วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตคุณwellrider ขยายตัวอักษรหน่อยนะคะ...



    ..............................................................................................


    การศึกษาเกี่ยวกับอายตนะขันธ์ 5 นิพพาน ฯลฯ พลังงานและพลังจิตล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาโดยตลอดไม่สามารถที่จะแยกเรียนรู้ เฉพาะเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวได้เลย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  2. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    รออ่านต่อค่ะ ขอโมทนากับความดีของทุกๆท่านด้วยค่ะ และ ขอมอบความรักและความปราถนาดีแก่ทุกๆท่านด้วยคนค่ะ...สาธุ
     
  3. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต้องขอโทษด้วยค่ะ... เมื่อสักครู่ได้ขออนุญาตคุณเวลไรเดอร์ ขยายตัวหนังสือหน่อย... ตอนทำเสร็จก็ว่ามาครบสมบูรณ์ดีแล้วนะคะ...

    พอคุณศรีรัตนามาสะกิด เลยลองอ่านทวนดูใหม่... เอ! หายไปไหนได้ตั้งครึ่งเรื่อง...

    ขอเอาข้อความของคุณwellrider มาขยายตัวหนังสือใหม่ให้ครบถ้วนนะคะ...


    ..................................................................


    พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ
    ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โห ซน ได้ใจจริงๆ

    เป็นปริศนาธรรมเรื่องสภาวะจิตของเราในอารมณ์ใจต่างๆนั่นเอง
     
  5. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454

    โห ยังอุตส่า หาเรื่องมาอธิบาย ได้อีก (smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  6. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ฮึ ฮึ.... ดุ๊กดิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก.... ^-^
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    มีนัยยะ ลึกมากๆครับ ต้องขอบารมีพระเพื่อตีความ
     
  9. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    สนุกค่ะ มีเรื่องมาให้คิดแก้ความสงสัยอีกละ..แล้วท่านรตะนี่มาเกิดเป็นใครกันเน้อ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาโพสต์เรื่องแนวธรรมมะเลยต้องขอโทษด้วยครับ

    วันนี้ เรามาทวนกันนิดหน่อยแล้วกันครับ

    เรื่องการปฏิบัติธรรมในแบบของฆราวาส

    เนื่องจากเราเองทุกๆคนยังอยู่ในสังคม มีอาชีพ การงานภาระต่างๆกันไปไม่มากก็น้อย

    ดังนั้นหลายๆคนจึงมีเหตุผล(หรือข้ออ้าง) ที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน ว่าไม่มีเวลาบ้าง ต้องต้านกับกระแสต่างๆบ้าง เสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอารมณ์การกระทบทางโลกในด้านต่างๆ

    แต่หากเราลองมองอีกมุมดูให้ดีๆแล้ว การที่เราอยู่ทางโลก พบกับอารมณ์กระทบต่างๆมากมาย ทั้งจากตัวเราเอง คนใกล้ตัว สภาพแวดล้อม สื่อ แต่เรายังสามารถตั้งมั่น มั่นคงในการประพฤติปฏิบัติได้ สมาธิตั้งมั่นได้ ย่อมเปรียบเหมือน อาคารอันมีรากฐานที่มั่นคงถาวร

    หากทรงตัวอยู่ได้ย่อม ไม่หวั่นไหวไปในโลกธรรมทั้งปวงได้


    ส่วนข้อที่นับว่าไม่มีเวลานั้น เราก็จงอย่าได้ไปกำหนดกฏเกณฑ์ ว่าจะปฏิบัติธรรมตอนนั้นตอนนี้ เวลานั้นเวลานี้

    เอาเป็นว่า หากมีสติเมื่อไหร่ แม้ทำกิจอะไรอยู่เราก้สามารถที่จะปฏิบัติธรรม ไปได้เมื่อนั้นเพียงนั้น

    การปฏิบัติธรรมมีรูปแบบที่หลากหลาย มากมาย มีกุศโลบายหลายอย่าง ขอให้เราจับหลักให้ได้มั่นคง หนทางก้าวหน้าในการปฏิบัติก็ย่อมปรากฏชัดแก่ใจของเราเป็นปัตจัตตัง รู้ได้ด้วยตนเองเป็นสำคัญ
     
  11. ปรสุ

    ปรสุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +838
    อาจารย์รัตน์ เจ้าของสมาธิหมุน ใช่มั้ยเอ่ย???
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออธิบายในนัยยะที่พระพุทธองค์ท่านทรงสรุปรวม ในหลักของพระพุทธศาสนาที่ท่านทรงอธิบายสำหรับผู้ใหม่ในธรรมดังนี้
    -ทำกุศลกรรม ทำความดี
    -ละบาป อกุศล
    -ทำจิตใจเราให้บริสุทธิ์

    เป็นการสรุปรวมอย่างง่ายที่สุด

    แต่ครั้นอธิบายให้ละอียดก็สามารถแยกย่อยออกไปได้ จนถึงธรรมมะชั้นสูง มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ข้อแรก การปฏิบัติของเราก็คือ การสร้างกุศล สร้างความดี มีทานเป็นบารมีต้น ตลอดไปจนถึงคุณความดีอื่นๆ ทำให้เป็นปกติ ทำให้เป็นกิจวัตร ตั้งกำลังใจของเรา ว่า หากแม้นวันใดเรายังไม่ได้ทำความดี นับว่าวันนั้นเรายังใช้ไม่ได้ ทำความดีให้เป็นปกติ เป็นเนื้อเดียวกับจิตใจของเราเอาไว้ แม้เป็นความดีของผู้อื่น เรื่องราวความดีของคนอื่นเราก็จงตั้งจิตโมทนาบุญกับความดีของเขา
    เมื่อเรามีกุศลเป็นปกติเราก็ย่อม ไม่มีที่ ไม่มีช่องว่างให้ความชั่วเข้าสู่หัวจิต หัวใจของเราได้


    ข้อที่สอง ละบาป อกุศล ออกจากทั้งกาย วาจา และใจ ข้อนี้ มีศีลบารมีเป็นบารมีต้น มีกุศลกรรมบทสิบและพรหมวิหารสี่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงคุณธรรม

    ทำกำลังใจของเราว่า เมื่อจิตใจของเราทรงอยู่ในความดีเป็นปกติแล้ว ขึ้นชื่อว่ามลทิน ความชั่วใดเราก็ย่อมไม่ปรารถนาให้แปดเปื้อนกับจิตใจของเราเด็ดขาด

    อุปมาดั่งเราถนอมรักษาผ้าขาวของเราไว้จากฝุ่นผงธุลีทั้งปวง

    ข้อนี้ แม้เพียงเรื่องราวที่เป็นความชั่วช้าใดเราก็ไม่ไปรำลึกถึง ไม่แม้จะคิดก็ตาม อย่ามาคาดถึงการลงมือทำเลย ขึ้นชื่อว่าความชั่วใด เราไม่ปรารถนา ที่จะทำ เพราะหัวจิตหัวใจของเราเต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงามปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงและส่วนรวมด้วยอำนาจของพรหมวิหารสี่อยู่เต็มหัวใจแล้วนั่นเอง

    ข้อที่พลาดกันมากก็คือการที่จิตใจของเรายังชิน ยังอเร็จอร่อยอยู่กับอารมณ์ชั่วอยู่ มัวเมากับความโลภ เผ็ดร้อนการการด่าว่า สนุกกับการนินทาว่าร้าย และที่สำคัญก็คือการเพ่งโทษโจทย์ความชั่วของผู้อื่นว่า คนนี้ เลวอย่างนี้ คนนี้ผิดอย่างนั้น
    โดยที่ลืมนึกไปว่า

    ความชั่วความเลวไม่ว่าจะเป็นของตัวเรา หรือผู้อื่นก็คือ "อกุศล"

    เมื่อเรามัวไป(หลงคิดว่า) เราหวังดีกับเขา ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ ก็เท่ากับว่า ตัวเราเองปล่อยให้ "อกุศลกรรม" ความชั่วเข้ามาอยู่เต็มหัวจิตหัวใจ เต็มปาก ของเรา กลายเป็นว่า เราเอาผ้าขาวที่เราสู้อุตสาห์ทำนุถนอมเป็นอย่างดี มาเช็ดขี้ เช็ดอุจจาระของชาวบ้านเขา

    ดังนั้นเราเองก็ย่อมต้องระมัดระวังอกุศลของเราเองและของบุคคลอื่นด้วย มองแต่ความดีของเขา แล้วโมทนาเป็นพอ ส่วนอกุศลกรรมเราวางแล้วปล่อยไปตามกฏของกรรม หากช่วยได้ช่วยด้วยพรหวิหารสี่ หากช่วยไม่ได้ไม่ใช่วิสัยก็จงปล่อยวางไป

    ส่วนข้อที่สาม คือการทำความบริสุทธิ์ของจิตนั้นเล่า คือการเจริญสมาธิทั้งสมถะวิปัสสนา เพื่อทำจิตให้สงัดจากนิวรณ์ห้าประการเป็นเบื้องต้นก่อนที่จะเจริญวิปัสสนาญาณในฌานสมาธิเพื่อการตัดสังโยชน์ทั้งสิบประการให้สิ้นไปในที่สุด

    หากเราพิจารณาดูแล้ว หลักที่พระพุทธองค์ท่านทรงวางไว้ ย่อมทำให้

    จิตของเรามีแต่บุญแต่กุศลเป็นปกติจิต
    ชำระล้างอกุศลออกไปจากจิต จนไม่เหลือที่ให้บาปอกุศล

    จนเมื่อจิตสะอาดดี ควรแก่การทั้งปวงแล้วจึง เจริญสมาธิธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเกิดทั้งปวง


    หวังว่า ธรรมมาธิบายโดยนัย อันพระอริยเจ้าสายท่านธรรมยุติท่านหนึ่ง ท่านได้เมตตามาสงเคราะห์นี้ จะพึงเกิดมรรคผล การเข้าถึงซึ่งความดีของผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยเทอญ
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697

    ดูรูปนี้แล้วเปรียบเหมือนจิตของเรานี้เอง :cool:
     
  14. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ผู้ลงมือปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
    ด้วยจิตบริสุทธิ์
    ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
    เขาคือผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
    ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านค่ะ
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเพิ่มเติมหน่อยเป็น ส่วนของเคล็ด ในการใช้คาถา "มงกุฏพระพุทธเจ้า"ครับ

    เนื่องจากตอนนี้หลายๆคนถูกรบกวนจากเจ้ากรรนายเวรกัน มีหลายรูปแบบ ซึ่งก็ปรากฏว่า ได้ใช้คาถาบทนี้กันโดยอัตโนมัติและได้ผลครับ

    คาถามี อยู่ว่า

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"

    ว่า 3 จบ 9 จบ สำหรับอานิสงค์ของคาถานี้เป็น คาถาครอบจักรวาล เรานำไปใช้ในทางกุศลได้ทุกๆเรื่อง

    โดยมีประวัติของการใช้คาถานี้มายาวนาน ส่วนใหญ่ในราชสำนัก แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5 ท่านก็ทรงพระคาถานี้เป็นประจำ มีที่ปรากฏเป้นปาฏิหาริย์ ก็ครั้งที่ ถูกทูตต่างประเทศนำ ม้าเทศตัวใหญ่แต่เป็นม้าพยศ มาท้าให้ท่าน ทรง

    พระองค์ท่านได้ใช้พระคาถานี้ เสกหญ้าให้ม้ากินก่อน ม้าตัวนั้นก็กลับเชื่องให้พระองค์ทรงม้า แต่โดยดี

    เรื่องนี้ทำให้ รัชกาลที่หก ผู้ทรงสร้างพระบรมรูปทรงม้าถวายเสด็จพ่อของท่าน ได้ทรงแฝงนัยยะ แห่งกฤษดาอภินิหารนี้เพื่อเทิดทูนพระคุณท่านเอาไว้

    คราวนี้ เรามาดูว่าเคล็ด ในการว่าคาถาบทนี้กัน

    หลักในการว่า คาถาให้มีความศักดิ์สิทธิ์นั้น มีพื้นฐานจาก "จิต" เป็นสำคัญ หากจิตมีสมาธิสูง ตั้งมั่นคาถาก็ยิ่งทรงความศักดิ์สิทธิ์

    ดังนั้นระหว่างที่ว่าคาถาให้จับลมหายใจสบายพร้อมๆกับการภาวนาคาถาบทนี้

    เป็นขั้นที่ หนึ่ง

    ระดับสูงกว่านี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านใช้คาถาบทนี้ โดยมีนิมิตรกำกับคาถา โดยทรงพุทธนิมิตรไว้ดังนี้ โดยตั้งกำลังใจว่า เราขอกราบอาราธณาบารมีพระพุทธเจ้าเสด็จประทับเหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้า เพื่อ.......ปกปักรักษาคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    จากนั้นทำตามได้เลยครับ

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    เมื่อว่าคาถาจบ คาบที่หนึ่ง ก็กำหนดอาราธณาพุทธนิมิตรอยู่เบื้องหน้าของศีรษะของเรา และทรงพุทธนิมิตรนี้เอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่สอง ก็กำหนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์หนึ่ง อยู่เบื้องขวาของศีรษะของเรา และทรงพุทธนิมิตรทั้งหมดเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่สาม ก็กำนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์อยู่ด้านหลังของศีรษะเราและทรงพุทธนิมิตรเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่สี่ ก็กำหนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์ อยู่ด้านซ้ายและทรงพุทธนิมิตรเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่ห้า ก็กำหนด พุทธนิมิตรอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของศีรษะของเราและทรงพุทธนิมิตรเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่หก ก็กำหนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และทรงพุทธนิมิตรเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่เจ็ด ก็กำหนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และทรงพุทธนิมิตรเอาไว้

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่แปด ก็กำหนดพุทธนิมิตรอีกพระองค์อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของศีรษะของเราและทรงพุทธนิมิตรเอาไว้ ทั้งแปดพระองค์เรียงวนรอบศีรษะของเรา

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    ว่าคาถาจบที่เก้า กำหนดพุทธนิมิตรพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่เสด็จประทับกึ่งกลางศีรษะเป็นยอดมงกุฏ เปร่งประกายพรึกทุกๆพระองค์เป็น มงกุฏเพชรพระพุทธเจ้าทั้งเก้าพระองค์ บนเศียรเกล้าของเรา

    เมื่อทำได้แล้ว จะเข้าใจได้ทันทีว่าคาถานี้ทำไมจึงมีชื่อว่า คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า

    และให้ทรง มงกุฏพระพุทธเจ้านี้เอาไว้ตลอดเวลา เป็นการทรงอารมณ์ในพุทธานุสติกรรมฐาน

    คืนเดียวเห็นผลมีความก้าวหน้า มาเล่าให้เพื่อนๆท่านอื่นฟังด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2008
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้ได้รับ "โปรแกรมความรัก" จากคุณรัศมีดาราทางพีเอ็ม จึงขอนำมามอบให้ทุกท่านติดตั้งในดวงจิตกันด้วยค่ะ... ขอบคุณเดียร์มากจ้ะ ที่ส่งมาให้พี่...




    โปรแกรมแห่งความรัก โหลดฟรี ๆ ๆ ๆffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>




    <O:p></O:p>
    ช่างเทคนิค สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ<O:p></O:p>
    ลูกค้า ดิฉัน สนใจ โปรแกรมความรัก คะ คุณช่วยกรุณาแนะนำได้ไหมค่ะ ว่าจะลงโปรแกรมนี่ยังงัย<O:p></O:p>
    ช่างเทคนิค ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ<O:p></O:p>
    ลูกค้า อืม....... ไม่รู้เหมือนกันค่ะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไหร่ แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมค่ะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำอย่างไรบ้างค่ะ<O:p></O:p>
    ช่างเทคนิค อันดับแรกเลย คุณต้องเปิดใจคุณก่อน คับ<O:p></O:p>
    ลูกค้า ไม่มีปัญหา ค่ะ แต่ ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาในการติดตั้งไหมค่ะ ถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้<O:p></O:p>
    ช่างเทคนิค ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับ ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่?<O:p></O:p>
    ลูกค้า เดี๋ยวขอ ดูนิดนึงนะค่ะ อืม...... ก็มีโปรแกรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2008
  17. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    ขอบคุณค่ะพี่ธร..ปุ๋มกำลังต้องการอัฟเกรดพอดีเลยค่ะช่วงนี้โปรแกรมความรักมันชักรวนๆๆ..ขอโมทนารอยยิ้มกับทุกๆท่านด้วยค่ะ
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้เรามาต่อกรรมฐาน 40 ในเรื่องของอสุภะกรรมฐาน 10 กันต่อนะคะ...

    (กรรมฐาน 40 เกือบจบแล้วนะคะ...)


    .........................................................



    คำสอนโดยสมเด็จพระอริยวงษญาณฯ พระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) (สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถือน) - พระประวัติและพระนิพนธ์



    อสุภกัมมัฏฐาน

    (๑) ข้าพเจ้าจะภาวนาพระอุทธุมาตกอสุภเจ้า เพื่อจะขอเอายังอุคคหนิมิต ในห้องอุทธุมาตกอสุภเจ้านี้จงได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ
    [เพื่อจะขอเอายังอุคคหนิมิต ในห้องอุทธุอาตกะอสุภะเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากู ฯ ล ฯ ภาวนาอยู่นี้เถิด (ได้อุคคหนิมิตแล้ว อาราธนาปฏิภาคนิมิตต่อไป)]

    (๒) ข้าพเจ้าจะภาวนาพระอุทธุมาตกอสุภเจ้า เพื่อจะขอเอายังปฏิภาคนิมิต ในห้องอุคคหนิมิตอุทธุมาตกอสุภเจ้านี้จงได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ
    [เพื่อจะขอเอายังปฏิภาคนิมิต ในห้องอุคคหนิมิตอุทธุอาตกะอสุภะเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากู ฯ ล ฯ ภาวนาอยู่นี้เถิด (อสุภอีก ๙ อย่าง พึงอาราธนาตามแบบอุทธุมาตกอสุภนี้เถิดป]


    ต่อไปนี้เป็นชื่ออสุภ ๑๐ อย่าง
    อุทธุมาตกะ ผีพอง
    วินีลกะ ผีเขียว
    วิปุพพกะ ผีน้ำหนองไหล
    วิจฉิททกะ ผีขาดสองท่อน
    วิขายิตกะ กาหมาแร้งกัดซากผีกิน
    วิขิตกะ แรกเป็นท่อนหัวขาด ตีนขาด
    หตวิขิตกะ เขาเชือดเขาตัดทั้งตัวผี
    โลหิตกะ เขาเชือดเลือดทั้งตัวผี
    ปุฬุวกะ หนอนกินซากผีตามทวารทั้ง ๙
    อัฏฐิกะ ปรากฏแต่กระดูกขาว

    อันว่ารูปาวจรปฐมฌาน ในห้องอุทธุมาตกะเจ้านี้หนา ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วืจาร ปีติ สุข เอกัคคตา บัดนี้ข้าจะภาวนา จะขอเอายังธรรมานุธรรมปฏิบัติ อันแขวนสุขุมาลเจ้านี้จงได้
    [ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ อุกาส อุกาส ] ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด นิพพาน ปัจจโย โหตุ

    อันว่ารูปาวจรปฐมฌาน ในห้องอุทธุมาตกะเจ้านี้หนา ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วืจาร ปีติ สุข เอกัคคตา บัดนี้พระอาจารย์ว่ายังหยาบนักฉะนี้ ยังมิรู้ฉิบหายรู้เกิดรู้ตาย บัดนี้ข้าจะหน่ายเสีย
    ข้าจะขอเอายังทุติยฌาน อันประกอบด้วยองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา [ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ อุกาส อุกาส ] บัดนี้ข้าจะภาวนาขอเอายังธรรมานุธรรมปฏิบัติ
    อันแขวนสุขุมาลเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด นิพพาน ปัจจโย โหตุ
    มีกำลังดังจะเหาะล่อง ภาวนาทั้ง ๒ นี้เห็นกายสองแลเห็นฟ้า


    อันว่ารูปาวจรทุติยฌาน ในห้องอุทธุมาตกะเจ้านี้หนา ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ วืจาร ปีติ สุข เอกัคคตา บัดนี้พระอาจารย์ว่ายังหยาบนักฉะนี้ ยังมิรู้ฉิบหายรู้เกิดรู้ตาย บัดนี้ข้าจะหน่ายเสีย
    ข้าจะขอเอายังตติยฌาน อันประกอบด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา [ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ อุกาส อุกาส ] บัดนี้ข้าจะภาวนาขอเอายังธรรมานุธรรมปฏิบัติ
    อันแขวนสุขุมาลเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด นิพพาน ปัจจโย โหตุ (ปีติเกิดสิ้นนั่งสบาย)


    อันว่ารูปาวจรตติยฌาน ในห้องอุทธุมาตกะเจ้านี้หนา ประกอบด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา บัดนี้พระอาจารย์ว่ายังหยาบนักฉะนี้ ยังมิรู้ฉิบหายรู้เกิดรู้ตาย บัดนี้ข้าจะหน่ายเสีย
    ข้าจะขอเอายังจตุตถฌาน อันประกอบด้วยองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา [ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ อุกาส อุกาส ] บัดนี้ข้าจะภาวนาขอเอายังธรรมานุธรรมปฏิบัติ
    อันแขวนสุขุมาลเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด นิพพาน ปัจจโย โหตุ (สบายไม่มีธุระเลย)


    อันว่ารูปาวจรจตุตถฌาน ในห้องอุทธุมาตกะเจ้านี้หนา ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา บัดนี้พระอาจารย์ว่ายังหยาบนักฉะนี้ ยังมิรู้ฉิบหายรู้เกิดรู้ตาย บัดนี้ข้าจะหน่ายเสีย
    ข้าจะขอเอายังปัญจมฌาน อันประกอบด้วยองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา [ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ อุกาส อุกาส ] บัดนี้ข้าจะภาวนาขอเอายังธรรมานุธรรมปฏิบัติ
    อันแขวนสุขุมาลเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด นิพพาน ปัจจโย โหตุ (อุเบกขา เอกัคคตาสบายไม่มีเสมอแล้ว จบฌาน)


    .................................................................




    คำสอนโดยหลวงปู่มั่น


    ๑. วิธีเจริญอุทธุมาตกะอสุภกรรมฐาน

    โยคาวจรกุลบุตร ผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานนี้ พึงไปสู่ที่พิจารณาอุทธุมาตกะอสุภนิมิตอย่าไปใต้ลม พึงไปเหนือลม ถ้าทางข้างเหนือลมมีรั้วและหนามกั้นอยู่ หรือมีโคลนตมเป็นต้น ก็พึงเอาผ้าหรือมือปิดจมูกไป เมื่อไปถึงแล้วอย่าเพ่อและดูอสุภนิมิตก่อน พึงกำหนดทิศก่อน ยืนอยู่ในทิศใดเห็นซากอสุภะไม่ถนัด น้ำจิตไม่ควรแก่ภาวนากรรม พึงเว้นทิศนั้นเสีย อย่ายืนทิศนั้น พึงไปยืนในทิศที่เห็นซากอสุภะถนัด น้ำจิตก็ควรแก่กรรมฐาน

    อนึ่งอย่ายืนในที่ใต้ลม กลิ่นอสุภะจะเบียดเบียน อย่ายืนข้างเหนือลมหม่อมนุษย์ที่สิงอยู่ในซากอสุภะจะโกรธเคือง พึงหลีกเลี่ยงเสียสักหน่อย อนึ่งอย่าใกล้นักไกลนัก ยืนไกลนักวากอสุภะไม่ปรากฏแจ้ง ยืนใกล้นักจะไม่สบายเพราะกลิ่นอสุภะและปฏิกูลด้วยซากศพ ยืนชิดเท้านัก ชิดศีรษะนักจะไม่เห็นซากอสุภะหมดทั้งกาย พึงยืนในที่ท่ามกลางตัวอสุภะในที่ที่สบาย เมื่อยืนอยู่ดังนี้ ถ้าก้อนศิลาจอมปลวกต้นไม้ หรือกอหญ้าเป็นต้น ปรากฏแก่จักษุ จะเล็กใหญ่ ขาวดำ ยาวสั้น สูงต่ำอย่างใด ก็พึงกำหนดรู้อย่างนั้นๆ

    แล้วต่อไปพึงกำหนดอุทธุมาตกะอสุภะนี้ โดยอาการ 6 อย่าง คือ สี เภท สัณฐาน ทิศ ที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานอสุภะนี้ เป็นร่างกายของคนดำ คนขาวเป็นต้น กำหนดเภทนั้น คือกำหนดว่าซากอสุภะนี้เป็นร่างกายของคนที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานนั้นคือ กำหนดว่า นี่เป็นสัณฐานศีรษะ-ท้อง-สะเอว-เป็นต้น กำหนดทิศนั้นคือ กำหนดว่า ในซากอสุภะนี้มีทิศ 2 คือ ทิศเบื้องต่ำ-เบื้องบน ท่านกายตั้งแต่นาภีลงมาเป็นทิศเบื้องต่ำ ตั้งแต่นาภีขึ้นไปเป็นทิศเบื้องบนกำหนดที่ตั้งนั้น คือกำหนดว่ามืออยู่ข้างนี้ เท้าอยู่ข้างนี้ ศีรษะอยู่ข้างนี้ ท่ามกลางกายอยู่ที่นี้ กำหนดปริเฉทนั้นคือกำหนดว่า ซากอสุภะนี้มีกำหนดในเบื้องต่ำด้วยพื้นเท้า มีกำหนดในเบื้องบนคือปลายผม มีกำหนดในเบื้องขวางด้วยหนังเต็มไปด้วยเครื่องเน่า 31 ส่วน โยคาวจรพึงกำหนดพิจารณาอุทธุมาตกะ อสุภนิมิตนี้ ได้เฉพาะแต่ซากอสุภะ อันเป็นเพศเดียวกับตน คือถ้าเป็นชาย ก็พึงพิจารณาเพศชายอย่างเดียว

    เมื่อพิจารณาอุทธุมาตกอสุภะนั้น จะนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วพึงพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ในอสุภกรรมฐานพึงสำคัญประหนึ่งดวงแก้ว ตั้งไว้ซึ่งความเคารพรักใคร่ยิ่งนัก ผูกจิตไว้ในอารมณ์คืออสุภะนั้นไว้ให้มั่นด้วยคิดว่าอาตมาจะได้พ้นชาติ ชรา มรณทุกข์ด้วยวิธีปฏิบัติดังนี้แล้ว

    พึงลืมจักษุขึ้นแลดูอสุภะ ถือเอาเป็นนิมิต แล้วเจริญบริกรรมภาวนาไปว่า อุทธุมาตกํ ปฏิกูลํ ซากศพพองขึ้น เป็นของน่าเกลียดด้งนี้ร่ำไป ร้อยครั้ง พันครั้ง ลืมจักษุดูแล้วพึงหลับ-จักษุพิจารณา ทำอยู่ดังนี้เรื่อยไป จนเมื่อหลับจักษุดู ก็เห็นอสุภะเหมือนเมื่อลืมจักษุดูเมื่อใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิตในกาลเมื่อนั้น ครั้นได้อุคคหนิมิตแล้ว ถ้าไม่ละความเพียรพยายามก็จะได้ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเห็นเป็นของพึงเกลียดพึงกลัว และแปลกประหลาดยิ่งนัก ปกิภาคนิมิตปราฏกดุจบุรุษมีกายอันอ้วนพี กินอาหารอิ่มแล้วนอนอยู่ฉะนั้น เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้ว นิวรณธรรมทั้ง 5 มีกามฉันทะเป็นต้น ก็ปราศจากสันดานสำเร็จอุปจารฌาณ และอัปปนาฌาณ และความชำนาญแคล่วคล่องในฌาณโดยลำดับไปฯ

    ๒. วิธีเจริญวินีลกอสุภกรรมฐาน วินีลกอสุภะนั้นคือซากศพกำลังพองเขียว วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วินีลกํ ปฏิกูลํ อสุภะขึ้นพองเขียวน่าเกลียดดังนี้ อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏมีสีต่างๆ แปลกกัน ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นสีแดง ขาว เขียว เจือกัน

    ๓. วิธีเจริญวิบุพพกอสุภกรรมฐาน วิบุพพกอสุภะนี้ คือซากศพมีน้ำหนองไหล วิธีปฏิบัติเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะทุกประการ แปลกแคำบริกรรมว่า วิปุพพกํ ปฏิกูลํ ซากศพมีน้ำหนองไหลน่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏเหมือนมีน้ำหนอง น้ำเหลืองไหลอยู่มิขาด ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเหมือนดั่งร่างอสุภะสงบนิ่งอยู่มิได้หวั่นไหว

    ๔. วิธีเจริญวิฉิททกอสุภกรรมฐาน อสุภะนี้ ได้แก่ซากศพที่ถุกตัดออกเป็นท่อนๆ ทั้งอยู่ในที่มีสนามรบหรือป่าช้าเป็นต้น วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วิฉิททกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนๆ น่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตปรากฏเป็นซากอสุภะขาดเป็นท่อนๆ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนมีอวัยวะครบบริบูรณ์ มิเป็นช่องขาดเหมือนอย่างอุคคหนิมิต

    ๕. วิธีเจริญวิขายิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพอันสัตว์ มีแร้ง กา และสุนัขเป็นต้น กัดกินแล้วอวัยวะขาดไปต่างๆ บริกรรมว่า วิขายิตกํ ปฏิกูลํ ซากศพที่สัตว์กัดกินอวัยวะต่างๆ เป็นของน่าเกลียด ดังนี้ร่ำไปกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเหมือนซากอสุภะ อันสัตว์กัดกินกลิ้งอยู่ในที่นั้นๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏบริบูรณ์สิ้นทั้งกาย จะปรากฏเหมือนที่สัตว์กัดกินนั้นมิได้

    ๖. วิธีเจริญวิขิตตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจร พึงนำมาเองหรือให้ผู้อื่นนำมาซึ่งซากอสุภะที่ตกเรี่ยรายอยู่ในที่ต่างๆ แล้วมากองไว้ในที่เดียวกัน แล้วกำหนดพิจารณา บริกรรมว่า วิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพอันซัดไปในที่ต่างๆ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เหมือนร่างอสุภะนั้นเอง ปฏิภาคนิมิตปรากกเหมือนกายบริบูรณ์จะมีช่องมีระยะหามิได้ฯ

    ๗. วิธีเจริญหตวิขิตตอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพึงนำเอามาหรือให้ผู้อื่นนำเอามา ซึ่งซากอสุภะที่คนเป็นข้าศึก สับฟันกันเป็นท่อนท่อนใหญ่ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ ลำดับเข้าให้ห่างกันประมาณนิ้วมือหนึ่ง แล้วกำหนดพิจารณาบริกรรมว่า หตวิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจรอยปากแผลอันบุคคลประหาร ปฏิภาคนิมิตปรากฏดังเต็มบริบูรณ์ทั้งกาย มิได้เป็นช่องเป็นระยะฯ

    ๘. วิธีเจริญโลหิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพที่คนประหารสับฟันในอวัยวะ มีมือแล เท้าเป็นต้น มีโลหิตไหลออกอยู่และทิ้งไว้ในที่ทั้งหลายมีสนามรบเป็นต้น หรือพิจารณาอสุภะที่มีโลหิตไหลออกจากแผล มีแผลฝีเป็นต้นก็ได้ บริกรรมว่า โลหิตกํ ปฏิกูลํ อสุภะนี้โลหิตไหลเปรอะเปื้อนเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจจะผ้าแดงอันต้องลมแล้วแลไหวๆ อยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอันดีจะได้ไหวหามิได้

    ๙. วิธีเจริญปุฬุวกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพของมนุษย์หรือสัตว์ มีสุนัขเป็นต้น ที่มีหนอนคลานคร่ำอยู่ บริกรรมว่า ปุฬุวกํ ปฏิกูลํ อสุภะที่หนอนคลานคร่ำอยู่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏมีอาการหวั่นไหว ดั่งหมู่หนอนอันสัญจรคลานอยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏมีอาการอันสงบเป็นอันดีดุจกองข้าวสาลีอันขาวฉะนั้นฯ

    ๑๐. วิธีเจริญอัฏฐิกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซึ่งซากศพที่เหลือแต่กระดูกอย่างเดียว จะพิจารณาร่างกระดูกที่ติดกันอยู่ทั้งหมดยังไม่เคลื่อนหลุดไปจากกันเลยก็ได้ จะพิจารณาร่างกระดูกที่เคลื่อนหลุดไปจากกันแล้วโดยมากยังติดกันอยู่บ้างก็ได้ จะพิจารณาท่อนกระดูกอันเดียวก็ได้ ตามแต่จะเลือกพิจารณา แล้วพึงบริกรรมว่า อฏฐิกํ ปฏิกูลํ กระดูกเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ถ้าโยคาวจรพิจารณาแต่ท่อนกระดูกอันเดียว อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าโยคาวจรพิจารณากระดูกที่ยังติดกันอยู่ทั้งสิ้น อุคคหนิมิตปรากฏปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นร่างกายอสุภะบริบูรณ์สิ้นทั้งนั้นฯ
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คำสอนโดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ) - กรรมฐาน - พระธรรมเทศนาหลักธรรมะฉบับรวมเล่ม


    อสุภะ ๑๐


    อีกประการหนึ่งคือ อสุภะ ๑๐ ในกรรมฐาน บางคนก็ไม่ได้สนใจทำเพราะมันหมดสมัยไป... อสุภกรรมฐาน

    อสุภะ แปลว่า สิ่งที่ไม่งาม

    อุทธุมาตกอสุภะ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด
    วินีลกอสุภะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ
    วิปุพพกอสุภะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่
    วิจฉินทกอสุภะ ซากศพที่ขาดกลาง
    วิกขายิตกอสุภะ ซากศพที่มีสัตว์แร้งกาแทะตายแล้ววันหนึ่ง ตายแล้วสองวัน ตายแล้วสามวัน แร้งกาก็จิกกิน ฉะนั้น ยื้อแย่งจิกกินกักกินกันอยู่
    วิกขิตตกอสุภะ ซากศพที่กระจุยกระจาย มีมือเท้า และศีรษะขาดไปอยู่ต่างหาก
    หตวิกขิตตกอสุภะ ซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกสับฟันกันบั่นทอนเป็นท่อนๆ
    โลหิตกอสุภะ ซากศพที่ต้องประหารด้วยศาสตราวุธ โลหิตไหลออกมา
    ปุฬุวกอสุภะ ซากศพที่มีตัวหนอนกินอยู่
    อัฏฐิกอสุภะ ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่โครงร่างกระดูกเท่านั้น


    ทั้งหมดนี้เรียกว่า อสุภะ ๑๐ ประการ หมายความว่า พวกซากศพทั้งหมดนี้ ตั้งแต่เมื่อยุคสมัยเก่าโบราณแล้ว ใครตายพระพุทธเจ้าให้เอาไปไว้ที่ป่าช้า แล้วก็นิมนต์พระไปพิจารณากรรมฐาน

    นี่เรียกว่ากรรมฐานซากศพ พระท่านก็ไปพิจารณากรรมฐานว่า นี่ศพกำลังขึ้นอืด น้ำเหลืองกำลังหยดๆ ตากำลังพอง ลิ้นกำลังแลบปลิ้นออกมา มันจะได้ปลงให้ตกว่า อนิจจังหนอ สังขารไม่เที่ยงหนอ เป็นอย่างนี้แหละหนอ... จะได้ผล จิตก็จะเป็นสมาธิ นี่เรียกว่ากรรมฐานอย่างหนึ่ง

    แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีซากศพให้เห็นเลย แล้วก็จะไม่มีการพิจารณา พระเดี๋ยวนี้จึงไม่สำเร็จมรรคผลง่ายดาย แล้วก็ไม่เจอซากศพอย่างนี้ แล้วจะไปพิจารณาได้ที่ไหน มันก็ไม่มีให้เห็น แต่เมื่อสมัยก่อนนั้นเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นี้ พระองค์ให้พระไปหมด... ไม่ต้องนิมนต์ แล้วไม่ต้องถวายปัจจัย เป็นหน้าที่ของพระที่จะต้องไปพิจารณาอสุภกรรมฐานที่ในป่าช้า... ที่ผียังเน่าอยู่ มีแร้งจิกกินอยู่

    เหมือนอย่างเมื่อสมัยก่อนที่วัดสระเกศ... แร้งลงเลยนะ ที่วัดสระเกศนี่ผีมีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มีแต่คนเป็นแร้ง ไม่มีแร้งที่จะมากินผี... แต่คนกลับกินผีแทน เดี๋ยวนี้คนกินผี คนกินผีก็หมายความว่าเก็บผีเข้าไว้สิ พอเก็บผีเข้าไว้ คนก็มาไหว์ผี คนเดี๋ยวนี้อาศัยผีนะ... ผีเดี๋ยวนี้ศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวนี้ไม่มีกรรมฐานแบบนี้แล้ว



    .........................................................


    คำสอนโดยหลวงพี่เล็ก


    สำหรับวันนี้จะว่าถึงเรื่องของอสุภกรรมฐานทั้ง 10 อย่าง คือการพิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นราคะจริตมีจิตรักสวยรักงามเป็นปกติหรือมีจิตเกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเพศเป็นปกติ

    สำหรับการพิจารณาอสุภกรรมฐานนั้น ในปัจจุบันนี้จะทำได้ยากอยู่สักหน่อยเพราะว่าไม่เหมือนสมัยก่อนที่เขาเอาศพไปทิ้งป่าช้าเฉยๆ บ้าง หรือว่าประเภทที่เรียกว่าโดนประหารชีวิต โดนฆ่าบ้าง อะไรบ้าง มันสามารถที่จะเห็นได้ง่ายสมัยนี้มันเห็นได้ยาก

    ตอนที่ผมฝึกอยู่ ผมก็ใช้พวกซากสัตว์ที่มันตายบ้างหรือว่าใช้โครงกระดูกที่เขาทำไว้สำหรับพวกนักศึกษาแพทย์บ้าง หรือไม่ก็เข้าตลาด ไปดูตามเขียงหมู ที่เขาหั่น เขาสับ เขาฟันเนื้อหมูออกมาเป็นชิ้นๆ เป็นส่วนๆ บ้าง แต่ว่าที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือได้บรรดาผี ต้องใช้คำว่าบรรดาผีที่มีความเมตตา เขาหามมาทีละศพ ทีละศพทุกคืนถ้าหากว่าได้อย่างนี้ท่านก็สามารถที่จะฝึกได้แต่ถ้าหากไม่ได้อย่างนี้บางทีก็จะลำบากอยู่สำหรับอสุภกรรมฐาน

    ถ้าหากว่าท่านพบศพที่จะพิจารณาได้ อย่างเช่นว่าซากสัตว์ก็ดี อะไรก็ดี ให้ยืนทางด้านเยื้องๆ กับเหนือลม อย่าไปยืนเหนือลมโดยตรง เพราะว่ายืนเหนือลมโดยตรง บางทีสัตว์ที่มากินซาก เช่นว่า พวกนก หรือนกแร้ง นกตะกุมอะไรเหล่านั้นหรือว่าพวกสัตว์ป่าอย่างสุนัขจิ้งจอก สุนัขป่าก็ดีแม้กระทั่งเสือ หรือว่าพวกเฮี้ย ตะกวดอะไรพวกนั้น เขาจะได้รับความลำบาก เพราะว่าถ้าเราอยู่เหนือลมตรงเขาจะได้กลิ่น เขาจะไม่กล้าเข้ามากิน หรือว่าบางประเภทเขาหวงซาก อย่างพวกเสือ พวกหมาป่าหรือพวกหมาจิ้งจอก มันจะกัดเอา จะทำร้ายเอา แล้วก็อย่าไปยืนทางใต้ลมโดยตรง ถ้ายืนทางใต้ลมโดยตรงกลิ่นมันเข้ามาเต็มที่ ถ้าไม่คุ้นชินมันจะอาเจียน หรือไม่ก็อย่างที่ผมเคยโดนคือลมมันหวน พอลมมันหวนกลับดมกลิ่นเข้าไปเต็มๆ ไม่ทราบว่ามันเป็นโทษอย่างไร ท้องเสียไปเป็นวันๆ งั้นต้องระมัดระวังให้ดี จะพิจารณาก็ยืนอยู่ในจุดที่เรียกว่าห่างสักพอสมควรกะว่าอยู่ในราวๆ สัก 4 เมตร 5 เมตร แล้วก็อยู่ด้านเยื้องๆ กับลม หรือให้อยู่ทางเหนือลมเยื้องๆไปทางซ้ายก็ได้ ทางขวาก็ได้จะได้ไม่เป็นการรบกวนสัตว์มากจนเกินไป

    มีอยู่จุดหนึ่งที่อยากจะเตือนก็คือว่า สำหรับหลายท่านที่กำลังใจเข้มแข็ง มันจะมีนิมิตหลอก ซากศพนั้นบางทีมันก็เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวนั้นบางทีมันก็เป็นอุคหนิมิต แต่บางทีมันเคลื่อนไหวในลักษณะเขาต้องการทดสอบเราบางทีศพมันลุกขึ้นมากอดเอาดื้อๆ หรือบางทีมันก็เคลื่อนไหวลักษณะยื่นมือมาจะบีบคอหรือจะอะไร ขอให้ทุกคนเข้าใจว่านั่นเป็นนิมิตที่เขามาทดสอบเท่านั้น ถ้าเราทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็จะเลิกไปเอง ดังนั้นว่าการฝึกอสุภกรรมฐาน นอกจากจะต้องทนต่ออาการต่างๆ ที่น่าขยะแขยงแล้ว ยังต้องมีความกล้าอยู่ ไม่อย่างนั้นถ้านิมิตเหล่านี้มาหลอกหรือว่ามาทดสอบเราอาจจะกลัวมาก ขนาดเสียสติไปเลยก็ได้

    เรื่องของอสุภกรรมฐานนั้นมีทั้งหมด 10 อย่าง ที่ต้องกำหนดไว้ถึง 10 อย่าง ก็เพราะว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบในลักษณะต่างๆ กัน จะได้เห็นว่าสภาพความเป็นจริงของร่ายกายที่ชอบนั้นเป็นอย่างไร

    อย่างที่ 1 เรียก *อุทุมาตกอสุภ* คือซากศพที่พองอืดอยู่ อันนี้สำหรับคนที่ชอบคนที่ประเภทที่เรียกว่าอ้วนพลี ประเภทอวบอย่างนั้น อึ๋มอย่างนี้ เจออุทุมาตกอสุภ เข้าแล้วจะรู้ ว่าจริงๆแล้วมันบวม มันพอง มันใกล้จะปริ จะพังอยู่แล้ว


    *วิเนรกอสุภ* น่ะ ซากศพที่มันเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาวเป็นต้น สังเกตดูพอศพตาย ซัก 2 วัน 3 วัน มันก็จะเริ่มเขียวๆ ขึ้นมา หรือถ้ามากกว่านั้นบางทีก็พองขึ้นมา น้ำเหลืองมากก็เป็นสีเหลือง ถ้าหากว่าเลือดมันทรงตัวอยู่ก็เป็นสีแดง เป็นต้น อันนี้สำหรับท่านที่ติดใจในสีสัน วรรณะอันผ่องใส หรือว่าแหม สาวคนนี้หน้าเด้งเหลือเกิน อย่างนี้เป็นต้นนะ เหมาะสำหรับในคนที่จะฝึกใน วิเนรกอสุภ


    *วิปุภกอสุภ* คือซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่ อันนี้เอาไว้สำหรับท่านที่ไปติดในบรรดาเครื่องสำอางค์ แหมของเข้าเอง วันนี้มาใส่น้ำหอมมากลิ่นหอมฟุ้งมาเชียว หรือไม่ก็ทาน้ำยาบำรุงผิวมา กลิ่นดีเหลือเกิน ถูกใจ เพราะเราไปดูไอ้ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่แล้วมันถูกใจใช่ไหม ต่อไปก็เป็น


    *วิสิทกอสุภ* ซากศพที่โดนฟันขาดออกเป็น 2 ท่อน อย่างสมัยก่อนเขาประหารชีวิตหรือว่ารบกัน หรืออย่างสมัยนี้นานๆ อาจจะฟลุ๊ค ไปเจอคนโดนรถชนขาดเป็นสองท่อน หรือว่าหมาโดนรถชนขาดสองท่อนเป็นต้น อันนี้สำหรับคนที่ติดใจในเนื้อหนังของคนอื่นเขา มันจะได้เห็นว่าสภาพที่แท้จริง ถึงเวลาแล้วมันไม่ได้เป็นแท่งทึบอย่างที่เราติดใจแต่ว่ามันเป็นชิ้นเป็นท่อนมีอวัยวะภายในน้อยใหญ่อยู่ ต่อไปก็เป็น


    *วิขายิทกอสุภ* ซากศพที่โดนสัตว์กิน ถึ้ง เว้าแหว่ง หรือไม่ก็ประเภทที่เรียกว่ากัดแทะจนกระทั่งเหลือเนื้อหนังติดอยู่เพียงไม่เท่าไหร่ อันนี้สำหรับคนที่ติดใจในอวัยวะบางส่วนของเขา อย่างเช่นว่าชอบในอก ชอบในเอว ชอบในสะโพก ชอบขาอ่อน ชอบน่อง ไปเจอพวกที่โดนสัตว์กัดถึ้งเป็นชิ้นๆ ตรงโน้นก็แหว่ง ตรงนี้ก็เว้า แก้มหลุดหายไปข้างหนึ่ง ริมฝีปากฉีกไปครึ่งหนึ่ง หน้าอกหายไปแถบหนึ่ง เห็นแต่ซี่โครงโผล่ขาวโพรงอย่างนี้เป็นต้น ถ้าหากว่าใครชอบใจอวัยวะเป็นส่วนๆ อย่างนี้ ก็ไปดูวิขายิตกอสุภ ต่อไปเป็น


    *วิขิกตกอสุภ* ซากศพที่ถูกเขาทิ้งนานๆ ไปก็หลุดเป็นชิ้นๆ พวกนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบอริยบท แหม สาวคนนี้เคลื่อนไหวสวยเหลือเกิน เดินอ่อนช้อยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ เหยียดแขนก็ดูดี คู้แขนก็ดูดี ก้าวไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง ดีทั้งหมด ให้ไปดูซากศพที่เขาทิ้งเอาไว้ พอนานๆ ไปแล้วมันหลุดเป็นชิ้นๆ หรือวิขิกตกอสุภ ต่อไปก็คือ


    *หัตวิขิตกอสุภ* อันนี้เป็นซากศพที่โดนฟันขาดเป็นท่อนๆ อาจจะประเภท 7 ท่อน 8 ท่อนก็ได้ อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพ หรือไม่ก็ประเภทโดนรถชนไปแล้ว ยังไม่ทันจะเก็บศพอีกคันหนึ่งมาทับซ้ำเข้าไป หลุดเป็นชิ้นๆ ไป อวัยวะภายนอก ภายใน กระจายเกลื่อนถนนเลยน่ะ หัตวิขิตกอสุภนี่สำหรับประเภทคนที่คลำดูไม่มีหางก็ใช่ได้คือขอให้มีอวัยวะครบ 32ก็เป็นชอบ ถ้าสันดานเราเป็นอย่างนี้ก็ไปดูหัตวิขิตกอสุภ ต่อไปเป็น


    *โลหิตกสอุสภ* ซากศพที่มีเลือดไหลท่วม ไหลนองไปหมด อย่างสมัยก่อนเขาฟันหัวขาดเลือดพุ่งกระฉูดขึ้นไปเป็นเมตร แล้วก็ตกลงมาอาบร่างตัวเองนองแดงเต็ม อันนี้สำหรับคนที่ติดใจในเครื่องประดับชุดสวยอย่างนั้น เครื่องประดับสวยอย่างนี้ มันไม่ได้ชอบแต่ตัวเฉยๆ มันชอบกระทั่งชุดด้วย ให้ไปดูสภาพจริงๆ ของร่างกายเป็นอย่างเนี้ย สวยไหม ต่อไปเป็น


    *คุลุวกอสุภ* คือซากศพที่มีหนอนชอนไช เน่าเละไปหมด พวกนี้สำหรับคนที่ติดในร่างกายตัวเอง ร่างกายของเราดีอย่างนั้น น่าพอใจอย่างนี้ แหม กล้ามตรงนี้สวยเหลือเกิน ติดแม้กระทั้งร่างกายตัวเอง ดูซิ มันใช่ของเราไหม ตอนนี้พวกหนอนต่างๆ มันครองสิทธิกินกระจายอยู่ตรงหน้าของเรา อันสุดท้ายคือ


    *อัฐิกอสุภ* เป็นกระดูก โครงกระดูก อย่างเช่นว่าพอมันเน่าไปนานๆ ส่วนอื่นๆ เปื่อยสลายไปหมดเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ หรืออย่างที่ผมปฏิบัติอยู่ก็คือเอาโครงกระดูกสำหรับนักศึกษาแพทย์เขามาพิจารณา อันนี้สำหรับคนที่ชอบ เวลาเพศตรงข้ามเขายิ้มแล้ว แหม ฟันสวยเหลือเกิน ให้มันดูว่าไอ้ฟัน มันก็ส่วนหนึ่งของกระดูก แล้วกระดูกทั้งหมดมันมีลักษณะเป็นอย่างนี้ อย่างนี้



    ก็สำหรับเรื่องของอสุภกรรมฐานก็มีอานุภาพในลักษณะนี้ว่าช่วยระงับความพอใจ ในรูปแบบต่างๆ ของเราคราวนี้ถ้าหากในการปฏิบัติ อุทุมาตกอสุภ เราเจอซากศพที่พองเต็มที่เลย อย่างไอ้หมาตาย มาสองวัน สามวัน หรือถ้าหากว่าแดดร้อนๆ น่ะวันเดียวเท่านั้นแหละน่ะ อืดพองสี่ขา เหยียดกางที่เดียวจะแตกจะระเบิดอยู่แล้ว เราก็ยืนในจุดที่เหมาะสมอย่างที่ว่าไป แล้วก็เริ่มกำหนดภาพนั้นเป็นนิมิต ภาวนาว่าอุทุมาตกรรม ปฏิกุลัม อุทุมาตกรรมปฏิกุุลัมว่าไปเรื่อยๆ

    ถ้าหากว่า เป็นอุคหนิมิตคือเริ่มติดตา ก็จะเห็นเป็นศพในลักษณะที่เราพิจารณาอยู่ ถ้าหากว่าเป็นปฏิภาคนิมิตคือจิตเริ่มทรงเป็นปฐมฌาน ภาพนั้นก็จะเป็นคนหรือสัตว์ที่อ้วนพลีผ่องใสเป็นปกติ เห็นอย่างกับคนทั่วๆ ไปเลย ลืมบอกไปว่าอสุภกรรมฐาน ถ้าโดยตัวของมันจริงๆ เราปฏิบัติแล้วมันจะทรงได้ประมาณปฐมฌานเท่านั้น เดี๋ยวจะบอกวิธีทำต่อให้

    สำหรับวิเนรกอสุภ ที่เราไปพิจารณาซากศพที่มันเขียว มันเหลือง มันแดง มันขาวเหล่านั้น ถ้าเป็นอุคหนิมิต ก็จะเห็นเป็นภาพปกติของมันคือเริ่มติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น แต่ว่าไอ้เรื่องหลับตา ลืมตานี่ บางคนทำง่ายเลยคิดไม่ถึง ผมเองมองซากศพครั้งแรกจำติดตาไปเจ็ด แปดวันไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะกลัวหรือว่าผีมันเจตนาจะหลอก หรือว่าในอดีตผมเคยทำได้เลยจำได้ง่ายไม่รู้ รู้แต่ว่าบางขณะมันเสียวๆ มันกลัวเหมือนกัน สำหรับวิเนรกอสุภ ถ้าหากว่า เราจับภาพนั้นอยู่แล้วเริ่มติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็นน่ะเป็นอุคหนิมิต ถ้าหากว่าเป็นสีใดสีหนึ่งมันขยายขึ้นมาจนท่วมทับสีอื่นหมด อย่างเช่นว่าสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาวก็ดี อันนี้เป็นปฏิภาคนิมิต ก็ให้ภาวนาว่า วิเนรกรรม ปฏิกุลัม วิเนรกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ พร้อมกับลมเข้าออก อย่าลืมคำภาวนาทุกอย่างต้องจับพร้อมกับลมหายใจ เข้าออกทั้งหมด

    วิปุภกอสุภ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่ เราพิจารณาแล้วก็ภาวนาว่า วิปุภกรรม ปฏิกุลัมวิปุภกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นอุคหนิมิต คือเริ่มติดตาก็จะเห็นซากศพที่เป็นน้ำเหลืองไหลอยู่ตามปกติ แต่ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต มันจะกลายเป็นศพที่น้ำเหลืองทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่น่ะ กลายเป็นศพที่ชัดเจนแจ่มใสอยู่ ไม่มีอาการหลั่งไหลของน้ำเหลืองอีก

    ต่อไปวิขิตกอสุภ ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นสองท่อน โดนรถชนขาดเป็นสองท่อนก็ภาวนาว่า วิขิตกรรม ปฏิกุลัม วิขิตกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ ถ้าอุคหนิมิต ก็จะเห็นสภาพซากศพที่ขาดเป็นสองท่อน อย่างนั้นแต่ถ้าหากเป็นปฏิภาคนิมิตอีก คราวนี้มันจะเป็นตัวสมบูรณ์ ๆ ไม่ขาดท่อน

    วิขายิตกอสุภ ซากศพที่โดนสัตว์กัด เว้าๆ แหว่งๆ กระดูกโผล่ที่นั้น เส้นเอ็นโผล่ตรงนี้ เราใช้คำภาวนาว่า วิขายิตกรรม ปฏิกุลัม วิขายิตกรรม ปฏิกุลัม พวกเราที่เข้าไปธุดงค์ ทางด้านห้วยขาแข้ง จะเจอซากสัตว์ในลักษณะนี้บ่อย เพราะว่าพวกเสือบ้าง หมาป่าบ้างมันกินทิ้งเอาไว้น่ะ อาศัยพิจารณาได้ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิต เริ่มติดตาก็จะเห็นเป็นภาพปกติ ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตก็จะเป็นลักษณะเหมือนกับคนหรือสัตว์สมบูรณ์อยู่ทั้งตัว

    วิขิตกอสุภ ซากศพที่หลุดกระจายเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ เราใช้คำภาวนาว่า วิขิตกรรม ปฏิกุลัม วิขิตกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ อุคหนิมิตก็คือเป็นซากศพที่เป็นชิ้นๆ อย่างนั้น แต่ถ้าหากเป็นปฏิภาคนิมิตจะเป็นซากศพที่สมบูรณ์ทั้งซากเหมือนกัน

    หัตวิขิตกอสุภ ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นท่อนๆ โดยรถชนขาดเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ แต่ละส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพพวกนั้น เราก็ใช้คำภาวนาว่า หัตวิขิตกรรม ปฏิกุลัม หัตวิขิตกรรม ปฏิกุลัม อุคหนิมิตก็ยังเป็นศพที่ขาดเป็นท่อนๆ อยู่ แต่ถ้าหากว่าเป็นปฏิภาคนิมิตก็จะเป็นศพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม ต่อไปก็

    โลหิตกอสุภ ซากศพที่มีเลือดไหลนองท่วมซากอยู่ ภาวนาว่า โลหิตกรรม ปฏิกุลัม โลหิตกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิต ก็จะเห็นเป็นซากศพที่มีโลหิตท่วมอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต ภาพโลหิตก็จะขยายแดงหนาทึบไปหมด ต่อไปเป็น

    กุลุวกอสุภ ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไช ยึบยับไปหมด ภาวนาว่า กุลุวกรรม ปฏิกุลัมกุลุวกรรม ปฏิกุลัม ไปเรื่อยๆ ภาพติดตาของอุคหนิมิตจะเป็นซากศพที่มีหมู่หนอนที่ชอนไชอยู่เป็นปกติด ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตมันจะลักษณะขาว เหมือนยังกับกองผ้า หรือกองสำลีที่กองอยู่จริงๆ ไอ้สีขาวๆ ก็คือไอ้สีของหนอนนั่นเอง แต่ไอ้ปฏิภาคนิมิตนี่มันจะหนาทึบลักษณะเหมือนกับสำลีก้อนใหญ่ๆ หรือไม่ก็ผ้าขาวกองใหญ่ๆ อันสุดท้ายก็คือ

    อฐิกอสุภ การพิจารณากระดูกให้ภาวนาว่า อัฐิกรรม ปฏิกุลัม อัฐิกรรม ปฏิกุลัม จับภาพกระดูกที่เป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่พวกนั้น หรือถ้าหากใช้อย่างที่ผมใช้ก็คือโครงกระดูกทั้งโครงนั้น อุคหนิมิต อาจจะน่ากลัวอยู่หน่อยคือเป็นเป็นภาพโครงกระดูกเคลื่อนไหวไปมา อาจจะเป็นกระโหลก กลิ้งไปกลิ้งมากระดูกท่อนน้อยท่อนใหญ่ ลอยไปลอยมา หรือว่าเป็นทั้งโครงอย่างที่ผมทำมันก็จะเดินเข้ามาหา หรือเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้า ถ้ากำหนดต่อไปมันก็จะกลายเป็นโครงกระดูกที่นิ่งอยู่เฉยๆ อันนั้นเป็นปฏิภาคนิมิต


    นี่คือลักษณะอสุภกรรมฐานทั้ง 10 กอง

    ถ้าเรามีโอกาสจำคำภาวนาและนิมิตของมันให้ชัดเจน ระมัดระวังไว้ ตั้งสติตัวเองไว้ให้มั่น อย่าไปกลัวมัน ยืนให้ถูกทิศ อย่าไปโดนกลิ่นของมันมากตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาไปเมื่อภาพมันเริ่มติดตาแล้วเราก็ต้องพิจารณาต่อว่า เออหนอ ร่างกายของสัตว์นี้ก็ดี ร่างกายของคนนี้ก็ดี ที่เราเห็นว่ามันคงทนมันสมบูรณ์เป็นเราเป็นของเราอยู่นี้ ที่แท้จริงไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลย ตายไปแค่วันหนึ่งสองวัน ก็บวมก็อืดก็พองขึ้นมาอย่างนี้ เริ่มมีสีเหลืองๆ เขียวๆ ขาวๆ แทรกเข้ามาตามส่วนต่างๆ ของซากศพ พอสักสี่ ห้าวัน ผิวกายก็แตกปริ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลโซมกลิ่นเหม็นตลบ จนทนไม่ได้ หรือไม่ก็หลุดขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ มีอวัยวะทั้งภายนอกและภายในกระจัดกระจายอยู่

    สิ่งที่เราเห็นมันเป็นแค่ผิวหนัง คือเปลือก ส่วนหนึ่งที่หลอกตาเราอยู่เท่านั้น ไม่ว่าจะร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี ของคนก็ดี ของสัตว์ก็ดี สภาพแท้จริงมันเป็นอย่างนี้เอง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ในที่สุดก็สลายตัวไปไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์

    แม้กระทั่งตอนตายก็อาจจะได้รับความทุกข์ทรมานคือถูกเขาฆ่า หรือว่าเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น ความทุกข์มันมีอยู่กับร่างกายนี้เป็นปกติ ถ้าเรายังไปยึดถือมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นของเราอยู่อีก ถ้าเรายังยึดถือมั่นหมายมันอยู่อย่างนี้แล้วเราก็ต้องเกิดมาอีก มาพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก มามีร่างกายที่สกปรก โสโครกเน่าเหม็นแบบนี้อีก ไปยึดติดในร่างกายของคนอื่นเขาที่สกปรกโสโครกเน่าเหม็นอย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เกิดมาอาศัยอยู่ในร่างกายที่มันเน่าเหม็นแบบนี้นี้ เกิดมาอาศัยอยู่ในโลกที่ทุกข์ยาก เร่าร้อนแบบนี้ เรายังมีความปรารถนาหรือไม่ ถ้าจิตมันบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการอีกแล้ว ไม่ใช่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการ เพราะรู้ว่าตอบอย่างนี้แล้วถูก มันเกิดจากสภาพจิตบอกตัวเองจริงๆ ว่าชื่อว่าการเกิดเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ทั้งๆ ที่สภาพความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลยเราก็ตั้งใจจับคำภาวนา เกาะภาพพระ ตั้งใจว่าถ้าหากว่าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

    ถ้าหากว่าภาพซากศพนั้นมีสีใดสีหนึ่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาวก็ตามให้จับสีสันนั้นเป็นนิมิต พร้อมกับคำภาวนากำลังจิตจะเข้าสู่ฌานสี่ได้ เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาแล้วเอากำลังใจส่วนนั้นเกาะพระนิพพานแทน ให้อยู่กับภาพพระของเรา อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราหรือว่าอยู่บนวิมารของเราในพระนิพพานตั้งใจว่าถ้ามันตายลงไปเมื่อไหร่เราขอมาอยู่พระนิพพานแห่งเดียว ถ้าทำอย่างนี้จนอารมณ์ทรงตัวเป็นปกติ ทุกวันทุกคืน กำลังใจก็รู้อยู่ว่าร่างกายนี้มันไม่ดี มันไม่สวยไม่งาม มีสภาพความเป็นจริงประกอบไปด้วยอวัยวะภายในใหญ่น้อย มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนองเป็นปกติมันเน่ามันเปื่อยเป็นปกติ เราไม่ต้องการร่างกายของเรา เราไม่ต้องการร่างกายคนอื่น เราไม่ต้องการร่างกายสัตว์อื่น เราไม่ต้องการเกิดมาทุกข์แบบนี้ เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน ถ้าจิตจดจ่ออยู่แบบนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเรา ปฏิบัติในอสุภกรรมฐานจนถึงที่สุดได้เช่นกัน

    สำหรับอีกจุดหนึ่งที่ลืมกล่าวเสียตั้งแต่ตอนแรกคือว่าถ้าเราพิจารณาในซากศพให้เลือกพิจารณาซากศพที่เป็นเพศเดียวกับตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจจะเจอลักษณะเดียวกับผมก็คือว่าสมัยนั้นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤษีลิงดำคนหนึ่ง ก็คือจ่าสุรินทร์ อยู่ที่นิติเวศ กรมตำรวจ ถึงเวลามีซากศพเข้ามาก็จะโทรศัพท์บอกพระในวัด หลวงพี่ครับมีศพเข้ามาแล้วใครจะมาพิจารณาซากศพก็รับมานะครับ ถึงเวลาก็ขออนุญาตเขาเข้าไป ปรากฏว่าศพบางศพเนี่ย สภาพมันดี อีทางนี้ไอ้ความดื้อด้านของจิตแรกๆ ใหม่ๆ เข้าไปมันก็อวกซะไม่มีแต่พอนานไปนานไป จิตมันเริ่มด้านมันจะเลือกดูแต่ไอ้ที่มันยังดีๆอยู่ ดูในอวัยวะในส่วนที่ตัวเองชอบเพราฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นไปได้ พยายามพิจารณาซากศพที่เป็นเพศเดียวกับตัวเอง เพื่อจิตที่มันดื้อจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่นได้ เรื่องสภาพดื้อของจิตนี้บางคนโชคดีเหลือเกินแค่เห็นเท่านั้นเอง ก็ประเภทที่จดจำไปตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปดูซ้ำมันคาจิตคาใจอยู่ในลักษณะที่กลัวไปเลยก็มี แต่ขณะเดียวกันบางประเภทอย่างผมเองมันดื้อมาก แรกมันก็ประเภทที่เรียกว่า ยังไง อาเจียนบ้าง น่ะ อารมณ์เกี่ยวกับกามราคะหายหดหมดเกลี้ยงไปเป็นอาทิตย์ๆ บ้างแต่พอนานๆ ไปมันกำเริมขึ้นมาใหม่ เราจะไปเลือกดูแต่ไอ้ที่มันดีๆ ในสมัยนี้ถ้าหากว่ามันหาซากศพยาก มีโอกาสเจอสัตว์ตายข้างถนนก็ดี มีโอกาสที่โยมเขาเปิดโลกศพ เพื่อจะล้างหน้าศพก็ดี หรือว่าไปธุดงค์เจอซากสัตว์อยู่ในป่า กระดูกสัตว์อยู่ในป่าก็ดีให้ฉวยโอกาสฝึกในอสุภกรรมฐานเอาไว้ พยายามทำให้คล่อง คล่องตัวถึงขนาดที่เรียกว่ามันสามารถมาช่วยเหลือเราได้ในขณะจิตหนึ่งที่เราเผลอ กระผมเองเจอมาคือว่า มีวันหนึ่งกำลังเข้ากรุงเทพ ปรากฎว่ารถวิ่งไป ๆ มันก็เป็นเวลาที่นักเรียนกำลังไปโรงเรียน เจอนักเรียนผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ ก็เออ ชอบใจน่ะ ลักษณะท่าทางของเธอแจ่มใสเหลือเกิน ไม่ได้ยินดีในสภาพของเธอ แต่ว่าเห็นเออน่ารักเนาะ ท่าทางแจ่มใสตั้งอกตั้งใจไปโรงเรียน ลูกเราหลานเราเป็นอย่างนี้ก็ดี คิดไม่ทันจะจบภาพอสุภกรรมฐานมันแทรกพรวดขึ้นมา อีคราวนี้มันมานี้แหม ลักษณะสีสัน กลิ่นอะไรมันมาครบ

    สมัยบรรดาที่ผีเขาหลอกผมนี่เขาเอามาแต่ละซากนี่สีสัน กลิ่นเกลิ่นมาครบถ้วนสมบูรณ์ บางทีเลือดไหลนองท่วมพื้นจนกระทั่งเราจะอาเจียนออกมา ในเมื่อภาพมันปรากฏพรวดขึ้นมาแทนที่มันจะไปเออดูว่าเขาน่ารัก ก็กลายเป็นจะอาเจียนขึ้นมามาแทน ต้องทำให้มันคร่องตัวให้ได้ชนิดที่ถึงเวลา มันสามารถโผล่ขึ้นมาสกัดตัวอารมณ์อกุศล ที่มันแทรกใจของเราขึ้นมาได้ทันมันถึงจะใช้ได้ หรืออย่างครูบาร์อาจารย์สายของเรา คือหลวงปู่ พริ้ง วัดบางปะกอก หลวงปู่พริ้งนี่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ปานอีกทีหนึ่ง แม้จะเกิดร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกันแต่ว่าท่านอยู่ในระดับอาจารย์ หลวงปู่ปานไปขอศึกษาจากท่าน หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวว่าหลวงพ่อพริ้งวัดบางปะกอก หรือบางมะกอกอันเดียวกัน เป็นพระที่ชำนาญในอสุภกรรมฐานที่สุด ท่านสามารถเนรมิตซากศพเป็นตัวๆ ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าให้พิจารณาได้เลย นั่นครูบาร์อาจารย์ของเราเก่งกาจ สามารถขนาดนั้น อันนั้นต้องมีความสามารถในเรื่องของอภิญญาสมาบัติเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ลำพังอสุภกรรมฐานจะให้เป็นนิมิตติดตาก็ยากแล้ว

    ในเมื่อโอกาสในการที่จะทำในอสุภกรรมฐานมันมีน้อย แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีเลยทีเดียว เราเห็นบาดแผลตามร่างกายของเรา ตามร่างกายของสัตว์ก็จับเป็นคำภาวนาได้จะเป็น วิขายิตกรรม ปฏิกุลัม วิขายิตกรรม ปฏิกุลัม ก็ได้ หรือว่าถ้ามันมีน้ำเหลืองไหลอยู่ ก็เป็น กุลุวกรรม ปฏิกุลัม กุลุวกรรม ปฏิกุลัม ขออภัย วิปุภกรรม ปฏิกุลัม ไป ก็ได้แล้วแต่เราจะพิจารณา แล้ว

    ในที่สุดอย่าลืมว่า ทุกอย่างไม่ว่าจะคน จะสัตว์สิ่งของอะไรก็ตาม มันก็เสื่อมสลาย ก็ตาย ก็พังไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัวตั้งมั่นอยู่ได้ เกิดเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น สถานที่เดียวที่พ้นตาย พ้นเกิด พ้นทุกข์ ก็คือพระนิพานอย่าลืมจุดสุดท้ายของเราจับพระนิพพานให้ได้ เกาะภาพพระให้ติด หรือว่าเกาะสีสัน วรรณะอันใดอันหนึ่งของอสุภกรรมฐาน ภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวนึกเมื่อไหร่ให้ภาพปรากฏเมื่อนั้น นึกเมื่อไหร่ให้เกิดขึ้นเมื่อนั้น มันถึงจะอาศัยได้ มันถึงจะกล่าวได้ว่าเราปฏิบัติในอสุภกรรมฐานอย่างแท้จริง

    สำหรับวันนี้เวลาก็ไม่พอแล้วให้ทุกคนคลายกำลังใจออกมา แล้วก็ตั้งใจในการสวดมนต์ ทำวัตรของเราต่อไป
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คำสอนโดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    อสุภกรรมฐาน

    อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงานรวมความแล้วได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน


    กำลังสมาธิของอสุภกรรมฐาน

    อสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่างนี้ มีกำลังสมาธิเพียงปฐมฌานเป็นอย่างสูงสุด ไม่สามารถจะทรงฌานให้มีกำลังให้สูงกว่านั้นได้ เพราะเป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์ด้านพิจารณามากกว่า


    การเพ่ง

    ใช้อารมณ์จิตใคร่ครวญพิจารณาอยู่เป็นปกติ จึงทรงสมาธิได้อย่างสูงก็เพียงปฐมฌาน เป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์คล้ายคลึงกับวิปัสสนาญาณมาก นักปฏิบัติที่พิจารณาอสุภกรรมฐาน จนทรงปฐมฌานได้ดีแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณควบคู่กันไป จะบังเกิดผลรู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์วิปัสสนาญาณได้อย่างไม่ยากนัก สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผลในทางกำจัดราคจริตเหมือนกันทั้ง ๑๐ กอง คือค้นคว้าหาความจริงจากวัตถุที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงามที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมา หลงไหลใฝ่ฝันว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน มอบหมายความรักความปรารถนาให้แก่วัตถุที่ตนหลงรัก เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฎของความเป็นจริง เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบสิ้น
    กรรมฐานนี้จะค้นคว้าหาความจริงจากสรรพวัสดุต่างๆ ที่เห็นว่าสวยสดงดงามเอามาตีแผ่ให้เห็นเหตุเห็นผลว่า สิ่งที่สัตว์และคนหลงไหลใฝ่ฝันนั้น ความจริงไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรงาม เป็นของน่าเกลียดโสโครกทั้งสิ้น กรรมฐานในหมวดอสุภกรรมฐานมีความหมายในรูปนี้ จึงเป็นกรรมฐานที่ระงับดับอารมณ์ที่ใคร่อยู่ในกามารมณ์เสียได้

    ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้ชำนาญเป็นพื้นฐานแล้วต่อไปเจริญวิปัสสนาญาณ จะเข้าถึงการบรรลุเป็นพระอนาคามีผลไม่ยากนักเพราะพระอนาคามี
    ผลเป็นพระอริยบุคคลที่มีความสงบ ระงับดับความรู้สึกในกามารมณ์ได้เด็ดขาด

    ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นในการเจริญฌานด้านที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกามารมณ์ ฉะนั้น นักปฏิบัติกรรมฐานที่มีความชำนาญในอสุภกรรมฐานจึงเป็นของง่ายในการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้บรรลุุเป็น อนาคามีผลและอรหัตตผล


    อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง

    อสุภกรรมฐาน ท่านจำแนกไว้เป็น ๑๐ อย่างด้วยกัน คือ

    ๑. อุทธุมาตกอสุภ คือ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายขึ้นบวม พองไปด้วยลม ที่เรียกกันว่า ผีตายขึ้นอืดนั่นเอง

    ๒. วินิลกอสุภ เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวที่มีผ้าสีเขียวคลุมไว้ อาศัยที่ร่างกายของผู้ตายส่วนใหญ่ก็ปกคลุมด้วยผ้า ฉะนั้น สีเขียวตามร่างกายของผู้ตายจึงมีสีเขียวมาก ท่านจึงเรียกว่า
    วินีลกะ แปลว่าสีเขียว

    ๓. วิปุพพกอสุภ เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ

    ๔. วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลาง มีกายขาดออกจากกัน

    ๕. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน

    ๖. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจายมีมือ แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง

    ๗. หตวิกขิตตกอสุภ คือซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่

    ๘. โลหิตกอสุภ คือซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ

    ๙. ปุฬุวกอสุภ คือซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่

    ๑๐. อัฏฐิกอสุภ คือซากศพที่มีแต่กระดูก

    อสุภกรรมฐานนี้ ท่านพระพุทธโฆษาจารย์เจ้า ได้พรรณนาไว้ในวิสุทธิมรรครวมเป็นอสุภที่มีอาการ ๑๐ อย่างตามที่กล่าวมาแล้ว


    การพิจารณาอสุภ
    การพิจารณาอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่างดังต่อไปนี้
    ๑. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาวหรือเป็น ร่างกายของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา
    ๒. พิจารณาโดยเพศ อย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่าซากศพ นี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่
    ๓. กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น
    ๔. กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ตามที่นิยมกันท่านให้สังเกตว่า ที่เห็นอยู่นั้นเป็นทางศีรษะ หรือด้านปลายเท้า
    ๕. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่ที่ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้
    ๖. กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์และมนุษย์นี้ มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริงตามที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคุ้งมีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือดน้ำหนองเต็มร่างกาย หาอะไรที่จะพอพิสูจน์ได้ว่า น่ารักน่าชมไม่มีเลย สภาพของ ร่างกายที่พอจะมองเห็นว่าสวยสดงดงามพอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือ หนังกำพร้าที่ปกปิด อวัยวะภายในทำให้มองไม่เห็นสิ่งโสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฏอยู่ภายในแต่ทว่าหนังกำพร้านั้นใช่ว่าจะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่คอยขัดถูแล้ว ไม่นานเท่าใดคือไม่เกินสองวันที่ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใส ก็กลายเป็นสิ่งโสโครก เหม็นสาบ
    เหม็นสาง ตัวเองก็รังเกียจตัวเอง เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ได้ พอตายแล้วยิ่งโสโครกใหญ่ร่างกายที่เคยผ่องใส ก็กลายเป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง น้ำเหลืองไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ

    คนที่เคยรักกันปานจะกลืน พอสิ้นลมปราณลงไปในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอามือเข้าไปแตะต้องก็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่จะมองก็ไม่อยากมอง มีความรังเกียจซากศพ ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่ออยู่รักและหวงแหน จะไปสังคมสมาคมคบหา สมาคมกับใครอื่นไม่ได้ ทราบเข้าเมื่อไรเป็นมีเรื่อง แต่พอตายจากกันวันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลายเป็นศัตรูกัน กลัววิญญาณคนตาย
    จะมาหลอกมาหลอน เกรงคนที่แสนรักจะมาทำอันตราย ความเลวร้ายของสังขารร่างกายเป็นอย่างนี้ เมื่อพิจารณากำหนดทราบร่างกายของซากศพทั้งหลายที่พิจารณาเห็นแล้วก็น้อมนึกถึงสิ่งที่ตนรัก คือคนที่รัก ที่ปรารถนา ที่เราเห็น ว่าเขาสวยเขางาม เอาความจริงจากซากอสุภเข้าไปเปรียบเทียบดู พิจารณาว่า คนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวยสดงดงามนั้นเขากับซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เดิมซากศพนี้ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้ เดินได้ ทำงานได้ แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวให้สวยสดงดงามได้ ทำอะไร ๆ ได้ทุกอย่างตามที่คนรักของเราทำ แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขา เราจะมานั่งหลอกตนเองว่าเขาสวย เขางาม น่ารัก น่าปรารถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเอง สิ่งที่เรามัวเมากาย เมาชีวิต หลงใหลว่า ร่างกายเราสวยสดงามวิไล ไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชมไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก นำแป้งมาทา เอาน้ำหอมมาพรมแล้วก็เอาผ้าที่เต็มไปด้วยสีมาหุ้มห่อเอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้องมองดูคล้ายบ้าหอบฟางแล้วก็ชมตัวเองว่าสวยสดงดงามลืมคิดถึงสภาพความเป็นจริง ที่เราเองก็หอบเอาความโสโครกเข้าไว้พอแรงเราเองเรารู้ว่า ในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากเราที่ชมว่าปากสวย ในปากเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของ
    เราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอบ้วนออกมาแล้ว กลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะ นี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งอย่างละ

    ต่อไปก็อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอกกายเราก็รังเกียจทั้ง ๆ ที่เป็นตัวของเราเอง นี้ก็เป็นสิ่งโสโครกที่เป็นสมบัติของเราเองอีก น้ำเลือด น้ำเหลือง ของซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไร เมื่อตายไปแล้วจากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย เขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีน้ำเลือดน้ำเหลืองหลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่า
    สวยสดงดงามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสโครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไร มาเป็นของน่ารักน่าปรารถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารักก็มีสภาพอย่างนั้น พยายามพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจจนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใดก็ตามที่เขานิยมกันว่า น่ารัก น่าชมนั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีทันใด เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความรังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้อง รังเกียจที่จะคิดว่าน่ารักน่าเอ็นดู เพราะความสวยสดงดงามเห็นผิวภายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระปัสสาวะที่เคลื่อนที่ได้พูดด้วยสนทนาด้วย ก็เห็นสภาพผู้ที่พูดจาสนทนาด้วย เป็นถุงอุจจาระปัสสาวะ และถุงน้ำเลือดน้ำหนองมาพูดคุยด้วย คิดว่าขณะนี้มีสภาพเป็นถุงน้ำเลือดน้ำหนอง มาสนทนาปราศรัยกับเราต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในที่สุด ก็จะเหลือแต่กระดูกกระจัดกระจายไปเขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมของโสโครกแล้ว แต่ถ้าจะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็พอที่จะทนรักทนชอบได้บ้าง แต่นี่เปล่าเลยท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้น
    ก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความโสโครกเท่านั้นยังไม่พอ กลับหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุกวันทุกเวลาเคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวันทุกนาที ยิ่งมากวันความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นคนหนุ่มคนสาว จากความเป็นคนหนุ่มคนสาวมาเป็นคนแก่ การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่า ยังนำเอาโรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน ปวดที่โน่น ปวดที่นี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าวมีตลอดเวลา

    อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่วสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลน กำลังวังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะดวก หูก็หนัก ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัดเต็มไปด้วยความทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษ ท่านใดก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อนความทรุดโทรมนี้ได้ ในที่สุดก็พังทลายกลายเป็นซากศพที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้ อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครกอย่างนี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความเสื่อมอย่างนี้ เป็นอนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฎธรรมดา

    พิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์อันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกายของตนเองและร่างกายของผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ หมดความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้นเห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็นอย่างนี้ท่านเรียกว่าได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนา

    เห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อหน่ายในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันเวลาขณะที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหารร่างกาย มีการประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะมีลาภแล้วลาภหมดไป มียศแล้ว ยศสิ้นไปมีสุขแล้วก็มีทุกข์มาทับถม เดี๋ยวมีคำสรรเสริญมาป้อยอ แต่ก็ไม่นานก็ถูกนินทา เป็นเหตุให้ใจเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเสื่อมโทรมของร่างกายมีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก ร่างกายร่วงโรย ความจำเสื่อม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสิ้น

    เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้ว ก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้ คือเห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ได้ ไม่ต้องการให้ปวดเจ็บเมื่อยล้าแต่มันก็จะเป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อม ใครก็ห้ามไม่ได้ไม่ต้องการตาย มันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้นี้ ท่านเรียกว่า อนัตตา แปลว่า
    เป็นสิ่งเหลือวิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปล อนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเราจริงแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่

    อารมณ์ที่เห็นว่า ร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียนเป็นซากศพแล้ว ยังไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในการทรงสังขารร่างกาย เบื่อที่จะเกิดต่อไป เพราะถ้าเกิดมีร่างกายในภพใด ร่างกายก็จะมีสภาพโสโครกสกปรกเป็นซากศพและไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้อย่างนี้อีก ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด เป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ ถ้าท่านคิดใคร่ครวญในรูปสมถะให้เห็นซากศพอยู่เสมอ และใคร่ ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป คือ เมื่อเกิดความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้ หรืออารมณ์ที่ ไม่พอใจหรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน ท่านก็วางใจเฉยเสียไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน โดยคิดว่านี่เป็นเรื่องของธรรมดาเกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วลาภมันก็เสื่อมได้ มียศแล้วยศมันก็สิ้นได้ มีสุขแล้วทุกข์มันก็มีได้ มีคนสรรเสริญแล้วคนนินทาก็มีได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ๆ จนจิตชินต่ออารมณ์ มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้ ท่านเรียกว่าได้สังขารุเปกขาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว หมั่นคิดนึกไปเสมอ ๆ ถึงร่างกายที่มี สภาพเป็นซากศพร่างกายที่ไม่มีอะไรแน่นอนจนจิตคิดเป็นปกติว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรมชั่วครู่ คือรักษาศีล ๕ ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ คือ ใคร่ครวญปรารถนาแต่พระนิพพานไม่ต้องการความเกิดต่อไปอีก อย่างนี้ท่านว่าทรงคุณได้ในระดับพระโสดาบัน

    ฉะนั้น ขอให้นักปฏิบัติที่ปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน จงอุตส่าห์พยายามกำหนดพิจารณาให้ขึ้นใจจนได้ปฏิภาคนิมิตในที่สุด แล้วรักษานิมิตนั้นไว้อย่าให้เสื่อม ต่อไปก็ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ภายในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่า พิจารณากำหนดรู้ นิมิตในอสุภกรรมฐาน

    อสุภกรรมฐานก็มีนิมิตเป็นเครื่องกำหนดในการเข้าถึงเหมือนกสิณ แต่ต่างจากกสิณตรงที่เอารูปซากศพเป็นนิมิต ไม่ยกเอาธาตุหรือสีภายนอกเป็นนิมิต นิมิตในอสุภนี้ก็มีเป็นสองระดับเหมือนกัน คือ
    ๑. อุคคหนิมิต ได้แก่ นิมิตติดตา คือ รูปเดิมที่กำหนดจดจำไว้ และ
    ๒. ปฏิภาคนิมิตได้แก่ นิมิตที่เป็นอัปปนาสมาธิ คือ รูปต่างจากภาพเดิมดังจะได้ยกมาเขียนไว้ดังต่อไปนี้


    ๑. อุทธุมาตกอสุภ

    อสุภที่มีร่างกายขึ้นอืดพอง อสุภนี้เมื่อเริ่มปฏิบัติ เมื่อเห็นภาพอสุภที่เป็นนิมิต ท่านให้กำหนดรูปแล้วภาวนา " อุทธุมาตะกัง ปะฏิกุลัง " ภาวนาอย่างนี้ตลอดไป เมื่อเพ่งพิจารณา จนจำรูปได้ชัดเจนแล้ว ให้หลับตาภาวนาพร้อมด้วยกำหนดจดจำรูปไปด้วยตามที่กล่าวไว้แล้วใน กสิณ จนรูปอสุภนั้นติดตาติดใจ จะนึกเมื่อไรก็เห็นภาพนั้นได้ทันที ภาพนั้นเกิดขึ้นแก่จิต คือ อยู่ใน
    ความทรงจำ ไม่ใช่ภาพลอยมาให้เห็นเหมือนภาพที่ลอยในอากาศ เกิดจากการกำหนดรู้โดยเฉพาะ เมื่อภาพนั้นติดใจจนชินตามที่กำหนดจดจำไว้ได้แล้ว ท่านเรียกว่า " อุคคหนิมิต " แปลว่านิมิตติดตา

    สำหรับปฏิภาคนิมิตนี้ รูปที่ปรากฏนั้นผิดไปจากเดิม คือรูปเปลี่ยนไปเสมือนคนอ้วนพีผ่องใสผิวสดสวย อารมณ์จิตใจเป็นสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ท่านเรียกว่าเข้าถึง อัปปนาสมาธิ ได้ปฐมฌาน


    ปฏิภาคนิมิตกำจัดนิวรณ์ ๕

    นิวรณ์ ๕ ก็คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธิ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ตามที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง เมื่อท่านนักปฏิบัติทรงสมาธิได้ถึง อัปปนาสมาธิ มีนิมิตเข้าถึงปฏิภาค คือเข้าถึงปฐมฌานแล้ว นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการก็ระงับไปเอง ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนว่าด้วยฌาน


    ๒. วินีลกอสุภ

    อสุภนี้ ปกติพิจารณาสี มีสีแดง สีเขียว สีขาวปนกัน เมื่อขณะกำหนดภาวนาว่า "วินีละกัง ปะฏิกุลัง" จนภาพนิมิตที่มีสี แดง ขาว เขียว เกิดติดตาติดใจคละกันอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุคคหนิมิต
    ต่อไปถ้าปรากฏว่าในจำนวนสีสามสีนั้น สีใดสีหนึ่งแผ่ปกคลุมสีอีกสองสีนั้นจนหนาทึบปิดบังสีอื่นหมดแล้วทรงสภาพอยู่ได้นาน ท่านเรียกนิมิตอย่างนี้ว่า ปฏิภาคนิมิต ทางสมาธิเรียกว่าอัปปนาสมาธิ ทางฌานเรียกว่า ปฐมฌาน


    ๓. วิปุพพกอสุภ

    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาน้ำเหลืองน้ำหนองเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า" วิปุพพะกัง ปะฏิกุลัง"จนเกิดอุคคหนิมิต อุคคหนิมิตของอสุภนี้มีลักษณะดังนี้ ปรากฏเห็นเป็นน้ำหนองไหลอยู่เป็นปกติสำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีสภาพเป็นนิมิตตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่มีอาการไหลออกเหมือนอุคคหนิมิต


    ๔. วิฉิททกอสุภ

    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ขณะพิจารณา ให้ท่านภาวนาว่า " วิฉิททะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ท่านว่ามีรูปซากศพขาดเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูปเป็นบริบูรณ์ เสมือนมีอวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์


    ๕. วิกขายิตกอสุภ

    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาอสุภที่ถูกสัตว์กัดกินเป็นซากศพที่แหว่งเว้าทั้งด้านหน้าหลัง และในฐานต่างๆ ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " วิกขายิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นรูปซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นรูปซากศพที่มีร่างกายบริบูรณ์


    ๖. วิกขิตตกอสุภ

    วิกขิตตกอสุภนี้ ท่านให้รวบรวมเอาซากศพที่กระจัดกระจายพลัดพรากกันในป่าช้า มาวางรวมเข้าแล้วพิจารณา ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้ " วิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง "สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ มีรูปเป็นอสุภนั้นตามที่นำมาวางไว้ วางไว้รูปอย่างไร อุคคหนิมิตก็มีรูปร่างอย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น เห็นเป็นรูปมีร่างกายบริบูรณ์ไม่บกพร่อง จะได้มีช่องว่างก็หามิได้


    ๗. หตวิกขิตตกอสุภ

    ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนๆ แล้วเอามาวางห่างกันท่อนละ ๑ นิ้ว แล้วเพ่งพิจารณา ขณะพิจารณาท่านให้ภาวนาว่า " หะตะวิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับนิมิตคืออุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นปากแผลที่ถูกสับฟัน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นร่างบริบูรณ์ จะปรากฏริ้วรอยที่ถูกสับฟันนั้นหามิได้


    ๘. โลหิตกอสุภ

    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกประหาร มีมือเท้าขาดเลือดไหล ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า "โลหิตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเหมือนผ้าแดงที่ถูกลมปลิวไสวอยู่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นสีแดงนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว


    ๙. ปุฬุวกอสุภ

    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ตายมาแล้วสองสามวัน มีหนอนคลานอยู่บนซากศพนั้น ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " ปุฬุวะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตใน อสุภนี้ ปรากฏเป็นรูปซากศพที่มีหนอนคลานอยู่บนซากศพ แต่สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นภาพนิ่งคล้ายกองสำลีที่กองอยู่เป็นปกติ


    ๑๐. อัฏฐิกอสุภ

    อัฏฐิกอสุภนี้ ท่านให้เอากระดูกของซากศพเท่าที่พึงหาได้ จะเป็นกระดูกที่มี เนื้อ เลือด เส้น เอ็น รัดรึงอยู่ก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกล้วนก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกบางส่วนของร่างกายมี เพียงส่วนน้อยหรือท่อนเดียวก็ตาม เอามาเป็นวัตถุพิจารณา เวลาพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้ " อัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอัฏฐิกอสุภนี้ จะมีรูปเป็นกระดูกเคลื่อนไหวไปมา
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้น จะมีสภาพเป็นกระดูกวางเฉยเป็นปกติ

    (จบนิมิตในอสุภ ๑๐ อย่างเพียงเท่านี้)



    การพิจารณา

    การเพ่ง
    เมื่อจะเข้าไปเพ่งดูซากศพ ท่านให้เข้าไปยืนไม่ให้ห่างเกินไป และไม่ชิดเกินไป การยืน อย่ายืนใต้ลม เพราะกลิ่นอสุภจะทำให้ไม่สบาย จะเกิดการอาเจียน และเดือดร้อน เพราะกลิ่นอาจทำ ให้เกิดโรค มีอาการทางท้อง หรือปวดศีรษะได้ อย่ายืนเหนือลมเกินไปเพราะพวกอมนุษย์ที่กำลังกัดกินเนื้ออสุภนั้นจะโกรธ จงยืนเฉียงอสุภด้านเหนือลม ลืมตาเพ่งจดจำรูปอสุภ นั้นด้วย สี สัณฐานอาการที่วางอยู่ จำให้ได้ครบถ้วน แล้วหลับตานึกถึงภาพนั้น ถ้าภาพนั้นเลอะเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่จำได้แล้วก็หลับตานึกคิดถึงภาพนั้นใหม่ เมื่อจำได้แล้วให้กลับมาที่อยู่ นั่งเพ่งรูปอสุภนั้นให้ติดตาติดใจ จนภาพนั้นเกิดเป็นอุคคหนิมิต คือภาพที่เห็นมานั้นติดอารมณ์อยู่เสมอ จะหลับตาหรือลืมตา ก็คิดเห็นภาพนั้นเป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าได้อุคคหนิมิต คือนิมิตติดตา คือติดใจนั่นเอง
    ต่ออารมณ์ที่กำหนดนั้นมั่นคงแจ่มใสขึ้น ภาพที่จำได้นั้นมีสภาพแจ่มใสชัดเจนคล้ายกับ เห็นด้วยตา และภาพนั้นก็มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากรูปเดิม มีสภาพผุดผ่องเป็นร่างบริบูรณ์ หรือผ่องใสกว่าภาพที่เพ่งมา อย่างนี้ท่านเรียกว่าปฏิภาคนิมิต


    พิจารณา
    การเจริญอสุภกรรมฐาน ต้องหนักไปในทางพิจารณา เพราะถ้าใช้แต่การเพ่งจำภาพเฉยๆ จะกลายเป็นกสิณไป ในขณะที่เพ่งจำภาพนั้น ท่านให้พิจารณาพร้อมๆ กันไปด้วย โดยพิจารณาตามความรู้สึกที่แท้จริงว่า อสุภ คือซากศพนี้ เป็นของน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีอะไรเป็นที่น่ารักน่าปรารถนาเลย ร่างกายคนและสัตว์ทั้งสิ้น มีสภาพน่าสะอิดสะเอียนอย่างนี้ แล้ว
    น้อมภาพนั้นเข้าไปเทียบเคียงกับคนที่มีชีวิตอยู่ โดยคิดแสวงหาความเป็นจริงว่า ร่างที่เพริศพริ้งแพรวพราวไปด้วยทรวดทรง และตระการตาไปด้วยเครื่องประดับนั้น ความจริงไม่มีอะไรสวยงามเลย ภายใต้หนังกำพร้ามีแต่ความโสโครก น่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน เลอะเทอะโสมมไปด้วยกลิ่นคาวที่เหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณร่างกาย ไม่มีส่วนใดที่จะหาว่า สะอาด น่ารัก แม้แต่น้อยหนึ่ง
    ก็หาไม่ได้ เมื่อเทียบกับร่างของผู้อื่นแล้วก็เอามาเทียบกับตนเอง พิจารณาให้เห็นชัดว่า เราเองก็เป็นซากศพเคลื่อนที่ เป็นผีเน่าเดินได้ดี ๆ นั่นเอง ซากศพนี้มีสภาพเช่นใด เราเองก็มีสภาพเช่นนั้นที่ยังมองไม่ชัดเพราะหนังกำพร้าหุ้มห่อไว้ แต่ทว่าสภาพที่เลอะเทอะน่าเกลียดโสโครกนี้ใช่ว่าจะพ้นการพิจารณาใคร่ครวญของท่านผู้มีปัญญาก็หาไม่ ความจริงสิ่งโสโครกที่ปรากฏภายในก็หลั่งไหลออกมาปรากฏทุกวันคืน เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด เสลด น้ำหนอง เหงื่อไคล

    สิ่งเหล่านี้เมื่อหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย เราเองผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้องเพราะรังเกียจว่าเป็นสิ่งสกปรกโสโครก ความจริงสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในกายของเราเอง ฉะนั้นอสุภ คือ สิ่งที่น่าเกลียดนี้มีอยู่ในร่างกายของเราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เราก็คือส้วมเคลื่อนที่หรือป่าช้า ที่บรรจุซากศพเคลื่อนที่นั่นเองที่ยังไม่ปรากฏแก่ตาชาวโลกก็เพราะหนังกำพร้ายังหุ้มไว้ ถ้าหนังกำพร้าขาดเมื่อไร เมื่อนั้นแหละความศิวิไลซ์ก็จะสิ้นซากเมื่อนั้น สภาพที่แท้จริง
    จะปรากฏเช่นซากศพที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ จงพยายามพิจารณาให้เห็นชัดเจนตามความเป็นจริง

    ก่อนพิจารณาต้องเพ่งรูปให้อารมณ์จิตมีสมาธิสมบูรณ์บริบูรณ์เสียก่อน เมื่อพิจารณาเห็นว่าตนของตนเองไม่สวยไม่งามแล้ว ก็เห็นคนอื่นว่าไม่สวยไม่งามได้ง่าย การเห็นตนเองเป็นความเห็นที่เกิดได้ยาก แต่ถ้าพยายามฝึกฝนเสมอ ๆ แล้ว อารมณ์จะเคยชิน จะเห็นว่าการพิจารณาตนนี้ง่าย เมื่อเห็นตนแล้วก็เห็นคนอื่นชัด ถ้าเห็นตนชัดว่าไม่มีอะไรสวย เพราะมีแต่ของน่าเกลียดโสโครก เราก็มองเห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้น พยายามทำให้ชิน ให้ขึ้นใจจนมองเห็นไม่ว่าใคร
    มีสภาพเป็นซากศพ ตัดความกำหนัดยินดีในส่วนกามารมณ์เสียได้แล้วชื่อว่าท่านได้อสุภกรรมฐาน

    ในส่วนของสมถภาวนาแล้ว การได้อสุภกรรมฐานในส่วนสมถะนี้เป็นผลได้ที่อยู่ในสภาพง่อนแง่นคลอนแคลน อารมณ์ความเบื่อหน่ายจะเสื่อมทรามลงเมื่อไรก็ได้ เพราะปกติของอารมณ์จิตมีปกติฝักใฝ่ฝ่ายต่ำอยู่แล้ว หากไปกระทบความยั่วยุเพียงเล็กน้อย อารมณ์ฌานเพียงแค่ปฐมฌานก็จะพลันสลายตัวลงอย่างไม่ยากนัก เพื่อรักษาอารมณ์ฌานที่หามาได้ยากอย่างยิ่งนี้ไม่ให้เสื่อมเสียไป เมื่ออารมณ์จิตหมด ความหวั่นไหวนี้ ท่านให้ใช้วิปัสสนาญาณเข้าสนับสนุน
    เพื่อทรงพลังสมาธิให้มั่นคง เพราะฌานใดที่ได้ไว้แล้ว และมีอารมณ์วิปัสสนาญาณสนับสนุน ฌานนั้นท่านว่าไม่มีวันที่จะเสื่อมสลายการเจริญวิปัสสนาญาณต่อจากอสุภฌานนี้ ท่านสอนให้พิจารณาดังต่อไปนี้


    ยกนิมิตอสุภเป็นวิปัสสนา
    ธรรมดาของนิมิตที่เกิดจากอารมณ์ของสมาธิ จะเป็นนิมิตของอุปจารฌานหรือที่เรียกว่าอุคคหนิมิต หรือขั้นอัปปนาสมาธิ ที่เป็นอารมณ์ปฐมฌานก็ตาม จะเกิดยืนสภาพตลอดกาลตลอดสมัยนั้นไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วชั่วครู่ชั่วพักก็หายไป ทั้งนี้ก็เพราะจิตไม่สามารถจะทรงสมาธิไว้ได้นานมากนัก
    จิตก็จะเคลื่อนจากฌาน ตอนที่จิตเคลื่อนจากฌานนี่แหละภาพนิมิตก็จะเลือนหายไป ถ้าต้องการเห็นภาพใหม่ ก็ต้องตั้งต้นสมาธิกันใหม่ ถ้าประสงค์จะเอานิมิตเป็นวิปัสสนา เมื่อเพ่งพินิจอยู่ พอนิมิตหายไปก็ยกอารมณ์เข้าสู่ระดับวิปัสสนาโดยพิจารณาว่า นิมิตนี้ เราพยายามรักษาด้วยอารมณ์ใจ โดย
    ควบคุมสมาธิจนเต็มกำลังอย่างนี้ แต่นิมิตนี้จะได้เห็นใจเรา จะอยู่กับเราโดยที่เราหรืออุตสาห์ประคับประคองจนอย่างยิ่งอย่างนี้ นิมิตนี้จะเห็นอกเห็นใจเราก็หาไม่ กลับมาอันตรธานหายไปเสียทั้ง ๆ ที่เรายังต้องการ ยังมีความปรารถนา นิมิตนี้มีสภาพที่จะต้องเคลื่อนหายไปตามกฎของธรรมดาฉันใดชีวิตของสัตว์ทั้งหลายที่มีความเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีอันตรธานไปในที่สุด ฉะนั้น ความไม่เที่ยงของชีวิตที่มีความเกิดขึ้นนี้ มีความตายเป็นที่สุด เช่นเดียวกับนิมิตนี้ ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร เป็นสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม ต่างก็มีความไม่เที่ยงเสมอเหมือนกันหมดเมื่อเกิดแล้วก็มีอันที่จะต้องตายเหมือนกันหมด เอาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย เมื่อความไม่เที่ยงมีอยู่ความทุกข์ก็ต้องมี เพราะการต้องการให้คงอยู่ยังมีตราบใด ความทุกข์ก็มีอยู่ตราบนั้น เพราะ
    ความปรารถนาให้คงอยู่โดยไม่ต้องการให้เสื่อมสิ้นนั้น เป็นอารมณ์ที่ฝืนต่อกฎของความเป็นจริง

    การทรงชีวิตนั้น ไม่ว่าจะทรงอยู่ในสภาพใด ๆ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะทุกข์จากการแสวงหาอาหาร และเครื่องอุปโภคมาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บรบกวนทุกข์เพราะไม่อยากให้ของรักของชอบใจ แม้ในที่สุดชีวิตที่จะต้องแตกทำลายนั้นต้องอันตรธานไปความปรารถนาที่ฝืนความจริงตามกฎธรรมดานี้เป็นเหตุของความทุกข์ แต่ในที่สุดก็ฝืนไม่ไหว
    ต้องแตกทำลายอย่างนิมิตอสุภนี้เหมือนกัน นิมิตอสุภนี้ เดิมทีก็มีปัญจขันธ์เช่นเรา บัดนี้เขาต้องกระจัดพลัดพรากแตกกายทำลายขันธ์ออกเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่อย่างนี้ ความที่ขันธ์เป็นอย่างนี้ เขาจะมีความปรารถนาให้เป็นอย่างนี้ก็หาไม่ แม้เขาจะฝืนอย่างไร ก็ฝืนกฎธรรมดาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องสลายอย่างนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลก เป็น อนัตตา คือไม่มีอะไรทรงสภาพ ไม่มีใครบังคับการสิ้นไปของชาวโลกนั้นเป็นความจริง สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีความทุกข์์มีแต่ความสุขทรงสภาพปกตินั้นมีพระนิพพานแห่งเดียว

    ผู้ที่จะถึงพระนิพพานได้ ท่านปฏิบัติอย่างเรานี้ ท่านเห็นสังขารทั้งหลายเป็นของน่าเกลียด เห็นสังขารทั้งหลายเป็นแดนของความทุกข์ เพราะกิเลสและตัณหาปกปิดความรู้ความคิด สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ท่านไม่ยึดมั่นในสังขาร
    ท่านเบื่อในสังขาร โดยท่านถือว่าธรรมดาของการเกิดมามีสังขารต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ ท่านไม่ปรารถนาการเกิดอีก ท่านไม่ต้องการชาติภพใดๆ อีก ท่านหวังนิพพานเป็นอารมณ์ คือท่านคิดนึกถึงพระนิพพานเป็นปกติ ไม่มีอารมณ์รัก ความเกิด รักสมบัติ รักยศ รักสรรเสริญ ไม่รักแม้แต่สุขที่เกิดแต่ลาภที่ได้มาโดยชอบธรรม ท่านตัด ฉันทะ ความพอใจในโลกทั้งสิ้น ท่านตัด ราคะ ความกำหนัดยินดีในโลกทั้งสิ้น ท่านพอใจในพระนิพพาน เมื่อทรงชีวิตอยู่ท่านก็ทรงเมตตาเป็นปุเรจาริกคือมีเมตตาเป็นปกติ ท่านไม่ติดโลกามีสคือสมบัติของโลก ท่านที่เข้า พระนิพพานท่านมีอารมณ์เป็นอย่างไร บัดนี้เราผู้เป็นพุทธสาวกก็กำลังทรงอารมณ์อย่างนั้นเราเห็นความไม่เที่ยงของสังขารแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราเห็นความทุกข์เพราะการเกิดแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราเห็นอนัตตาแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราจะพยายามตัดความไม่พอใจในโลกามีสทั้งหมดเพื่อได้ถึงพระนิพพานเป็นที่สุด

    จงคิดอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้เนืองๆ ทุกวันทุกลมหายใจเข้าออกท่านจะเข้าถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน พระนิพพานเป็นของมีจริง พระนิพพานเป็นสุขไม่มีทุกข์เจือปน ผู้ที่มีจิตผูกพันพระนิพพานเป็นปกติ จะมีความสุขในสมัยที่ทรงชีวิตอยู่ ความสุขนี้อธิบายให้สมเหตุสมผลไม่ได้ เพราะเป็นสุขประณีต สุขยิ่งกว่าความสุขใด ๆ ที่เจือด้วยอามิส ท่านที่เข้าถึงแล้วเท่านั้นที่ท่านจะทราบความสุขใจของท่านที่เข้าถึงพระนิพพานได้จริง ขออธิบายวิปัสสนาญาณโดยอาศัยนิมิตอสุภกรรมฐานเป็นบาทไว้โดยย่อเพียงเท่านี้ ขอนักปฏิบัติจงคิดคำนึงเป็นปกติ ท่าน จะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างคาดไม่ถึง


    ภาพประสาทหลอน
    นักปฏิบัติกรรมฐานในอสุภกรรมฐานนี้ มักจะถูกอารมณ์อย่างหนึ่งที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอ อารมณ์ที่คอยหลอกหลอนนั้นคืออารมณ์อุปทาน อารมณ์อุปทานนี้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าจะถูกอสุภคือซากศพนั้นคอยหลอกหลอน การที่ออกไปเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาอสุภ ก็ดี หรือกำลังที่พิจารณาอสุภอยู่ที่วิหารก็ดี ในกาลบางครั้งอารมณ์จะหลอนตนเองว่าเหมือนมี ภาพซากศพที่
    พิจารณานั้นบ้างมีภาพปีศาจจากที่อื่นบ้างแสดงอาการต่างๆ จะเข้ามาทำร้ายตน บางรายถึงกับตกใจกลายเป็นคนเสียสติไปก็มี ที่เป็นดังนี้ความจริงซากศพนั้นไม่ได้หลอกหลอน ผีปีศาจอื่นใดก็มิได้หลอกหลอน ที่เป็นดังนั้นก็อาศัยอุปทาน การยึดถือเดิมที่มีประจำจิตใจคนเรามาแต่อดีตว่าผีทำร้ายหลอกหลอน

    ถ้าอารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านให้ตัดใจว่านี่เราจะฝึกเพื่อมรรคผลความดีเพื่อพ้นจากทุกข์ ซากศพที่ตายแล้วไม่มีวันจะลุกขึ้นมาทำร้ายได้ และปีศาจใดที่จะทำอันตรายแก่ พระโยคาวจรอย่างเรานี้ก็ไม่มี พระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านได้สำเร็จมรรคผลนับไม่ถ้วน ไม่มีพระอริยเจ้าแม้แต่องค์เดียวที่ท่านไม่ได้ เจริญอสุภกรรมฐานแล้วสำเร็จมรรคผลทุกท่านต่างก็สำเร็จมรรคผลมาด้วยผ่านการเจริญอสุภกรรมฐานมาแล้วทั้งสิ้น ทุกท่านผ่านมาได้ไม่มีอันตรายต่อชีวิต เพราะซากศพหรือปีศาจเลย ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเรานี้เป็นภาพประสาทหลอนเป็นอารมณ์ ของอุปทาน ไม่มีอะไรจริงจัง แล้วตัดใจปฏิบัติต่อไปด้วยการทรงสมาธิมั่นเพียงเท่านี้ภาพหลอนที่เห็นนั้นก็จะอันตรธานหายไป บางรายตัดสินใจด้วยเอาชีวิตเป็นเดิมพันคือจะเห็นภาพหลอกหลอน
    หรือเกิดอารมณ์กลัวขึ้นมาก็ตามท่านตัดสินใจ เชิญเถิด ถ้าเราจะต้องตายเสีย ในระหว่างปฏิบัติความดีนี้จะตายเมื่อสิ้นลมปราณก็ดี จะตายเพราะถูกปีศาจทำอันตรายก็ดี เราพร้อมที่จะตาย เพราะเราไม่ ปรารถนาการเกิด และไม่ปรารถนาจะอยู่คู่กับโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เต็มไปด้วยความทุกข์ มีแต่ความหลอกหลอนปลิ้นปล้อน หาความจริงที่เป็นเหตุของความสุขไม่ได้ ใครต้องการชีวิตก็เชิญเถิดแล้วท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย จะมีเสียงมีอาการอะไรปรากฏท่านไม่สนใจ เท่านี้ ภาพหลอนและอารมณ์กลัวก็จะหายไป ท่านก็กลับได้สมาธิตั้งมั่นอย่างคาดไม่ถึงและมีผลทางวิปัสสนาญาณอย่างเลิศ ท่านที่ตัดสินใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันนี้ นอกจากจะหมดความกลัวแล้ว ถ้าทำถูกทางรู้สึกว่าฌานและวิปัสสนาญาณไม่มีอะไรยากสำหรับท่าน ทำได้ดี ได้รับผลรวดเร็วเกินกว่า
    ที่คาดคิดไว้ ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจและนำไปปฏิบัติท่านจะได้รับผลสมความตั้งใจ


    ภาพหลอน

    นอกจากอารมณ์หลอน ก็ยังมีภาพหลอนอีก ภาพหลอนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เป็นภาพที่น่ารัก เป็นภาพคนสวยๆ บ้าง เป็นเทวดาบ้างเป็นภาพปราสาท หรือวิมานบ้างเมื่อปรากฏขึ้นก็สร้างอารมณ์ปลาบปลื้มแก่ท่านที่ได้เห็น ขอเตือนนักปฏิบัติว่าภาพอื่นนอกจากภาพนิมิตที่ท่านกำหนดไว้เดิมแล้วท่านอย่าสนใจเป็นอันขาด เพราะจะทำให้จิตซ่านออกจากอารมณ์สมาธิเป็นภาพลวงตาจงรักษาแต่ภาพนิมิตที่กำหนดแล้วเท่านั้น จงทิ้งภาพอื่นเสียเพราะจะทำให้สมาธิเสีย


    ความมุ่งหมายในอสุภ

    อสุภกรรมฐานนี้ ท่านสอนไว้ถึง ๑๐ อย่าง ก็ด้วยมีความมุ่งหมายดังต่อไปนี้

    ๑. อุทธุมาตกอสุภ ท่านสอนไว้เพื่อเป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดีในทรวดทรงสัณฐาน เพราะอสุภกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นเนื้อแท้ของทรวดทรงสัณฐานว่าไม่มีสภาพคงที่ในที่สุดก็ต้องอืดพองเหม็นเน่าเป็นสิ่งโสโครกที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าชอบใจอย่างนี้

    ๒. วินีลกอสุภ เป็นที่น่าสบายของบุคคลที่หนักไปในทางมีความใคร่พอใจในผิวพรรณที่ผุดผ่อง เพราะอสุภกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ผิวพรรณนั้นไม่สวยจริงในที่สุดก็จะกลายเป็นผิวที่มีสีสันวรรณะ ที่เขียว ขาว แดง เละเทะ เลอะเลือน แปดเปื้อนไป ด้วยสิ่งโสโครกที่มีอยู่ภายในผิวพรรณที่หุ้มห่อไว้นั้นจะหลั่งไหลออกมาให้กลายเป็นของ น่าเกลียดโสโครก

    ๓. วิปุพพกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลที่มีความยินดีในผิวพรรณที่ปรุงด้วยเครื่องหอมเอามาฉาบทาไว้ อสุภนี้แสดงให้เห็นว่าเครื่องหอมที่ฉาบทาประทินผิวไว้นั้นไม่มี ความหมาย ในที่สุดก็ต้านทานสิ่งโสโครกที่อยู่ภายในไม่ได้ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ที่มีอยู่ภายในก็จะทะลักออกมาทับถม
    เครื่องประทินผิวเหล่านั้นให้หายไป ร่างกายจะเต็มไปด้วยสิ่งโสโครกที่สิงอยู่ภายใน

    ๔. วิฉิททกอสุภ เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีร่างกายที่มีแท่งทึบมีเนื้อล่ำที่พอกนูนออกมา เป็นเครื่องบำรุงราคะของผู้ที่มักมากในเนื้อแท่งที่กำเริบกรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่าร่างกายนี้มิใช่เป็นแท่งทึบตามที่คิดไว้ ความจริงเป็นโพรงโปร่งอยู่ภายในและเต็มไปด้วยของโสโครก

    ๕. วิกขายิตกอสุภ กรรมฐานนี้เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีในเนื้อกล้ามบางส่วนของร่างกาย กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนของกล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกายที่ตนใคร่และปรารถนาอย่างแรงกล้านั้น ในไม่ช้าก็ต้องวิปริตสลายตัวไปและเป็นกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยสิ่งโสโครกไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ

    ๖. วิกขิตตกอสุภ อสุภนี้เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดี ในลีลาอิริยาบถ มีการยกย่าง ก้าวไป ถอยกลับ และการคู้แขนเหยียดแขน ของเพศตรงข้าม เรียกว่า เป็น ผู้ใคร่ในอิริยาบถ พอใจกำหนัดยินดีในในท่อนแห่งกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นอารมณ์กรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่าอวัยวะต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในอิริยาบถนั้นไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สามารถจะรวมกลุ่มกันได้ตลอดกาลตลอดสมัย ในที่สุดก็ต้องกระจัดพลัดพรากจากกันไปเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ตามที่ปรากฏนี้

    ๗. หตวิขิตตกอสุภ เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีในข้อต่อ คือร่างกายที่มีอาการ ๓๒ ครบถ้วน คนประเภทนี้รักไม่เลือก ถ้าเห็นว่าเป็นคนที่มีอวัยวะไม่บกพร่อง แล้วเป็นรักได้ กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่า การติดต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ ไม่จีรังยั่งยืน ในไม่ช้าก็จะต้องพลัดพรากจากกันตามกฎของธรรมดา

    ๘. โลหิตกอสุภ เป็นที่สบายของคนรักความงามของร่างกายที่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับ คือเป็นคนที่บูชาเครื่องอาภรณ์มากกว่าเนื้อแท้ กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่าอาภรณ์นั้นไม่สามารถจะรักษาแท่งทึบของก้อนเนื้อที่รับรองเครื่องประดับไว้ได้ ในไม่ช้าสิ่งโสโครกภายในก็จะหลั่งไหลออกมา เครื่องประดับที่เป็นเครื่องเจริญตามิได้มีอำนาจต้านทานกฎธรรมดาไว้ได้เลย

    ๙. ปุฬุวกอสุภ เป็นที่สบายของคนที่ยึดถือว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่กรรมฐานนี้แสดงว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้เป็นสาธารณะแก่หมู่หนอนที่กำลังกินอยู่ ถ้าร่างกายเป็นของเราจริง เจ้าของร่างคงไม่ปล่อยให้หนอนกัดกินเป็นอาหารได้

    ๑๐. อัฎฐิกอสุภ เป็นที่สบายของผู้มีความกำหนัดยินดีในฟันที่ราบเรียบขาวเป็นเงางาม กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่า กระดูกฟันนี้ก็ต้องหลุดถอนเป็นธรรมดาไม่คงสภาพสวยสดงดงามให้ชมอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัยได้ ตัวไม่ทันตาย ฟันก็หลุดออกก่อนแล้วและความศิวิไลซ์ของฟันที่ว่าสวยนั้นก็ไม่จริง ถ้าปล่อยไว้ไม่ชำระขัดสีเพียงวันเดียวสีขาวไข่มุกนั้นก็จะเริ่มกลายเป็นสีเหลืองเพราะสิ่งโสโครกที่ฟันเกาะไว้นอกจากจะโสโครกแล้ว ฟันก็จะปรากฏกลิ่นเหม็นจนเจ้าของเองทนไม่ไหว


    อสุภกรรมฐานที่ท่านกล่าวสอนไว้ถึง ๑๐ อย่าง มีความหมายอย่างที่ว่ามานี้แล้วของท่านนักปฏิบัติ ที่จะฝึกหัดกำจัดอำนาจราคะ คือความกำหนัดยินดีในเพศตรงข้าม หรือเป็นนักนิยมสีสันวรรณะแล้ว ท่านจงเลือกฝึกในอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสมแก่ความรู้สึกเดิม ที่มีความกำหนัดยินดีอยู่นั้น เพื่อผลในการปฏิบัติในส่วนวิปัสสนาญาณ เพื่อมรรคผลต่อไปเถิด


    (จบอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างแต่เพียงเท่านี้)
     

แชร์หน้านี้

Loading...