ในหลวงตรัส "ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี..."

ในหลวงตรัส "ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี..."

 

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

สาธุ!สาธุ! พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ขอพระองค์ผู้ทรงธรรมจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อยู่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านานเทอญ

 

ไม่เจอซะนานนะพ่อมดโลจิ ^^

ความเข้าใจส่วนตัวของผม ผมเข้าใจว่าเป็นพระอารมณ์ขันของพระองค์ท่านมากกว่า
ซึ่งพระองค์ท่านมักจะตรัสบอกเป็นนัยๆหลายครั้งโดยแทรกมากับพระอารมณ์ขันของพระองค์ท่านเองอยู่เสมอๆ
ความนัยที่มากับกระแสพระราชดำรัสครั้งนี้น่าจะหมายถึง พระองค์ท่านจะอยู่กับปวงชนชาวไทยนี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก

อันที่จริง พระองค์ท่านทรงเบื่อสังขารจะแย่อยู่แล้วแหละ เพราะละสังขารเมื่อไหร่ก็เข้าสู่ปรินิพานเมื่อนั้น แน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย อ้อ ยังสิ
พระองค์ท่านยังไม่ลาพุทธภูมิ ตอนนี้ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ดังนั้น ละสังขารเมื่อไหร่ ก็ไปวิมานที่ชั้นดุสิตปั๊บเลย ค่อยไปลาพุทธภูมิข้างบนนู่น
และเข้านิพพานในที่สุด แต่แผ่นดินไทยยังมีปัญหาอีกเยอะที่พระองค์ท่านยังทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไข้




ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

 

ครับผม...ไม่เจอกันนานเลยนะครับท่าน...พอดีช่วงหลังๆมานี้ผมอยุ่ ตจว บ่อยครับ นานๆจะอยุ่บ้านสักที...ก็เลยไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยเหมือนแต่ก่อนครับ/ ...


ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

 

ทรงพระเจริญ

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

 

“ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี จะอยู่จนฉลองพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 100 ปี”
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สถิตย์เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป พระพุทธเจ้าข้า

 

หลวงปู่เทพโลกอุดร (หลวงปู่ใหญ่)ท่านบอกว่าบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะอยู่ถึง 120 ปี หลวงปู่ใหญ่ท่านรู้เกี่ยวกับรหัสนัยของการมีอายุยืน เพราะท่านอยู่มา 2500 กว่าปีแล้ว หลวงปู่ใหญ่ท่านจึงลงมานำพาในการสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา เมื่อหล่อพระเสร็จฯ ก่อนหลวงปู่ใหญ่กลับท่านก็บอกอีกว่าพระเจ้าอยู่หัวจะอยู่ถึง 120 ปี แน่นอน

ก่อนหล่อพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ หลวงปู่ใหญ่ท่านให้ผม เขียนพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จย่า รวมทั้งวันพระราชสมภพ ลงในแผ่นทองคำแท้ ขนาด 9 X 9 เซ็นติเมตร จำนวน 5 แผ่น แล้วนำไปให้หลวงปู่ใหญ่ ที่ จ. หนองคาย จากนั้นเมื่อหลวงปู่ใหญ่ท่านลงมาในวันพระ ตอนขากลับขึ้นข้างบน หลวงปู่ท่านก็นำแผ่นทองคำหายไปกับท่านในนภากาศ จนกระทั่งถึงวันหล่อผมก็ถามหลวงปู่ถึงแผ่นทองคำที่มีพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จย่า หลวงปู่ใหญ่ท่านบอกว่า หลวงปู่ได้นำไปหล่อในองค์พระทั้งห้าพระองค์เรียบร้อยแล้ว

หล่อพระฯเสร็จจึงถึงบางอ้อ ในความหมายที่หลวงปู่ทองทิพย์ท่านกล่าวไว้ว่า "การสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในครั้งนี้สำคัญต่อพระเจ้าอยู่หัวและสำคัญต่อประเทศชาติ" ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าพระพุทธเจ้าห้าพระองค์สำคัญต่อพระองค์ท่านและประเทศชาติอย่างไร

ผมก็เคยคุยกับหลวงปู่ใหญ่หลายเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย หลวงปู่ท่านบอกว่าพวกเทพเทวดา จะช่วยกันประคับประคองพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวให้ท่านอยู่นานที่สุด ซึ่งจะเป็นการยืดเวลาของความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยด้วย เพราะประเทศไทยในเวลานี้ต้องพึงบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่มีพระเจ้าอยู่หัว คนไทยเราจะไม่สามารถอยู่กันอย่างเป็นสุขได้ แผ่นดินสยามจะร้อนเป็นไฟ และจะแยกออกเป็นสามส่วน

ขอพระบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ จงโปรดดลบันดาลให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สถิตย์เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

เคยถามหลวงปู่ใหญ่ท่านว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือใคร หลวงปู่ท่านตอบว่า ไปศึกษาดูนะว่าเทพองค์ไหนที่มีพญาครุฑเป็นพาหนะ ผมก็เลยสรุปเอาเองว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คงจะเป็นพระมหาโพธิสัตว์ องค์หนึ่ง

หลวงปู่ท่านก็ให้ผมมาทำการบ้าน โดยให้หาว่า 1 ใน 80 ของพระอสีติมหาสาวก มีอยู่หนึ่งองค์ที่มีฝ่าเท้าเป็นกงจักร ท่านบอกว่าให้ศึกษาดูว่าพระอรหันต์องค์นั้นชื่ออะไร เพราะพระองค์นี้ก็จะมีบทบาทสำคัญในพระพุทธศาสนาในระยะเวลาอันใกล้นี้ ตอนนี้ผมก็ยังหาชื่อท่านไม่ได้ ใครทราบก็ช่วยบอกด้วยนะครับ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนที่หลวงปู่ใหญ่ท่านเคยบอกว่า เป็นมือขวาของหลวงปู่ซึ่งเป็นคน(ในยุคปัจจุบัน)ที่เกิดมาแล้วเดินอยู่เหนือพื้น 1 ศอกเท้าไม่เคยแตะพื้น ซึ่งปัจจุบันกำลังทำบารมีอยู่หรือเปล่า

 

เอาใจช่วยให้ท่านสมปรารถนาอย่างที่ท่านคิดละกันครับ

 

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

ขอพระองค์ทรงอายุยืนนาน

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สถิตย์เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย.. ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

 

สาธุ!!! ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวไทยตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าข้า!!!

 

ขอบคุณจ้า "พ่อมดโลจิ"

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญมายุยิ่งยืนนาน

 

ดีใจจังเลยที่พวกเราชาวไทยจะได้ชื่นชมพระบารมีและอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารอีกนาน

 

'เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม'

อาจจะมีประชาชนคนไทย "บางคน" ที่บอกว่าไม่เคยได้ยินประโยคนี้

แต่ประชาชนคนไทย "ทุกคน" ล้วนรับรู้ความจริงอันประจักษ์แล้วตามประโยคนั้น

ประจักษ์ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ใต้เบื้องพระบารมีที่ปกเกล้าฯ

จากวันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 ตราบมาจนทุกวันนี้ และตลอดไป

ลุมาถึง 5 พฤษภาคม 2547 คือวันนี้ ก็ครบรอบเป็นปีที่ 54 เป็นอีกปีหนึ่งที่ "พระปฐมบรมราชโองการ" นั้น ได้ยืนยันถึงความเป็นธรรมสัจจะให้ประจักษ์มิแคลนคลาย

เราเรียกวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปีว่า "วันฉัตรมงคล"

ราษฎรทั่วไปเรียกด้วยอบอุ่นแนบแน่นว่า "วันในหลวงขึ้นครองราชย์"

และเรียกในทางราชการว่า "วันบรมราชาภิเษก"

อาจจะเป็นประโยชน์เพื่อการเข้าถึงด้วยซาบซึ้งยิ่งขึ้น ณ วันอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ ผมจะคัดลอกความในตอนพระราชพิธี "บรมราชาภิเษก" ที่ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เป็นผู้เขียนไว้ในหนังสือ "ทำเป็นธรรม" มาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง ดังนี้

พระปฐมบรมราชโองการ

ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

วันศุกร์ ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓

"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

เป็นพระปฐมบรมราชโองการขณะประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร แล้วทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะปกครองพระราชอาณาจักรโดยทศพิธราชธรรมจริยา

วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณีอย่างครบถ้วนทุกประการ

พระราชพิธีเริ่มตั้งแต่ ๐๙.๓๐ น.ของเช้าวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดธูปเทียนนมัสการพระรัตนตรัย แล้วทรงเศวตพัสตร์เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่มณฑปพระกระยาสนาน ประทับเหนืออุทุมพรพระราชอาสน์ทรงพระมุรธาภิเษก เจ้าพนักงานไขสหัสธาราอันเจือด้วยน้ำปัญจมหานทีในมัธยมประเทศและน้ำ ๔ สระในราชอาณาจักรไทยตามพระราชประเพณีไทยแต่โบราณกาล แล้วสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญานวงศ์ ถวายน้ำพระพุทธมนต์จากพระครอบกริ่งกับพระครอบยันตรนพคุณ

เสร็จสรงมุรธาภิเษกแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ เสด็จพระราชดำเนินออกพระที่นั่งไพศาลทักษิณสถิตเหนือพระแท่นอัฐทิศภายใต้พระบวรเศวตฉัตร ทรงรับน้ำอภิเษก (ซึ่งตั้งพิธีทำ ณ พุทธเจดีย์สถานสำคัญตามภูมิภาค ๑๘ แห่งในราชอาณาจักรไทย) ซึ่งสมาชิกรัฐสภาทูลเกล้าฯ ถวายเพื่ออัญเชิญให้ทรงแผ่พระราชอาณาปกครองประชาชนในทิศทั้ง ๘ แล้ว พราหมณ์พิธีถวายน้ำเทพมนต์ด้วยพระมหาสังข์

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับพระสุพรรณบัฎเบญจราชกกุธภัณฑ์ขัตติยราชวราภรณ์ เครื่องขัตติยราชูปโภค และพระแสงราชศัสตราวุธจากพระมหาราชครูวามเทพมุนี ทรงสวมและทรงวางไว้บนโต๊ะ ๒ ข้างพระที่นั่ง พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคม กองทหารถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ยิงปืนกองแก้ว จินดา ๒๑ นัด ตามกำลังวัน ทหารบก ทหารเรือ ยิงปืนใหญ่ พระสงฆ์ย่ำระฆังถวายชัยมงคล พระอารามละ ๗ ลา

พระราชครูถวายพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการตอบ ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ปกครองราชอาณาจักรไทยโดยทศพิธราชธรรมจริยา มีพระราชดำรัสว่า

"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

ที่ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐานในวันอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนั้น ทรงถือเป็นพระปฐมบรมราชปณิธานที่สุดในพระชนมชีพของพระองค์ ทรงรับเป็นพระมหากษํตริย์เพื่อได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติอย่างเต็มที่ มิใช่เพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง และสถานที่แห่งนี้นับเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นที่ประดิษฐานองค์พระสยามเทวาธิราช

เสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประดับราชอิสริยาภรณ์ เสด็จออกพระเทวราชมเหศวร มายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลังก์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ มีมหาดเล็กเชิญราชกกุธภัณฑ์พระแสงรายตีนตอง พระแสงอัษฎาวุธ และถวายอยู่งานพัดโบก มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระวิสูตร พนักงานชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณชาวพนักงานกระทั่ง มโหระทึก ประโคมสังข์ แตร และกลองชนะ ทหารกองเกียรติยศทำความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกผู้แทนและข้าราชการเฝ้าทูลละลองธุลีพระบาท เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามข้าราชการ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามประชาชน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบ แล้วมหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านปิดพระวิสูตร เจ้าพนักงานชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณ ชาวพนักงานกระทั่งแตรมโหระทึกประโคมสังข์และกลองชนะ ทหารกองเกียรติยศทำความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ (มหาดเล็กเชิญราชกกุธภัณฑ์ตามเสด็จฯ ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร สมเด็จพระราชินีประทับข้างพระบรมราชอาสน์เบื้องซ้าย)

พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายในเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการ สถาปนาสมเด็จพระราชินีให้ดำรงราชฐานันดรศักดิ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

ประกาศสถาปนา

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ได้ทรงพระราชดำริว่าตามพระราชประเพณีซึ่งมีสืบมาแต่โบราณ เมื่อสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และในครั้งนี้ก็มีพระราชหฤทัยประสงค์ที่จะให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีนั้น

จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ให้มีพระเกียรติยศสมบูรณ์ตามพระราชประเพณีดังกล่าวนั้นจริงทุกประการ

ขออานุภาพแห่งพระศรีรัตนตรัย และเทพเจ้าทั้งหลาย จงดลบันดาลอภิบาลรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ให้ทรงเจริญพระชมายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ สรรพสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล อิฐวิบูลย์มนูญผล สกลเกียรติยศ เดชานุภาพมโหฬาร ทุกประการเทอญฯ

ประกาศ ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

นายกรัฐมนตรี

ครับ..ก็หวังใจว่า วันบรมราชาภิเษก ที่ 5 พฤษภาคม อันเวียนมาบรรจบเป็นปีที่ 54 ณ วันนี้ จะเป็นวันที่พวกเราชาวไทย ทุกหมู่ ทุกเหล่า จะน้อมอิงอาศัยใบบุญพระบารมีนี้นำมา ซึ่งประโยชน์ ซึ่งความสุข ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของชาติ-บ้านเมือง ด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี ยึดสามัคคีเป็นที่ตั้ง สืบสานตามพระราชปณิธานสืบต่อไป..นานเท่านาน.

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=5/May/2547&news_id=87909&cat_id=200