลัย และพี่นักเขียน ย้ำอยู่เสมอๆว่า ท่านมาฟื้นฟูความทรงจำที่เราลืมไปแล้วให้กลับมาอีกครั้งครับ

    เมื่อคืนขันธ์ 5 มันบีบรัดซะเหลือเกิน เพราะดันออกไปเถลไถลทั้งวัน กลับมาถึงบ้าน ไข้กลับมาอีกรอบ

    อาการป่วย ก็ต้องมีอาการที่แสดงถึงการทำงานของเซลล์ ซึ่งเรามักจะคิดไปว่า ฉันไม่สบาย ฉันเจ็บป่วย
    (ฉันที่เป็นตัวตนเฉพาะ ตัวตนเดียว เจ็บป่วย ไม่สบาย)
    ทำให้ต้องมีผู้รับอยู่เรื่อยๆ เมื่อไหร่มีสติรับรู้ถึงความคิดนี้ ก็ต้องปล่อยวาง ให้เห็นเป็นเพียงอาการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    แต่ก็ยากเอาการอยู่ เมื่อเรายังติดอยู่กับตัวตนที่คิดว่าเป็นเรา

    แต่ต้องใช้สติตามดูอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อเรียนรู้ว่าเป็นเพียงอาการ และต้องเชื่อมั่นในการทำงานของเซลล์ในร่างกายของเรา ว่าสามารถรักษาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ไปเชื่อมต่อกับเส้นทางความเป็นไปได้เส้นใหม่ที่ไม่ป่วย ต้องใช้สติเฝ้าดูความคิดด้านลบของตนเอง ที่ว่า ฉันป่วย ฉันไม่ไหวแล้ว

    เพราะจากที่ลองดู ในการแก้พิมพ์เขียว นอกจากทำแบบฝึกหัดแล้ว

    และใช้ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ ย้อนกลับไปอดีตตอนที่ป่วย แก้ไขเทปใหม่ทั้งหมดเป็นไม่ป่วย ยังไม่เพียงพอ เพราะยังติดบ่วงของเวลา บ่วงของตัวตนที่ป่วยอยู่ คงต้องเข้าไปแก้ไขในฝันที่ปราศจากช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลาจริงๆ

    กลับมานอนหลับไปแป๊ปนึง
    ฝันว่า เป็นกลุ่มคนกลุ่มนึง มีทั้งคนรู้จัก ไม่รู้จัก ทำงานอย่างขมักเขม้น แข็งขันเลย แต่ละคนมีความรู้ ความคิดเป็นของตนเอง แต่ทำงานประสานกันอย่างลงตัวมากๆ

    และก็ตื่นขึ้น พร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมา อาการก็ดีขึ้น เลยเข้าใจว่าเป็นการอุปมาอุปมัยให้เห็นการทำงานของเซลล์ หากเราเชื่อถือเขา และเราชี้นำเค้าไปทางไหน เค้าก็พร้อมจะทำงานให้อย่างเต็มที่ ตามที่เราต้องการทั้งหมด ไม่ว่าจะให้ไปในทิศทางใด

    พอตื่นมาตอนดึกๆ ก็เลยโดนบังคับให้กินยา เพราะต้องการให้หายขาด เราก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ขัดไม่ได้ เลยต่อรองขอกินแค่พาราอย่างเดียว ยาแก้แพ้ไม่ทาน เพราะจะมีฤทธิ์ไปกดประสาท

    คืนนั้นนอนไปฝันไป 2 เรื่อง เรื่องแรกจำไม่ได้ครับ
    อีกเรื่อง ฝันว่านั่งขบวนรถไฟใหญ่มาก คล้ายๆรถไฟของรัสเซีย ไปไหนก็ไม่รู้ มีคนนั่งอยู่จำนวนหนึ่งในตู้โบกี้นี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าเราคงได้ไปเที่ยวกัน รวมทั้งผมด้วย
    นั่งมาซักพักเริ่มแปลกๆ ตกลงพวกเราจะไปที่ไหนกันแน่
    และก็ได้เสียงพูดคุยกันมาว่า รถไฟคันนี้เป็นรถไฟสายมรณะ จุดหมายปลายทาง คือ ความตาย
    รถไฟนี้ในอดีต เคยเกิดเหตุการณ์ไฟคลอกทั้งขบวนรถ ทุกคนในรถตายหมด
    ผู้โดยสารที่อยู่ในโบกี้นี้ ได้ฟังก็ได้ใจเลย หาทางเอาตัวรอดว่าจะหนียังไงดี ไม่อยากไปปลายทาง

    รถไฟที่วิ่ง เส้นทางเป็นหุบเขาน้อยใหญ่ ไม่มีทางที่จะเปิดหน้าต่างและกระโดดลงไปได้แน่
    ทุกคนก็หาวิธีว่าจะทำยังไง มีผู้ชายที่นั่งข้างๆผม เค้าเห็นว่าตอนนี้กำลังแล่นผ่านทะเล ก็เลยคิดว่าจะกระโดดลงไป เผื่อจะรอด ทุกคนในรถก็เตือนว่า อย่าไป เพราะถ้ากระโดดอาจจะไม่พ้นโขดหิน เค้าก็ไม่ฟังเสียง เปิดหน้าต่าง และเตรียมตัวกระโดด พอได้จังหวะ กระโดดลงไป เค้าก็ไม่พ้นโขดหิน ทุกคนมองเห็นร่างๆหนึ่ง ปลิวไปก้นไปกระแทกกับโขดหิน และนิ่งอยู่ซักพัก และค่อยๆล้มตัวลง คงไม่รอดแน่แล้ว

    รถไฟยังแล่นต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    มีเด็กทารกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เอามือมาดึงเสื้อ และบอกว่าขอน้ำหน่อย พาเค้าไปกินน้ำหน่อย ผมก็ประหลาดใจว่าเด็กทารกตัวแค่นี้ เดินมาได้อย่างไร ทุกคนในรถไม่มีใครสนใจเพราะยังคิดเอาตัวรอดกันอยู่ ในใจผมก็เก้ๆกังๆว่าเอาไงดี สุดท้ายก็อุ้มเด็กคนนี้ไปหาน้ำ เดินออกจากโบกี้นี้ ทะลุไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาโผล่ที่ชุมชนที่นึง มีร้านค้าอยู่มากมาย (ในตอนนี้ยังไม่รู้ตัวว่าหลุดออกมาจากรถไฟสายมรณะนี้แล้ว) เดินหาน้ำให้เด็กอยู่ ในตัวมีอยู่แค่ 20 บาท หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนมาเจอร้านนึงเห็นน้ำเปล่าขวดเล็กๆอยู่ 2 ขวด พอจะเดินเข้าไปซื้อ เจ้าของร้านบอกว่าหมดแล้ว เพิ่งมีคนซื้อไป ผมก็เลยบอกว่างั้นมีเป๊ปซี่ไม๊ เค้าบอกว่ามี ผมก็ยื่นเงิน 20 บาทให้ไป และพูดกับเด็กว่า ทานให้ประหยัดหน่อยนะ เพราะไม่มีตังค์ซื้อให้แล้ว ซักพักเปิดกระเป๋าเสื้อ และล้วงกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย แบงค์ร้อยหลายๆใบมาจากไหนก็ไม่รู้
    พอเปิดกระป๋องและจะยื่นให้เด็กทาน เด็กทารกคนนั้นก็หายไปแล้ว
    เลยรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้อยู่ในขบวนรถนี้อีกต่อไป

    จากนั้นก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับหายจากอาการไข้ทั้งหมด

    จากในความฝัน เหมือนกับ การผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ เซลล์เก่าเลยนะครับ
    การจดจ่อสิ่งใดได้สิ่งนั้น จดจ่อกับเส้นทางใด ก็จะดำเนินไปในเส้นทางนั้น
    ในฝันเปลี่ยนการจดจ่อมาที่เด็ก เส้นทางที่ไปก็จะเปลี่ยนไปอีกเส้นทางนึง
    แต่ไอ้ที่มีแบงค์งอกออกมาเนี่ย ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

    เพื่อนๆว่างัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...