เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เดรดก็ว่าประมาณนั้น ดูจริงจังมาก สมาธิแน่วแน่เชียว แบบมีภาระกิจที่ต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ก็อยากมาทักทายกัน

    เดรดเคยเห็นรูป คุณ ขจรวรรณ ตอนที่ชาวห้องวิทย์ นำมาลงกันนะค่ะ...ที่ฝึกอะไรกันซักอย่าง ครั้งแรกที่เห็น ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน คุ้นมากๆ...
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เห็นภาษาแปลกๆก็ส่งมาที่ผมทุกทีเลยนะครับ..
    เดี๋ยวนี้นอกจากคุณเดรดจะ รับภาพแล้วยังรับทั้งกลื่นและเสียงได้อีก..
    ไม่มีอะไรที่ไร้สาระเลยครับ..ถ้าเรามองเห็นสาระในความไร้สาระได้..อันนี้ยอดเยี่ยมกว่าอีกครับ
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะปะติดปะต่อไม่ได้..เอามาคิดหรือวิเคราห์ดูก็จะพบเงื่อนงำนะครับ

    ส่วนน้องหมาเช้านี้อาการดีขึ้นกว่าเดิมมากครับ เม็ดเลือดขาวลดลง ฉีดยาขยายหลอดลมช่วยให้หายใจดีขึ้น และรักษาด้วยความรักและจินตภาพ ตอนนี้หายใจดีขึ้นมาก ไม่มีไข้ตัวร้อน เหงือกเป็นสีชมพูปกติ กระดิกหางและทานอาหารได้ แต่ยังต้องดูแลใกล้ชิดไปอีกสักเดือนจนกว่าแผลที่ผ่าตัดจะหายสนิทครับ ช่วงนี้เลยต้องใช้โทรจิตครับ เพราเค้าพูดไม่ได้ว่าเจ็บตรงไหนต้องส่งสายตาและใช้ความรู้สึกช่วยครับ คืนนี้คงนอนฝันฯได้เต็มที่หน่อย..ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2008
  3. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เล่าบ้าง

    เมื่อสามคืนก่อน เห็นเป็นภาพตกเข้ามาเหมือนที่คุณโมกลาบอกน่ะแหละคงเป็นภาพชนิดเดียวกัน เป็นภาพบัตรประจำตัว และ กระดาษแจ้งหัวข้อให้อนุญาติให้เชื่อมระบบ ถัดมาอีกวัน เห็นภาพคุณนีโม่ พร้อมเลข 11.58 ขณะนั้นคิดว่าหรือเราต้องติดต่อคุณนีโม่ มีภาพคำว่า "ใช่" ตกลงมาอีก พอตอนเช้าติดต่อคุณนีโม่เลยรู้ว่า ทางกลุ่มเขากะลาจะเข้ามาพัทยา ช่างบังเอิญเสียจริง ๆ พอได้รับสารทางจินตภาพแล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ๆ พอตกกลางคืนเห็นภาพผู้ชายซอยผมสั้น ตอนแรกนึกว่าคุณเดรคแต่ไม่ใช่ เพราะเมื่อคืนเห็นแบบเดิมอีก แต่ เอามือ 5 นิ้ว ขึ้นมาเหมือนสัญญลักษณ์ พอดูหน้าตาแล้วเป็นภาพผู้ชายที่เราวาดกับหุ่นกระบอกเอาไว้นั่นเอง จินตวดีรู้แล้วว่าเราเอาภาพ เดอะแมนแอนด์เดอะพัพเพ็ท แทนอะไร เดอะแมนในความคิดจินตวดีแทนตัวตนรวม งั้นตัวตนรวมต้องการบอกอะไรกับเรา

    พอคิดถึงชื่อของตัวเองที่ตั้งตามเสียงภายในที่ได้ยิน จินตะ นั้นก็หมายถึง จินตภาพ หรือ ความคิดคำนึง ก็เลยพาลคิดว่า ภาวะทางกายภาพของเรานั้นเป็นภาพจินตนาการ หรือ ความคิดคำนึง ที่ถูกฉายออกมาจากตัวตนรวม หรือ จิตดวงใด ตัวเรานั้นถูกหล่อหลอมให้มาเป็นภาวะทางกายภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะใด ๆ พอคิดแล้ว ตัวเรานี้เหมือนไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเป็นเพียงแค่ จินตะ หรือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตจักรวาลแล้ว ตัวเรายังเป็นของเราอยู่อีกหรือ เรามีตัวตนจริง ๆ หรือเปล่า หรือ เราเป็นเพียงแค่จินตภาพเท่านั้น
     
  4. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณจริงๆนะครับคุณขจรวรรณ โดยเฉพาะภาพเขียน ที่ใช้ร่างกายในการลงพื้น และต่อด้วยการแต่งแต้มสีสันของเด็กๆ ต่อมาจึงมีการช่วยให้ภาพสวยงามขึ้น โดยนักกีฬาทั้งหมด ทุกอย่างทำได้อย่างลงตัวมากๆเลยครับ ;aa34

    ประสบการณ์ของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นการอวดอ้างเกินจริงเลยนะครับ เพราะ อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด ของแต่ละคน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็ประสานกันลงตัวได้อย่างดีนะครับ ;k07

    ชอบประโยคนี้ของคนเดรดจริงๆเลย ;aa34


    เอาใจช่วยเจ้าอ้วนเสมอนะครับ มีเจ้านายที่รักและเอาใจใส่ขนาดนี้ ต้องหายในเร็ววันแน่ๆครับ ;aa34
    ต่อไปหากมีภาษาแปลกๆเข้ามา คงต้องรบกวนคุณ mead คุณเดรด ช่วยแปลแล้วหละครับ ;k07
     
  5. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ภาวะทางกายภาพ สิ่งที่เรามองเห็นรอบตัวเรา ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากภาวะจิตภายใน แล้วตัวเราเป็นภาพที่ถูกฉายมาจากจักรวาล เมื่อคิดอย่างงั้นแล้ว เราควรจะมีสิ่งใดให้ยึดติดทางกายภาพอยู่อีก ตัวเรายังเหมือนไม่ใช่ของเราเลย ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีอะไรหนัก ๆ ลงมาที่ศรีษะตลอดเลย
     
  6. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณจินต์ผมอ่านไปหลังๆ ก็คิดคล้ายๆ กัน รูปตัวตนของเราที่คิดว่าเป็นเรา ก็เป็นสิ่งที่ฉายออกมาจากภายในเหมือนกัน เป็นเหมือนเงา

    แรกๆ อ่าน เข้าใจว่าสิ่งรอบตัวเรา เกิดจากตัวเราด้วยกฏแห่งแรงดึงดูด
    แต่อ่านมาหลังๆ นี่ก็เข้าใจว่า ตัวเราเอง(ที่เป็นกายเนื้อ) ก็เป็นเงาสะท้อนถึงตัวเรา(ที่เป็นจิตวิญญาณ)ด้วยเหมือนกัน
     
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ถ้าคิดว่าเราเป็นภาพที่ถูกฉายมาจากตัวตนรวม หรือ จิตจักรวาล เราทุกคนก็ล้วนแต่มีที่มาจากที่เดียวกัน เราคือ กันและกัน เราเพียงแต่เป็นบุคลิคภาพที่แตกออกมาเป็นหน่วยย่อย ๆ เท่านั้น และแยกย้ายกันหาประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละด้าน ประสบการณ์เหล่านั้นถูกถ่ายทอดสู่บุคลิคภาพย่อย ๆ ทุกตัวตนผ่านทางความฝันและจินตภาพ พอคิดได้อย่างนั้น เรามาจากที่เดียวกัน เราคือกันและกัน ดังนั้นพวกเราจึงมีความเท่ากันทุกคนและทุกด้าน ไม่มีใครต่ำต้อยหรือเหนือกว่าใคร แตกต่างกันเฉพาะประสบการณ์ที่แยกย่อยกันไปทดสอบในแต่ละด้านเท่านั้น คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกแบ่ง เรา เขา หายได้พอสมควรเหมือนกัน
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ที่คุณซิปฯพูดมาน่าสนใจดี มีสาระทั้งสองเล่มนะครับ
    รูปลักษณ์ภายนอก เกิดจากการสั่นสะเทือนจากภายใน ภายนอกถูกสร้างขึ้นจากจินตภาพของภายใน สะท้อนฉายออกมาเหมือนเงา มีโครงสร้างเป็นประสบการณ์ทั้งหมด สนับสนุนไปสู่ทิศทางนั้นๆจนเกิดภาวะปัจจุบัน..

    ส่วนกฏแห่งแรงดึงดูด (จากหนังสือ The srecret) ก็คือการดึงดูดข้อมูลและสถานการณ์ต่างๆเข้ามาคล้ายๆกันเลยครับ สะท้อนออกสู่ภายนอก ปรากฎขึ้นจริงโดยมีข้อมูลนั้นถูกขยายออกไปเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น แต่ความลึกและกว้างของข้อมูลตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้อ่านตีความหรือเลือกประเด็นไหนมากกว่านะครับ..คล้ายๆจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด..ภายใน-ภายนอก ก็น่าจะถ่ายเทไปมาระหว่างกันด้วย เราแต่ละคนเกิดมาบุคลิกภาพเฉพาะตัวต่างกัน ..ความสามารถ-ความถนัดก็ต่างกันออกไป..ต้องมองให้ทะลุเข้าไปถึงคุณสมบัติภายในนะครับ..

    แต่ถ้าไปเจอประเภทข้างนอกแสดงออกอย่างนึง ข้างในคิดอีกอย่างนึง อย่างแนบเนียนเราจะดูออกรึเปล่า? จิตวิญญาณคงลำบากใจ การรับ-ส่งข้อมูลไปมาระหว่างภายใน-ภายนอกเค้าคงสับสนและปั่นป่วนพอดูครับ :p
    ;k07
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2008
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ข้างในที่สร้างแรงดึงดูดให้มีสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตที่ผมเข้าใจอยู่นี้ คือไม่ใช่ความคิดภายในใจ แต่เป็นประมาณว่าระดับจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว หรือจะเรียกว่าระดับจิตวิญญาณเลยก็ว่าได้

    ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องเราจึงสงสัยว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้นได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2008
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ตัวตนภายนอกสามารถโกหกได้ แต่ตัวตนภายใน จิตวิญญาณ มีการติดต่อสื่อสารแบบตรงไป ตรงมาเสมอ ตัวอย่างเช่น จินตวดีรู้จักคนขายของคนหนึ่ง เขาโกงจินตวดีเสมอทางด้านราคาของโดยไม่รู้ตัว จินตวดีเองก็รู้ แต่ไม่สนใจคิดว่าเขาไม่เจตนา จนกระทั่งวันหนึ่ง เราสั่งข้าวสารจากเขา 1 กระสอบโดยเขาจะไปเอาที่บ้านต.จ.ว มาให้ โดยคิดราคาถูกว่าตลาดหน่อย พอข้าวมาถึง เขากลับถือโอกาสขณะข้าวขึ้นราคาโดยคิดราคาขึ้นจากเดิมเป็น 3 เท่าตัว พร้อมบอกเราว่า ของราคาขึ้นตามตลาด ทั้งคุณภาพก็เป็นข้าวเกรดต่ำ ไม่สมราคาเลยสักนิด จินตวดียอมรับและจ่ายเงินเขา ไม่โกรธเคือง แต่พอตกดึก เราก็ฝันเห็น คนขายของคนนี้ (แต่ในศรีษะสวมหมวกของศิลปินเหมือนภาพที่จินตวดีเคยวาด จินตวดีตีว่าเขาคือตัวตนภายใน) เห็นตัวเองเดินไปจ่ายเงินค่าข้าวให้เขา พอจ่ายเสร็จ คนขายของคนนี้กลับบอกเราอีกว่า เรายังมีเงินค้างเขาอีก ในความรู้สึกตอนนั้นเรารู้ดีว่าเขา โกง เรา เพราะเราไม่มีอะไรติดค้างกับเขาเลย และคิดว่าถ้าเรายังคงเข้าร้านเขาต่อไป เราคงต้องถูกโกงอีกแน่ ๆ ในความฝันนี้ตัวตนภายในต้องการสอนอะไรเรา

    แม้ตัวตนภายนอกจะโกงอย่างไร แต่การสื่อสารภายในกลับทำให้เรามองเห็นตัวตนในความเป็นจริงบางส่วนของเขาได้
    อันนี้เป็นความคิดของจินตวดีนะคะ ทุกคนสามารถออกความคิดเห็นขัดแย้งได้ค่ะ ยินดีต้อนรับทุกความคิดเห็นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2008
  11. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    โอ้โห ๆด้อ่านความฝัน การสื่อสาร การเชื่อมโยงของเพื่อนๆแล้วทึ่งมากค่ะ ยังติดตามอยู่เสมอนะคะ แต่ไม่มีฝันหรืออะไรมาเล่าเลยค่ะ

    ตอนนี้ราวกับว่า โลกยามฝันและโลกยามตื่นเชื่อมโยงและต่อเนื่องกัน จนตอนนี้แยกไม่ออกแล้วค่ะ ว่า ฝันหรือตื่น กลายเป็นคนไร้เวลากับเขาไปเสียแล้ว

    ยังไงขอติดตามเรื่องราวเพื่อนๆแบบเงียบๆนะคะ

    สวัสดีคุณ Mead คุณ เดรค คุณเซลล์ คุณZipper คุณจินตวดี คุณขจรวรรณ เพราะพวกท่านทั้งหลาย ความรู้สึกจึงงดงามค่ะ

    ขอกราบสวัสดีพี่นักเขียนด้วยนะคะ มีความรู้สึกว่าเรียนรู้จากพี่นักเขียนทุกคืนเลยค่ะ
     
  12. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอเอาข้อความคุณโมกลา มาไว้หน้าห้องนะครับ

    เรื่อง เอาหนังสือไว้หัวนอนเป็นเทคนิคที่พี่นักเขียนได้แนะนำ ขอนำมาตัดแปะแลกเปลี่ยนความรู้กันค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณน้องโมกมาลา

    ยินดีด้วยค่ะที่ได้หนังสือแล้ว หวังว่าสภาพหนังสือคงจะดีพอนะคะ
    พี่นักเขียนขอแนะนำว่า ต่อไปนี้ให้ลองเอาหนังสือวางไว้ข้างหัวเตียง และก่อนนอนให้ตั้งจิตว่าจะขอเรียนรู้ข้อมูลความรู้จากหนังสือ-ในความฝัน ตั้งจิตให้แน่วแน่เหมือนกับการตั้งจิตว่า จะทำอะไรบางอย่าง และจะไม่ลืมทำ

    พี่นักเขียนตั้งจิตขอเรียนรู้ และขอรับข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือ ด้วยวิธีการเดียวกันนี้
    ดังนั้นพี่นักเขียนจึงเชื่อว่า การตั้งจิตในนัยนี้ จะทำให้คุณน้องโมกมาลารับข้อมูลได้ในทิศทางเดียวกัน ลองปฏิบัติดูนะคะ พอตื่นแล้ว วันต่อไปอ่านหนังสือดู มีประสบการณ์อย่างไร มาเล่าสู่กันฟังค่ะ พี่นักเขียนจะแนะนำต่อให้ ยังไม่อยากบอกล่วงหน้า จะได้ไม่วิตกวิจารณ์

    พี่นักเขียนเอง มักจะฝันถึงการว่ายน้ำในสระเสมอๆ สำหรับพี่นักเขียนแล้ว สระว่ายน้ำเป็นสัญญลักษณ์ของขอบเขตของการเรียนรู้ของจิตวิญญาณ ในภาวะที่อยู่นอกเหนือเครื่องพรางบางส่วน เพราะการอยู่ในสระน้ำทำให้เรามีอิสระหลายอย่างที่เราไม่มีเมื่อเราอยู่บนพื้นดิน และความฝันเกี่ยวกับการว่ายน้ำของพี่นักเขียน ก็มักจะเป็นการว่ายน้ำที่ง่ายดาย เป็นธรรมชาติราวกับปลา ฝันอย่างนี้บ่อยมาก จนในที่สุดตอนตื่นกลายเป็นว่ายน้ำได้อย่างง่ายดาย แม้จะไม่เท่าปลานะคะ แต่จากที่ว่าว่ายแล้วจมในระยะ 12 เมตร กลายเป็นว่ายได้ติดต่อกัน 1,000 เมตร ไปเรื่อยๆช้าๆ ไม่เหนื่อย คงจะเหมือนเต่ามากกว่าน่ะค่ะ

    แถมเรื่องมุมมองเกีี่ยวกับการว่ายน้ำของพี่นักเขียนมาด้วย

    ประสบการณ์ของโมกลา คือได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย ซึ่งเป็นหน้าที่เมื่อวานทนอ่านไม่ไหว เพราะไม่มีสมาธิ อ่านไม่เข้าหัว จึงคั่นไว้ เมื่อทำตามคำแนะนำของพี่นักเขียน
    พอกลับมาอ่านต่อ ปราำกฎเหมือนข้อความนี้เราเพิ่งจะอ่านผ่านไปหยกๆ แล้วอ่านต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น จนไม่อยากวางเลยละค่ะ


    ผมว่าโลกยามฝัน กับโลกยามตื่น ไม่แตกต่างกันเลย อย่างที่คุณ sarissa ว่าไว้นะครับ
    ทั้งโลกยามฝัน และโลกยามตื่น ต่างก็มีองค์ประกอบของความรู้ และความเชื่อที่อยู่ภายในนั้น

    ตัวตนเรา ไม่ใช่ตัวตนที่เราคิดว่าเป็นบุคคลเดียว ตัวตนเดียว

    แม้แต่ความคิด ความรู้สึกนึกคิด ที่เราคิดว่าเป็นของตัวตนที่คิดว่าเป็นเรา ยังไม่ใช่เลย
    ที่พี่นักเขียนให้ลองนำรูปในช่วงวัยต่างๆ มาเปรียบเทียบกันดู ตั้งแต่เล็ก จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นความแตกต่าง ไม่เหมือนกันเลย เราไม่เคยเป็นบุคคลเดียว-ตัวตนเดียว อย่างที่เรายึดถือกันอยู่เลย

    ในหนังสือหลายๆเล่ม ท่าน อ.อนาลัย จะเน้นมากๆเลยนะครับ ในเรื่อง ตัวตนรวม

    อย่างหน้า 163 ในหนังสือเรื่อง ชีวิตนอกเหนือชาติภพ ที่ว่า

    เธอไม่เพียงแต่จะมีสติรู้เห็นตัวตนของเธอ ที่เธอคิดว่าเธอรู้จักดีมาตลอดชีวิตเท่านั้น แต่ความรู้สึกอันลึกซึ้งถึงความเป็นเอกลักษณ์-เป็นบุคคล-ตัวตน-เรา-เขาที่กว้างกว่าการเป็นเธอแค่บุคคลเดียว-ตัวตนเดียว-จะผุดขึ้นมา
    ความเป็นเอกลักษณ์ที่กว้างกว่าย่อมคงสภาพตัวตนของเธอที่เธอรู้จักดีไว้โดยปราศจากการคุกคาม แต่เธอจะพบตัวตนใหม่ของเธอ ทำให้เธอเป็นเธอ-ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เธอจะมีสติสัปชัญญะที่ขยายตัว

    อยากให้พี่นักเขียน และเพื่อนๆช่วยขยายความให้หน่อยครับ เพราะอ่านแล้วยังตีความไม่แตกเท่าไหร่ ในประโยคหน้า 161 เรื่อง ชีวิตนอกเหนือชาติภพที่ว่า

    ดังนั้นเธอจำเป็นจะต้องมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่สามารถคงสภาพสติสัมปชัญญะทั้งสองนั้นไว้ได้พร้อมๆกัน คือมีสติสัมปชัญญะที่จดจ่ออยู่กับการกระทำ และในขณะเดียวกันก็มีสติสัมปชัญญะที่จดจ่ออยู่กับการเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วย
     
  13. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอนำคำตอบเกี่ยวกับการนำหนังสือไว้ข้างเตียง จากพี่นักเขียนมาให้พวกเราเพิ่มพูนความรู้กันต่อนะค่ะ

    คุณน้องโมกมาลาที่รัก

    ประสบการณ์ของคุณน้อง ที่เกิดจากการที่พี่นักเขียนแนะนำให้นำหนังสือไปวางไว้ข้างหัวเตียง และพบว่าวันรุ่งขึ้น อ่านหนังสือแล้วเหมือนกับว่า เคยอ่านแล้ว เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่นักเขียนเสมอๆ พี่นักขียนเคยแนะนำให้หลายๆคนทำเช่นนั้น ไม่ใช่แต่เพียงกับหนังสือชุดนี้เท่านั้น แต่ให้ทำกับหนังสืออ่านยากทั้งหลาย เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการกำหนดหรือระบุทิศทางให้สติสัมปชัญญะของเราเปลี่ยนวิถีจดจ่อไปสู่สิ่งที่เราปรารถนาจะเรียนรู้

    ในขณะที่ร่างกายของเรานอนหลับ จิตวิญญาณซึ่งมีธรรมชาติใฝ่รู้ จะพุ่งไปหาข้อมูลความรู้อยู่แล้วทุกค่ำคืนในความฝัน หากเราไม่ได้ตั้งเข็ม หรือทิศทางให้มันด้วยการกำหนด หรือมีความตั้งใจ หรือเจตนาจำเพาะ มันจะพุ่งไปโดยปราศจากเป้าหมาย เราก็จะได้รับข้อมูลมากมายที่เราจดจำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ต้องการข้อมูลเหล่านั้น หรือไม่ได้ใส่ใจกับมันตั้งแต่แรก จิตวิิญญาณไปรู้ไปเห็น เราก็เอาสาระหรือจดจำไม่ได้ เพราะเราขาดการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด ขาดเป้าหมายแต่แรก

    พี่นักเขียนขอให้คุณน้องโมกมาลาทดลองด้วยตนเอง เพราะหากบอกล่วงหน้าว่า จิตวิญญาณของคุณน้องจะเรียนรู้หรือไปอ่านหนังสือล่วงหน้า ทำให้ตื่นขึ้นแล้วอ่านได้ง่ายขึ้น เข้าใจได้ง่ายขึ้น คุณน้องก็อาจเกิดวิตกวิจารณ์ และปิดกั้นความเป็นไปได้ตามธรรมชาติในความฝัน ด้วยความไม่เชื่อ หรือไม่แน่ใจว่าจะทำได้

    พี่นักเขียนแนะนำลูกๆให้หัดทวนหรือดูหนังสือสอบด้วยวิธีนี้ เขาก็ทำได้ผลค่ะ ตัวพี่นักเขียนเอง เวลาอ่านหนังสือเล่มใดที่ชอบมากๆ จะทำเช่นนี้ เพราะทำให้อ่านได้เร็วมาก เข้าใจเร็ว เพราะจะรู้สึกเสมือนว่า ได้อ่านซ้ำในสิ่งที่เคยอ่านแล้ว และเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม วิธีการดังกล่าวนี้ พี่นักเขียนอ่านพบเป็นครั้งแรกในหนังสือของ Edgar Cayce ซึ่งเป็นคนที่มีการศึกษาน้อยมาก แต่ได้ชื่อว่าเป็น sleeping prophet เพราะเขามักจะนอนหนุนหนังสือ และเรียนรู้จากหนังสือได้ด้วยวิธีการเดียวกันนี้

    หากจะเรียกว่า การนอนหนุนหนังสือ หรือการนำเอาหนังสือไปวางไว้ข้างหัวเตียง เป็นการถ่ายพลัง หรือรับพลังจากหนังสือ คำกล่าวนี้คงจะทำให้รู้สึกถึงความลึกลับเสียมากกว่าที่จะให้คำอธิบายที่เข้าใจได้อย่างตรงไปตรงมา

    ทุกส่ิงทุกอย่าง มีเบื้องหลังหรือแก่นแท้ของมัน เป็นจิตวิญญาณทั้งสิ้น

    พี่นักเขียนจะพยายามเตือนใจพวกเรา ด้วยการนำคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยมาเขียนเสมอๆว่า
    จิต คือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพจิตวิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    จิตวิญญาณ คิือ พลังงาน
    พลังงาน คือ จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ มีคุณสมบัติเป็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ พลังงาน
    ประจุแม่เหล็กไฟฟ้าหรือพลังงาน คือ จิตวิญญาณ

    เหตุที่พี่นักเขียนพยายามจะให้คำกล่าวนี้ติดอยู่ในสติสัมปชัญญะของพวกเราเสมอๆ เพราะว่ามันจะทำให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้ง โดยทะลวงผ่านความรู้ในระดับประสาทสัมผัสทั้งห้า ไปสู่ ความรู้ในระดับประสาทสัมผัสภายใน ไม่เช่นนั้นแล้วเรามักจะให้คำอธิบายด้วยคำจำกัดความที่คลุมเครือ เช่น เมื่อเรากล่าวว่า เราได้รับพลัง เราสัมผัสกับพลัง เราสัมผัสกับประจุแม่เหล็กไฟฟ้า หรือแม้แต่ได้กลิ่นประจุแม่เหล็กไฟฟ้า เราจะเข้าไม่ถึงการทำงานของประสาทสัมผัสภายใน เพราะเรารับเอาด้วยเครื่องรับภายนอกที่เราคุ้นเคย คิือประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งเรียกสิ่งที่เรารับได้ว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

    ภาวะอันเป็นธรรมชาติที่เปลือยเปล่าที่สุด ของการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสภายใน คือ การรับข้อมูลความรู้ที่กำลังถ่ายทอดมาสู่เราด้วย อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด แม้จะมีสัญญลักษณ์เป็น รูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัส ที่เราคุ้นเคยในยามตื่น แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพีียงสัญญลักษณ์ หากเรารับเอาว่ามันเป็นรูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นภาวะในภวังค์สมาธิ หรือในความฝัน เราไ่ด้ทะลวงผ่านความเคยชินของประสาทสัมผัสทั้งห้า ไปสู่แก่นแท้ของสิ่งที่เรารับเอา ซึ่งไม่มีอื่นใด นอกเหนือไปจากข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดมาสู่เราพร้อมด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    หากเราไม่สามารถทะลวงผ่านความรู้ในระดับประสาทสัมผัสทั้งห้าไปได้ เราจะเผชิญกับข้อมูลความรู้ที่กำลังถ่ายทอดมาสู่เราด้วยภาวะจิต หรือระดับของสติสัมปชัญญะที่พยายามนำเครื่องพรางทั้งหมดกลับไปใช้เพื่อรู้เห็น

    ประสาทสัมผัสภายในไม่ได้รับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ในทิศทางเดียวกันกับประสาทสัมผัสทั้งห้า
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกหรือประสาทสัมผัสภายใน เป็นการรับข้อมูลความรู้
    เพราะแก่นแท้ของจิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้ จิตวิญญาณไม่มีอื่นใดที่จะถ่ายทอดนอกจากข้อมูลความรู้
    พร้อมด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด


    ตามธรรมชาติแล้ว ยามฝันสติสัมปชัญญะของเรารับรู้ได้มากกว่ายามตื่นเสมอ
    แต่ความเชื่อที่ว่า เรารับรู้ยามตื่นได้มากกว่ายามฝัน และเชื่อว่าสติสัมปชัญญะในความฝันขาดความคมชัด
    คือปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถจดจำความฝันได้

    การวางหนังสือไว้ข้างหัวเตียง และการตั้งจิตของเรียนรู้จากหนังสือ น่าจะเป็นบทพิสูจน์บทหนึ่งที่ทำให้คุณน้องโมกมาลา เปลี่ยนความเชื่อได้ไม่มากก็น้อยว่า ยามฝันสติสัมปชัญญะของเรารับรู้ได้ไม่น้อยไปกว่ายามตื่น คุณน้องจึงรู้สึกเสมือนว่า ได้เคยอ่านหนังสือแล้วจริงๆ

    หากฝึกฝนต่อไป คุณน้องจะพบว่า ยามฝันสติสัมปชัญญะของเรารับรู้ได้มากกว่ายามตื่นเสียอีก
    ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้วขอให้เชื่อมั่น และจะพบว่าสติสัมปชัญญะของตนเองจะพัฒนาต่อไปตามธรรมชาติ เพราะเราได้เปิดโอกาสให้มันทำหน้าที่ได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ

    พี่นักเขียนยินดีให้ post ได้เสมอค่ะ
    พี่นักเขียน [​IMG]
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณคุณเซลล์ + คุณโมกลาครับ นำจดหมายดีๆมาเปิดให้อ่านบ่อยๆครับ
    เห็นพี่นักเขียนฯพูดถึง Edgar Cayce เค้านี่มีความสามารถหลายด้านจริงๆครับ
    นอกจากการใช้พลังจิตหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆแล้ว
    ยังไปเจอเรื่องนึงเกี่ยวกับการนวดบำบัดรักษาโรคอีกด้วย เอามาให้อ่านกันครับ

    การนวดจุดของเคซีตรงกับจุดต่างๆ และคล้ายกับวิธีฝังเข็มของจีน ก็แสดงว่าจุดต่างๆ นี้เป็นของจริงตามหลักการแพทย์มานานแล้ว ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นวิชาการของใคร หรือชาติใดชาติหนึ่ง ถ้าค้นคว้าทดลองอย่างจริงจัง ผู้นั้นหรือชาตินั้นก็จะค้นพบความจริง หรือวิชาการที่แท้จริงได้ด้วยตนเอง

    เรื่องของการนวดสัมผัสก็เช่นกัน เป็นเรื่องของธรรมชาติ หรือสัญชาตญาณเก่าแก่ของมนุษย์เรา เวลาเราถูกตีตรงไหนเจ็บๆ เราก็รู้จักที่จะเอามือลูบคลำ หรือนวดเค้นเพื่อคลายความเจ็บ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาสอน การบีบการคลำนี้เราก็พบด้วยตนเองว่า ทำให้เราคลายความเจ็บปวดได้ เมื่อรู้จักจำจุดต่างๆ เหล่านั้นและรวบรวมไว้เป็นเรื่องเป็นราว ในไม่ช้าก็จะกลายเป็นวิชานวดขึ้นมา วิธีการทดลองหรือทดสอบขึ้นมา เราก็จะพบว่า การนวดก็คือการบำบัดซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ได้

    ลองใช้หลักการแพทย์มาแยกแยะดู เมื่อเราถูกตี เนื้อของเราก็ช้ำดำเขียว การช้ำดำเขียวแปลว่าเส้นเลือดแตกภายใน เลือดออกใต้ผิวหนังจึงทำให้มองเห็นเป็นเช่นนั้น เวลาเราเจ็บเราก็ลูบคลำบีบเค้นโดยอัตโนมัติ เพราะเราจะรู้สึกคลายเจ็บปวดลง เวลาบีบเค้นเช่นนั้น

    เพราะอะไรเวลาเราบีบเค้นบ่อยๆ กล้ามเนื้อก็คลายตัว การหมุนเวียนของเลือดย่อมกระจายไปได้ทั่วตัว ทำให้อาการฟกช้ำดำเขียวบรรเทาลง นี่คือการรักษาตัวเองโดยธรรมชาติ
    ถ้าเราศึกษาทดลองต่อไปอีก เรารู้ว่าการบีบการเค้นช่วยบรรเทาความเจ็บปวด เราก็ต้องมาศึกษาต่อว่าบีบเค้นอย่างไร และแค่ไหนจึงจะพอดี การใช้มือใช้นิ้วทำอย่างไรจึงจะพอดีกับการบำบัด ไม่ทำให้ร่างกายยิ่งบอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีก

    เมื่อการทดสอบมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงจะต้องทดลองต่อไป นักวิทยาศาสตร์หลายคนคงจะได้พบว่า กระแสไฟฟ้าและคลื่นความสั่นสะเทือนบางอย่าง ช่วยให้การบีบนวดนั้นได้พอดีขึ้น จึงได้กลายเป็นหลักการต่างๆ ในการบำบัดรักษาร่วมกับการใช้ยา

    นี่กระมังวิชาการเรื่องกายภาพบำบัด (Physical Therapy) จึงได้เกิดขึ้น ผมหวังว่า อาจารย์ทางด้านกายภาพบำบัด คงจะยอมรับข้อนี้ และคงไม่มีใครปฏิเสธเสียงแข็ง โดยไม่นึกถึงบุญคุณของการแพทย์พื้นเมือง และการแพทย์สมัยเก่า

    ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เอ็ดการ์ เคซี ได้ใช้ เรื่องของการนวดบำบัด มาตั้งแต่สมัยก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในระหว่างสงครามโลก อเมริกาขาดแคลนแพทย์และเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ ตลอดจนยาไม่มั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนเก่า การรักษาและการบำบัดแบบของเอ็ดการ์ เคซี จึงได้ แพร่หลายมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องใช้ยาแพงๆ และเครื่องไม้เครื่องมือวิจิตรพิสดารแต่อย่างใด

    และพอตอนปลายๆ มหาสงครามโลกครั้งที่สอง มีการคิดค้นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าและคลื่นเสียงเพิ่มขึ้น ปรากฏว่า เอ็ดการ์ เคซี กลับเป็นคนแรกและกลุ่มแรกที่สั่งให้ ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าช่วยในการนวดต่างๆ เช่น นวดหลัง นวดแขน นวดตัว โดยเฉพาะตามข้อต่อต่างๆ ปรากฏว่า ช่วยบำบัดรักษาโรคเกี่ยวกับการปวดกล้าม และปวดข้อได้อย่างน่าอัศจรรย์

    ส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งในการนวดก็คือ น้ำมันนวด เคซีมีสูตรของตัวเอง คือ น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะกอก ลาโนลิน (Lanolin-ไขมันจากขนแกะ มีขายอย่างเป็นขวดและเป็นก้อน) และน้ำดอกกุหลาบ
    สูตรน้ำมันนี้เป็นสูตรซึ่งเคซีแนะนำให้ทำเอง เป็นสูตรง่ายๆ และเชื่อหรือไม่ว่ากลับเป็นสูตรมีชื่อเสียงโด่งดัง บริษัทขายยาและบริษัทเครื่องสำอาง นำไปผลิตจำหน่ายร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีไปตามๆ กัน แต่แน่นอน เคซีก็ยังคงยากจนอยู่เช่นเดิม

    ในปัจจุบันสูตรน้ำมันของเคซีมีจำหน่ายทั่วโลก โดยที่เคซีไม่มีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์แต่ใดๆ บริษัทยาและบริษัทเครื่องสำอางบางแห่ง ได้คิดแปลงสูตรของเคซีบ้างเล็กน้อย เช่นได้เติมวิตามิน E ลงไปด้วย และทางบริษัทก็ตัดน้ำกุหลาบออกเสีย เพราะน้ำกุหลาบเมื่อเอามาผสมกับน้ำมัน ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย แต่โดยเหตุที่เคซีแนะนำให้คนทั่วไปทำใช้เอง ถ้าทำตามสูตรของเคซีก็จะได้ผลดี และเสียค่าใช้จ่ายในราคาถูก

    เคซีจะแนะนำสูตรน้ำมันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบจะสำหรับคนไข้ทุกคน ไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไร เขาจะอธิบายแก่คนไข้ว่าการนวดจุด และนวดตัวผสมกับการใช้น้ำมันนั้น จะทำให้คนไข้สบายเนื้อสบายตัว จิตใจแจ่มใสสดชื่น ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้คล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขับถ่ายจะดีขึ้น
    ระบบขับถ่ายตามแบบของเคซีนั้น ไม่ได้หมายถึงการขับถ่ายอุจจาระ-ปัสสาวะเท่านั้น แต่หมายถึงระบบหายใจ ระบบผิวหนัง การขับเหงื่อ และการหมุนเวียนโลหิตด้วย เคซีจะแนะนำให้นวดตัวและถูตัว โดยเริ่มด้วยการนวดจุดก่อน แล้วทาน้ำมัน นวดด้วยฝ่ามือทั่วตัว ต่อจากนั้นใช้น้ำมันอีก ซึ่งมีน้ำกุหลาบผสมอยู่ด้วย ลูบไล้ไปตามผิวหนังเบาๆ ทั่วทั้งตัว

    เคซีกล่าวว่า แม้แต่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร หากจะใช้น้ำมันผสมน้ำกุหลาบนวดไปทั่วตัว ก็จะทำให้ผิวหนังและผิวพรรณสวยขึ้น

    อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งเคซีจะแนะนำก็คือ การช่วยให้คนไข้ใกล้จะตายมีอาการสบายขึ้น ตามปรกติคนไข้เหล่านี้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยานอนหลับ และยาแก้ปวด (มอร์ฟีน) ซึ่งคนไข้ก็จะไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งสิ้นชีวิต
    แต่ในกรณีของคนไข้ที่ไม่ต้องการให้ใช้ เครื่องมือเหล่านั้น เคซีให้ใช้การนวดเบาๆ ผสมกับการใช้น้ำมัน ปรากฏว่าคนไข้แทบทุกคนหายใจดีขึ้น สบายเนื้อสบายตัวมากขึ้น ที่แน่นท้องแน่นหน้าอกก็คลายลง และก็จากไปอย่างคนมีสติ

    ทั้งหมดนี้ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เป็นวิชาความรู้จากมนุษย์พิเศษมหัศจรรย์ผู้หนึ่ง คนผู้นี้เรียนรู้และมีวิชาความรู้ด้วยตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลและแปลกปลอม เพราะความรู้และการปฏิบัติทั้งหมด ได้รับการทดสอบตรวจตราวิเคราะห์ จากวงการแพทย์ปัจจุบัน และจากกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา และปรากฏผลเป็นโรงพยาบาลแบบผสมผสาน ของเอ็ดการ์ เคซี ซึ่งยังเปิดทำงานและรับรักษาคนไข้อยู่จนบัดนี้...

    http://www.elib-online.com/doctors/chivajit52.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2008
  15. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอบคุณคุณ mead ที่สรรหาบทความดีๆมาเติมเต็มประสบการณ์ความรู้กัน

    ขอแลกเปลี่ยนมุมมองกันกรณีข้อสงสัยของคุณ เซลล์ ที่ว่า

    ดังนั้นเธอจำเป็นจะต้องมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่สามารถคงสภาพสติสัมปชัญญะทั้งสองนั้นไว้ได้พร้อมๆกัน คือมีสติสัมปชัญญะที่จดจ่ออยู่กับการกระทำ และในขณะเดียวกันก็มีสติ
    สัมปชัญญะที่จดจ่ออยู่กับการเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วย

    กรณีนี้จะเหมือนกับเรานั่งดูทีวี และเราตระหนักรู้ซ้ำเข้าไปอีกว่า ฉันกำลังนั่งดูทีวีอยู่นะ หรือเรากำลังคิดอะไรอยู่ เราก็ตระหนักรู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ คือจะมีตัวตนซ้อนความรู้ตัวตนเราอีกชั้นหนึ่ง หรือเสมือนเราถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองเข้าไปในตัวตนที่เราเพิ่งถอยออกมา
    เปรียบเป็นความฝัน ก็เหมือนเรารู้ตัว ว่าเรากำลังอยู่ในความฝันอยู่
    ในทางศาสนาพุทธ เขาเรียกว่า ดูจิตในจิต หรือ ตัวตนในตัวตน

    ไม่ทราบว่าอธิบายได้รู้เรื่องหรือเปล่า คือค่อนข้างอธิบายยาก แต่เราจะปฏิบัติได้ไม่ยาก โดยการพยายามระลึกรู้ตัวตลอด

    ปกติในชีวิตประจำวัน สติเราจะหายไปตลอด ยิ่งเราได้ทำ ได้ดูอะไร ที่มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เราจะไม่รู้ตัวเลย แต่ถ้าในเวลานั้นระลึกรู้ตัวขื้น ว่าเรากำลังมีความสนุกสนานอยู่นะ นั่นแหละตัวตนอีกตัวตนหนึ่งโผล่ออกมาให้เราเห็นแล้ว<!-- / message -->
     
  16. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    สติสัมปชัญญะที่จดจ่อ อยู่กับการกระทำ คือตัวระลึก-รู้ ที่จดจ่อ กับโลกกายภาพ ภายใต้เครื่องพราง...มั้งค่ะ
    และสติสัมปชัญญะ ที่จดจ่อ กับการสังเกตุการณ์ คือตัวระลึก-รู้ ที่จดจ่อ กับโลกกายภาพ โดยละเครื่องพรางออกหมด...แบ่บ มองทะลุเครื่องพรางไป...มั้งค่ะ

    เดรดเข้าใจแบบนี้...เพื่อนๆท่านอื่น ว่าไงค่ะ
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ไม่ได้กลับไปอ่านดูเหมือนกันค่ะ แต่น่าจะหมายถึงตัวตนอันเป็นจินตภาพที่อยู่ในความฝันคล้ายกับความฝันที่คุณ kung เคย post ไว้เกี่ยวกันการรักษาโรคของตัวเอง แต่คุณ kung ก็มีสติสัมปชัญญะทั้งสองตัวตนคือ รู้เห็นตัวตนที่จดจ่ออยู่กับการกระทำ และอีกตัวตนหนึ่งก็จดจ่ออยู่กับการเป็นผู้สังเกตุการณ์ด้วยนะคะ..

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kung [​IMG]
    อ้อ....ขอเล่าเรื่องความฝันครับ ในฝันผมเป็นบุคคลที่ 2 ยืนมองดูตัวเองแตะจักระ
    3+2 เพื่อรักษาตัวเองอยู่ ในความรู้สึกบอกว่าตั้งใจใส่พลังเต็มที่เลย ตื่นเข้าขึ้นมา
    ปรากฏว่ารู้สึกว่า จักระที่ 3-2 ทำงานครับทั้งๆที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย น่าประหลาด
    ใจมากๆเลยครับ อิทธิพลของความฝันนี่ ไม่ธรรมดาเลยครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณคุณโมกลา และพี่นักเขียนมากนะครับ อ่านแล้วชัดเจน และตรงเป้ามากๆครับ ผมสังเกตว่าบางครั้ง เราก็จะนำความเคยชินในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้ามาในสมาธิ และยามฝันด้วย ทำให้เราใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้กว้าง และละเอียดขึ้น แต่ถ้าเรายังไม่สามารถปล่อยวางความเคยชินจากเครื่องรู้จากประสาทสัมผัสที่ 5 นี้ได้ เราก็ยังเข้าไม่ถึงข้อมูลความรู้ของจิตวิญญาณ thx1;aa34

    คุณ mead เลือกเรื่องการนวดได้ตรงใจจริงๆครับ เมื่อวานขาเดี้ยงไป เพราะอักเสบภายใน ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากอะไร
    แต่พอลองกดจุดที่เจ็บ ไปเรื่อยๆ กลับหนักกว่าเดิม สงสัยจะช้ำ อิอิ
    พอมาอ่านข้อความของคุณ mead ก็เลยนึกถึงแพทย์จีน ที่มีหลักการว่า ถ้าตรงไหนอุดตัน ไม่ไหลเวียน ทำให้เกิดโรค ก็ให้ใช้เข็มเป็นตัวนำกระแสปราณจากสิ่งแวดล้อม เข้ามาที่จุดชีพจรที่อุดตัน เพื่อให้ระบบภายในหมุนเวียนได้อย่างคล่องตัว อาการนั้นก็หายไป
    เหมือนกับการนวดที่เรียกว่า ทุยหน่า ที่เค้าจะนวดตามจุดต่างๆ เพื่อให้เลือดมีการไหลเวียน แต่จะส่งปราณเข้าไปที่จุดที่นวดนั้นๆด้วย ผ่านนิ้วมือที่นวดสัมผัส ทำให้อาการผิดปกติต่างๆหายได้อย่างรวดเร็วขึ้น
    และวิธีสำคัญของท่านอ.อนาลัย ที่ต้องแก้ที่ความเชื่อเราก่อน ว่าเซลล์ในร่างกายเรามีประสิทธิภาพ สามารถรักษาตนเองได้เป็นอย่างดี
    หากนำมาประยุกต์รวมกันได้ทั้งหมด หายเร็วแน่ๆ เมื่อคืนลองดูแล้ว ตื่นมาวันนี้หายเดี้ยงแล้วครับ ;k07

    ขอบคุณครับคุณโมกลา คุณเดรด คุณขจรวรรณ
    เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วครับ จิตในจิตทั้งยามตื่น และจิตในจิตทั้งยามฝัน
    การฝึกไม่ยากอย่างที่คุณโมกลาว่ามา แต่การที่จะให้ต่อเนื่องและตลอดเวลานี่ซิ เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน อิอิ
    แต่อีกประเด็นที่ผมว่ายากมากๆ คือ เรื่องการตื่นแบบสมบูรณ์ยามที่เราฝัน ยังทำไม่ค่อยได้เหมือนกัน เพื่อนๆมีวิธีฝึกยังไงบ้างครับ :z4
     
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    หายไวจริงๆนะครับคุณเซลล์..ความสามารถของแพทย์จีนนี่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ
    เคยได้อ่านหนังสือที่พูดถึง"คัมภีร์อี้จิง"ของคนจีนโบราณ รู้สึกว่าน่าสนใจมากครับ (ใครมีบ้าง?)
    เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และพลังงานที่ทุกวันนี้การแพทย์สมัยใหม่ต้องหาคำตอบกันอยู่เลยครับ
    บางที่เราต้องเรียนรู้เพื่อผสมผสานเทคนิคดีๆเข้าด้วยกันนะครับ
    ทั้งความเชื่อ ความเข้าใจ six sense ว่าไปผู้ที่มีความเข้าใจกลไกเหล่านี้มากเท่าไหร่
    ก็สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ แถมยังเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดด้วยนะครับ
    เรามีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะครับเนี่ย อิอิ

    อย่าง "คัมภีร์มรกต"นั่นก็เคยอ่านบ้างแล้ว ยังรู้สึกว่าก็มีอะไรน่าค้นหาไม่ใช้น้อยครับ
    ภูมิปัญญาคนโบราณนี่มีอะไรที่ลึกล้ำแฝงอยู่มากมากเหลือเกินครับ.
    คงเพราะเขาเหล่านั้น จิตมีสมาธิ นิ่งลึกล้ำและคมชัด จนเข้าถึงแหล่งความรู้สากลได้นะครับ
    อ่านแล้วก็ได้คิดพิจารณาเพื่อต่อยอดและผสมผสานให้เข้ากันครับ มีประโยชน์จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2008
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    ;aa34

    เรื่องการตื่นแบบสมบูรณ์ในฝันนี่.. ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมันก็จะยากเพราะมีแรงต้านทานอยู่ ความเชื่อนั้นก็จะมีผลในความฝันด้วย ส่วนตัวแล้วคิดว่าปล่อยเป็นธรรมชาติไปก่อน..ควบคุมทุกอย่างมันหมดไม่สนุกครับ อิอิ แต่ก็จะพยายามก้มมองดูตัวเอง ในกระจกบ้างถ้าเห็น..(แต่ฝันที่ไรมักจะไม่ค่อยเห็นกระจกนี่สิครับ..) แต่เชื่อว่าถ้าเราควบคุมให้พูด หรือให้ทำสิ่งต่างๆได้ในฝันได้เพียงเล็กๆน้อยก็ถือว่า OK ครับ ไม่ต้องจริงจังขนาดว่าจะต้องทำได้ทั้งหมด..แต่การมีจิตของผู้สังเกตการณ์ตามไปด้วยนี่น่าจะดีกว่า.อย่างน้อยการเป็นผู้สังเกตจะมองเห็นเหตุการณ์นั้นอย่างเป็นกลางๆนะครับ..มองเห็นแบบมีสติครับ เพื่อนๆมีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้างครับ :D
     

แชร์หน้านี้

Loading...