ลองดูนะครับซ้อมๆกำลังใจดูนะครับพระโพธิสัตว์ผู้เจริญทั้งหลาย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย คนอาภัพ, 17 เมษายน 2008.

  1. คนอาภัพ

    คนอาภัพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    ลองนึกดูว่า
    ถ้ามีคนมาตี เอามีดมาฟันท่าน มาทำร้ายท่านอย่างไม่ปราณี ท่านจะรูสึกยังไงท่านจะมีความกลัว มีความโกรธ ความไม่พอใจ มากน้อยเท่าไร ท่านจะมีความเมตตาต่อเขามั้ย
    ถ้าท่านถูกคนถ่มน้ำลายใส่ท่าน โทษนะครับ ถ่ายหนักเบาใส่ท่าน ด่าท่านโดยคำหยาบช้า ท่านจะรู้สึกอย่างไร จะโกรธ จะไม่พอใจ จะหวั่นไหว จะมีเมตตา มากน้อยเท่าไร
    ถ้าหากท่านไปอยู่ในป่าคนเดียว เจอกับสัตว์ร้ายมีเสือ ช้าง ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะทำประการใด จะหวั่นไหวมั้ย จะกลัวมั้ย
    ถ้าหากว่าท่านอยู่ในป่าช้าคนเดียวเจอกับภูต ผี ที่อยู่เฉพาะหน้าท่านท่านจะทำยังไง ท่านจะหวั่นไหวมั้ย
    ถ้าหากว่ามีคนมาใส่ร้ายท่านทำให้ท่านถึงต้องเสียทรัพย์หมดตัวหรือต้องโทษจำคุกตรอดชีวิตหรือประหารชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร จะโกรธและเมตตาเค้ามั้ย
    ถ้าหากมีคนมาทำร้ายคนที่ท่านรักท่านจะทำอย่างไรและจะโกรธเขามั้ย
    ถ้าหากวามีคนมาขอลูกเมีย ทั้งอวัยวะและชีวิตของท่าน ท่านจะทำประการใด
    และถ้าท่านกำลังจะโดนสัตว์ร้ายหรือคนร้าย ที่กำลังวิ่งเข้ามาถึงตัวท่านเพื่อจะทำร้ายหรือเอาชีวิตท่าน ท่านจะรู้สึกหวั่นไหวมั้ย และจะทำประการใด

    สาธุ ลองนึกดูนะครับ ว่าท่านมีสิ่งเหล่านั้นมากหรือน้อย จิตของท่านยังต้องอบรมอีกมากหรือน้อย และท่านจะมีวิธีแก่หรือฝึกสภาวะจิตของตนอย่างไร เหอๆ สาธุ
    สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์มากแก่ผู้บำเพ็ยโพธิสัตว์ หึหึ วางใจให้ดีนะครับ โชคดี จงสู้ต่อไป สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2008
  2. lissent

    lissent เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,169
    ถ้ามีคนมาทำร้ายเรา อย่างไม่ปราณีแรกๆก็จะโกรธมากและก็จะต้องตอบโต้บ้างถ้าไม่มีโอกาสตอบโต้ก็คงจะเงียบนั่งดูหน้าเค้าและต้องขมความเจ็บปวดนั้นให้มากๆแล้วนึกอยู่ในใจว่าหากอดีตชาติเราเคยทำเขามาก่อนและครั้งนี้เป็นกรรมเก่าที่เราจะต้องชดใช้ก็ขอให้หมดกันไปในชาตินี้
    ถ้าโดนถ่มน้ำลาย โดนด่าด้วยคำหยาบๆ และถ่ายหนักเบาใส่ แน่นอนค่ะต้องโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็คงจะทำอะไรได้ไม่มากนัก คงจะส่งคำถามว่าทำทำไม เพื่ออะไร ถ้ายังได้คำตอบไม่ต่างกันมากนักก็คงจะเดินหนีอยู่เฉยๆคิดกับตัวเองหลายๆอย่างแล้วก็แผ่เมตตาให้เค้าทำอะไรไม่ได้ก็ต้องทำใจตัวเองให้หายโกรธและก็แผ่เมตตาอีกให้บ่อยๆๆๆค่ะ
    ถ้าเจอสัตว์ร้ายในป่าคนเดียวเผชิญหน้ากันอยู่อันดับแรกก็คงคิดถึงคูรบาอาจารย์พ่อแก้วแม่แก้วให้ช่วยและต่อมาจวนตัวจริงๆก็ต้องปลงสังขารเตรียมตัวตายเป็นอาหารสัตว์ป่าได้หากยังมีสติพอก็จะอธิฐานให้หมดเวรกรรมกันไปในชาตินี้เลย
    ถ้าเจอผีซึ่งอยู่ต่อหน้าก็จะพยายามตั้งใจรวบรวมสติให้ดีนึกถึงคูรบาอาจารย์แล้วก็จะแผ่เมตตาให้เค้าไปหาเค้ายังไม่ไปก็คงต้องตัดใจคุยกันว่าต้องการอะไรถ้าทำให้ได้ก็ทำถ้าทำไม่ได้ก็ต้องให้เค้ารอไปก่อนเมื่อมีโอกาสก็จะทำให้
    ถ้ามีคนใส่ร้ายจนต้องเสียทรัพย์หมดตัวหรือต้องจำคุกตลอดชีวิต ก็จะโกรธมากและแค้นมากก็จะอธิฐานว่าใครทำอะไรไว้กรรมนั้นย่อมคืนสนองแต่จะไม่ตามจองเวรเค้านะคะ คนทำดีเทวดาไม่ทิ้งเราหรอกค่ะเพียงแต่ว่าอาจจะเป็นช่วงของกรรมเวรของเราที่จะต้องรับในตอนนั้น ก็ต้องทำใจอีกละให้หายโกรธหายแค้นและก็แผ่เมตตาให้เค้าค่ะ
    ถ้ามีคนมาทำร้ายคนที่เรารักก็ต้องปกป้องเค้าไม่ให้เกิดการตบตีกันแล้วค่อยๆคุยกันใครผิดถูกก็ว่ากันไปอยกให้ตกลงกันด้วยดีและมาปรับปรุงเปลี่ยนกันให้ถูกต้อง
    ถ้ามีคนมาขอลูกเราก็จะดูว่าที่เขาขอไปจุดประสงค์ของเค้าเพื่ออะไรและจะดูความสามารถเค้าด้วยว่าเค้าสามารถเลี้ยงลูกเราให้ดีมากน้อยแค่ไหน ส่วนขอเมียคือคนรักเราก็จะถามเมียก่อนว่าพอใจที่จะไปกับเขามั้ยหากเค้าพอใจที่จะไปมากกว่าที่จะอยู่กับเราก็ให้เขาไปค่ะ
    อันสุดท้ายหากกำลังจะโดนสัตว์ร้ายหรือคนร้ายที่กำลังวิ่งเข้ามาถึงตัวต้องทำใจรับความเจ็บปวดที่ๆจะเกิดขึ้นและต้องรวบรวมสติให้ได้หากต้องถึงแก่ชีวิตก็อยากจะออกจากร่างนี้ไปด้วยกำลังใจที่มีความกล้าออกไปเพราะนึกถึงความเจ็บปวดแล้วคงทนอยู่ได้ไม่นานอยากเจ็บแล้วตายด้วยความกล้าหาญที่ใจเรามีกำลังต่อสู้ความทรมานนั้นมีความรุ้สึกว่าจิตคงอยากแยกร่างออกไปเลยจะได้ไม่เจ็บปวดอีกค่ะ
     
  3. คนอาภัพ

    คนอาภัพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    คติประจำใจของผม คือ
    1 พยายามทำลายความขัดเคลืองใจในทุกสิ่ง
    2 พยายามทำลายความหวาดกลัวในทุกสิ่ง
    3 พยายามทำลายความโกรธไม่ให้มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป
    4 พยายามรู้จิตเข้าใจจิตตามความเป็นจริงทุกขณะจิต
    5 พยายามสั่งสมบารมีเพื่อตัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้านวิริยาธิกะเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เพื่อร่วมทุกข์ทังปวง

    อิอิ ผม ไม่ถือเยอะหรอกครับขอถือแค่ 5 ข้อเป็นหลักของชีวิตก็พอ เหอ ๆ

    ***ความเมตตาจะมั่นคงได้เพราะสิ้นความโกรธ
    จิตจะมั่นคงได้เพราะสิ้นความหวั่นไหว***
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2008
  4. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    เห็นว่าร่ายกายไม่ใช่ตัวเรา เราคือจิต ความรู้สึกเป็นตัวปรุงแต่งให้จิต ความโกรธเป็นเพราะเราถือตัว มีมานะ ถือตัวถือตน
    ความโลภเห็นว่าสิ่งที่อยากได้มีตัวตน
    ความหลงเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกที่ดี ถึงแม้จะเป็นกงจักรก็กลายเป็นดอกบัว
    ส่วนความรักนั้นนำพาให้วนเวียนในห้วงแห่งทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
    ความกลัวเป็นเพราะเราถือว่าตัวเราเป็นของเรา

    ปล่อยวาง เมตตาต่อมนุษย์และสัตว์หากถึงตายก็ถือว่าเราสร้างบุญได้แค่เท่านี้แล้วกันมีเท่า่ไรให้เท่านั้น ถ้าเขาฆ่าเราก็อโหสิให้เขา อย่่าให้เขาบาปไปมากกว่านี้เลย ขอให้เขาพ้นทุกข์ในกาลข้างหน้า หากเราต้องเกิดกี่ชาติขอทำความสุขให้ทั้งสัตว์และมวลมนุษย์
    กรรมชั่วเราขอดับ กรรมดีเราจะสร้างต่อไปเพื่อความสุขที่เป็นความจริงให้สัตว์และมวลมนุษย์ถึงพร้อมซึ่งพระนิพพาน

    เมื่อใดที่สิ่งมีชีวิตยังต้องเกิดดับนั้นยังคงอยู่ คือความสุขของข้าพเข้ายังไม่สมบูรณ์ หากแม้นสิ่งมีชีวิตในธาตุสังขารทั้งหลายยังต้องเจอทุกข์เราจะสุขได้ยังไรกัน ขอให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจงถึงพร้อมแห่งความสุขคือพระนิพพาน ไร้จากความทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิงเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2008
  5. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    อนุโมทานาสาธุ สาธุ สาธุกับทุกท่านที่เขียนมารู้สึกว่าพวกท่านรักษาอารมณ์ได้ดีมากครับ ผมเคยถูกอาจารย์ตำหนิเรื่องการรักษาอารมณ์ ว่าบ้างครั้งร้อนบางที่เย็นเป็นน้ำ สมาธิจะก้าวหน้าต้องรักษาอารมณ์อ่านกระทู้นี้แล้วทำให้นึกถึงเรื่องสุวรรณสามตอนที่ถูกยักษ์ยิงในขณะที่ตนไปหาอาหารมาเลี้ยงบิดามารดาที่ตาบอด ส่วนยักษ์คิดว่าเป็นคนธรรม์หรือเทวดา หากทักทายพูดด้วยก็จะหายตัวไปเสีย จึงยิง เมื่อสุวรรณสามถูกยิง ไม่ด่าไม่โกรธหรือพูดจาหยาบคายเลย แต่พูดสุภาพว่าท่านยิงข้าเจ้าเพื่อประสงค์สิ่งใด ...ลองอ่านดูนะครับ

    ในเมืองพาราราณสีมีพระราชาองค์หนึ่ง ครอบครองราชสมบัติ ท้าวเธอทรงพระนามว่ากบิลยักษ์ พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นนิตย์ เมื่อท้าวเธอชอบเช่นนี้ก็ออกไปล่าสัตว์ แต่ดูก็แปลกประหลาดสักหน่อย เพราะพระเจ้ากบิลยักษ์ไปเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เอาใครไปด้วยเลย เมื่อออกไปถึงบริเวณสถานที่ซึ่งสุวรรณสามเคยมาตักน้ำเห็นรอยเท้าสัตว์เกลื่อนไปหมด ก็ทรงดำริว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2008
  6. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายยิ่งใหญ่เกินผู้ใดในอนันตจักรวาล

    [​IMG]
    พระพุทธเจ้าของเราก็ทุ่มเทสร้างบารมี 30 ทัศ และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่อยมาถึง ๒๕ พระองค์

    (*) ทรงบริจาคโลหิตเป็นทานมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่
    (*) ทรงสละเนื้อเป็นทานมากกว่ามหาปฐพี
    (*) ทรงสละพระเศียรเป็นทานก็สูงกว่าเขาพระสุเมร
    (*) และทรงสละดวงพระเนตรเป็นทานมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า

    (f) หัวใจของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายยิ่งใหญ่เกินผู้ใดในอนันตจักรวาล แม้รู้ว่าสกลจักรวาลทั้งสิ้น เต็มด้วยถ่านเพลิงอันร้อนแรง เต็มไปด้วยหอกและหลาวที่แหลมคม หรือเต็มด้วยน้ำปริ่มฝั่งแล้ว หากสามารถก้าวข้ามได้ จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตัดสินใจที่จะทอดเท้าก้าวข้ามไป เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ
    [​IMG]
     
  7. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,285
    เป็นการทดสอบ
    ผมเคยโดนมาแล้วครับ
    พระแม่กวนอิมเป็นผู้ที่ทดสอบผมและฝึกผมหลายๆอย่าง
    แต่บางผมก็ยังตัดไม่ได้
    นโมกวงซืออิมผู่สัก
     
  8. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    แม้นพญาช้างฉัททันต์ถูกยิง ท่านก็ได้ระงับความโกรธ และอธิษฐานว่า ขอเดชแห่งการบริจาคงาทั้งคู่ของเราจงเป็นปัจจัยให้เราได้บรรลุพระโพธิญาณในอนาคตกาลเทอญ​

    [​IMG]

    ฉัททันตปริตร


    บทขัดฉัททันตปริตร

    โอกาสนี้ ขออาราธนาท่านผู้เจริญทั้งหลาย สาธยายมนต์ ของพญาช้างฉัททันต์โพธิสัตว์เจ้า เพื่อชาวเราจักปลอดภัยจากภยันอันตราย ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ
    ตำนาน

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พระภิกษุณีรูปหนึ่งฟังธรรมอยู่ แล้วดำริว่า อันตัวเรา นี้เคยเป็นบาทบริจาริกา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาแล้วในอดีตกาลบ้างหรือไม่หนอ ขณะนั้นก็บังเกิดญาณ อันทำให้ระลึกชาติได้แต่หนหลังว่า เคยเป็นบาทบริจาริกาเมื่อครั้ง องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงเสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัททันต์

    ภิกษุณีผู้นั้น ก็ยินดีหัวเราะขึ้นในท่ามกลางสมาคมนั้น แล้วนางภิกษุณีนั้น ก็พิจารณาต่อไป จึงได้รู้ว่าในชาตินั้นตนเป็นผู้ใช้นายพราน ชื่อโสนุดร ไปยิงพญาช้างฉัททันต์ ด้วยลูกศรอาบยาพิษ ให้ถึงเเก่ความตาย

    ภิกษุณีนั้น ก็กลับเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ในที่สมาคมนั้นเห็นดังนั้น ต่างก็หันมามองพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดจะถามว่าภิกษุณีท่านนี้ บังเกิดอะไรขึ้น

    พระผู้มีพระภาค จึงทรงยกนางภิกษุณีนี้เป็นเหตุ แล้วทรงตรัสชาดกเรื่อง พญาช้างฉัททันต์มาแสดง ความว่า

    ณ ป่าหิมพานต์ มีพญาช้างเผือกอยู่เชือกหนึ่ง มีนามว่า พญาฉัททันต์ มีช้าง พังเป็นภรรยาอยู่ ๒ เชือกมีนามว่า จุลสุภัททา และ มหาสุภัททา พร้อมกับมีช้างบริวารอีก ๘,๐๐๐ เชือก

    อยู่มาวันหนึ่งเป็นฤดูที่ดอกไม้รังบาน พญาช้างฉัททันต์ จึงชวนช้างภรรยาทั้งสอง ให้ไปชมดอกไม้นั้น ครั้นไปถึง ณ ตำบลที่มีไม้รังออกดอกเป็นกลุ่มใหญ่ ดูละลานตาสดใส หอมเย็นชื่นใจเป็นยิ่งนัก พญาช้างนั้นสุดที่จะอดใจไว้ได้ พาภรรยาทั้ง สองเดินตรงรี่เข้าไปหาโคนไม้รัง แล้วใช้ศรีษะชนไม้รังต้นหนึ่ง เพื่อให้ดอกร่วง

    ขณะนั้นบนต้นรัง มีรังมดแดงรังใหญ่อยู่ เมื่อพญาช้างชนต้นไม้ด้วยกำลัง รัง มดแดงใหญ่นั้นก็พลันหล่นลงมา ด้วยเหตุทนแรงเหวี่ยงของกิ่งไม้นั้นไม่ได้ จังหวะที่รัง มดแดงใหญ่ร่วงลงมา บนหัวของช้างพังจุลสุภัททาพอดี ซึ่งขณะเดียวกันลมก็ได้พัด พาเอาดอกไม้รังและเกสร ร่วงไปบนหัวและบนตัวของช้างพังมหาสุภัททาพอดี เช่นกัน

    ช้างพังจุลสุภัททา เมื่อโดนมดร่วงลงใส่หัวและตัว ก็คิดว่า พญาช้างไม่รักนาง จึงแกล้งทำรังมดแดงร่วงใส่ ทีมหาสุภัททาช้าง พญาช้างคงจะรักมากจึงทำให้ดอกไม้รัง และเกสรหล่นโปรยไปตามลำตัว

    ช้างพังจุลสุภัททา คิดดังนั้นแล้วก็บังเกิดความเคียดแค้น ผูกพยาบาทจองเวร แก่พญาช้างฉัททันต์เป็นครั้งแรก

    อีกครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ช้างฉัททันต์ ได้ดอกปทุมดอกใหญ่มาดอกหนึ่ง ได้มอบดอกบัวนั้น ให้แก่ช้างพังมหาสุภัททา

    ช้างพังจุลสุภัททา ได้เห็นดังนั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจว่า พญาช้างทำไมไม่ให้ดอกปทุมแก่ตนบ้าง ช้างนั้นก็ผูกเวรแก่พญาช้างฉัททันต์เป็นครั้งที่สอง

    กาลต่อมา ช้างพังจุลสุภัททา ได้มีโอกาสถวายผลไม้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วนางช้างก็ได้ตั้งความปรารถนาอธิษฐานว่า เมื่อข้าพเจ้าสิ้นชีพจากชาตินี้ไปแล้ว ขอให้ได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิง มีโอกาสได้เป็นมเหสี ของพระบรมกษัตริย์ และมีโอกาสกลับมาล้างผลาญแก่พญาช้างฉัททันต์ เอาชีวิตพญาช้าง และตัดเอางาคู่นั้น มาให้ได้

    ครั้นนางช้างนั้น ตั้งจิตอธิษฐานดังนั้นแล้ว นางช้างนั้น ก็มิยอมกินอาหาร ดื่มน้ำ อยู่ต่อมาไม่นาน นางช้างจุลสุภัททาก็ได้ตายลง แล้วได้ไปบังเกิดเป็นบุตรสาวของ มัททราชสกุลมีนามว่า นางสุภัททา กุมารี

    เมื่อนางเติบโตเจริญวัยขึ้น ได้มีโอกาสเป็นมเหสีของพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสีตามความปรารถนา

    พระนางระลึกชาติแต่หนหลังได้ จึงรู้สึกเจ็บแค้นพญาช้างฉัททันต์ จึงแสร้งทำประหนึ่งว่าประชวรแพ้ท้อง เมื่อพระสวามีทรงเข้ามาเยี่ยม พระนางก็ทูลว่าแพ้ท้อง นางได้ฝันเห็นของสิ่งหนึ่งซึ่งก็ยากที่จะหาได้ ขอให้พระสวามีทรงมีรับสั่งให้ เรียกหาพวกนายพรานป่า มาประชุมพร้อมกันเสียก่อน แล้วจะแสดงความฝันถวาย

    พระราชาก็ทรงมีพระบัญชา ให้หาตัวพรานป่ามาประชุมรวมกัน ณ ท้องพระโรง แล้วจึงชวนพระมเหสี ไปยังท้องพระโรง เพื่อที่จะได้เล่าความฝัน ให้แก่พระองค์และนายพรานได้ฟัง

    พระมเหสี เมื่อเสด็จยังท้องพระโรงพร้อมพระราชา มหาอำมาตย์ราชบริพาร และพรานป่าแล้ว จึงทรงตรัสเล่าว่า เราฝันเห็นช้างเผือกผู้มีงายาวสีขาว ที่มีรัศมี ๖ ประการ เราต้องการงาคู่นั้น ถ้าเราไม่ได้ เราจะฆ่าตัวตาย

    พระราชาทรงหลงรัก พระมเหสีสุภัททราองค์นี้มาก จึงทรงตามพระทัยพระมเหสีทุกประการ

    พระนางได้ทรงคัดเลือก นายพรานผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำ มีฝีมือยิงธนูที่แม่นยำ และรอบรู้อุบายวิธี

    พรานที่พระนางทรงเลือกได้ มีนามว่าโสณุดร

    พระนางได้บอกตำบล ที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์ ให้แก่พรานโสณุดร ได้ทราบทุกประการ

    เมื่อได้ทราบที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์ จากพระมเหสีแล้ว ได้ออกเดินทางไปยัง ป่าหิมพานต์ ตรงไปยัง ณ ตำบลที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์ ตามคำบอกเล่าของพระมเหสี สิ้นเวลาไปถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

    ครั้นเดินทางไปถึง ยังที่อยู่ของพญาช้าง พรานโสณุดร จึงซุ่มดูกิริยาของพญาช้าง ทั้งวันเวลาไปและกลับ ของพญาช้างที่ออกไปหากิน เมื่อเฝ้าดูจนรู้เเน่เเล้ว นายพรานก็รอเวลาให้พญาช้างเเละบริวาร ออกจากที่พัก เเล้วพรานนั้น ก็ออกมาจากที่ซ่อน หาทำเลที่เหมาะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของพญาช้างมากนัก แล้วทำการขุดหลุมให้ลึกพอที่ตนจะลงไปยืนอยู่ในหลุมนั้นได้มิดหัว พร้อมทั้งนำท่อนไม้และใบไม้ มาเรียงขวางปากหลุม แล้วกลบทับด้วยดิน เกลี่ยดินให้เรียบ อีกทั้งยังเปิดช่องที่ตนจะลงไปซ่อนตัว และเปิดช่องสำหรับเล็งลูกศร

    ครั้นได้เวลาที่พญาช้างและบริวาร จวนจะกลับ พรานโสณุดร ก็ลงไปซ่อนในหลุมที่ตนขุดเอาไว้ แล้วยังนำเอาผ้าจีวรที่เตรียมมา นำมานุ่งห่ม

    เมื่อกาลมรณะ ของพญาช้างมาถึง พญาช้างนั้นพร้อมบริวาร ก็เดินทางกลับมายังที่อยู่ของตนดังเดิม ครั้นมาถึงตรงสุดที่พรานโสณุดร ขุดหลุมเอาไว้ พญาช้างนั้น ก็หาได้เฉลียวใจอันใดไม่ ได้มาหยุดยืนอยู่ตรงจุดเดิมที่ทุกครั้ง เมื่อกลับมาจากหาอาหาร ตนจะต้องมายืนเพื่อสำรวจตรวจดู ภูมิประเทศในที่พักของตนว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง

    ขณะที่พญาช้างกำลังมองสำรวจดูอยู่นั้น พรานโสณุดร ได้นำลูกศรอาบยาพิษมาพาดสาย เล็งตรงไปยังช่องที่ตนเจาะเอาไว้เฉพาะ ปลายศรนั้นเล็งตรงไปยังท้องของพญาช้างฉัททันต์พอดี พรานป่าโสณุดร ใช้กำลังน้าวคันศรสุดแรง พร้อมกับปล่อยศรอาบยาพิษนั้นออกจากแล่ง ศรนั้นพุ่งตรงไปยังท้องของพญาช้างฉัททันต์ จนทะลุหลัง

    พญาช้างนั้นก็ส่งเสียงร้องโกญจนาท ขึ้น ๓ ครั้ง บริวารของพญาช้างนั้น เมื่อรู้ว่า นายของตนมีภัย ก็พากันแยกย้ายกันออกค้นหาศัตรู ที่ทำร้ายนายของตน เว้นแต่นางช้างพังมหาสุภัททา เฝ้าอยู่ใกล้พญาช้าง

    พญาช้างรู้ว่าศัตรูซ่อนตัวอยู่ในหลุม จึงปรารถนาที่จะทราบสาเหตุเฉพาะตน จึงไล่นางช้างพังมหาสุภัททา ว่าน้องหญิง จงไปช่วยบริวารออกค้นหาศัตรูให้พบเถิด มิต้องเป็นห่วงเราหรอก

    เมื่อนางช้างพังจากไปแล้ว พญาช้างฉัททันต์ ก็ทำลายที่กำบังของนายพราน เพื่อจะจับตัวฆ่าเสีย แต่พอได้เห็นผ้าจีวรที่นายพรานห่มอยู่ จึงดำริขึ้นว่า ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ เป็นธงชัยของพระอรหันต์ บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรทำลาย ควรที่จะสักการะเคารพ พญาช้างนั้นจึงเอางวงยกร่างของพรานป่านั้นขึ้นจากหลุม มาวางลงข้างหน้า แล้วกล่าวว่า ผู้ที่หมักหมมอยู่ด้วยกิเลสอย่างท่าน ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้านี้ควรแก่ผู้ที่ปราศจากกิเลสเท่านั้น ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว โทสะจิตของพญาช้างก็ระงับไป

    พญาช้างนั้นจึงร้องถาม นายพรานป่าว่า เจ้าฆ่าเราเพื่อประสงค์สิ่งไร ต้องการเองหรือมีผู้ใช้ให้มา

    พรานป่าโสณุดร จึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนจบ ให้พญาช้างฉัททันต์ฟัง

    พญาช้าง ครั้นได้ทราบว่า นางสุภัททาเทวี เป็นผู้ใช้ให้นายพรานมาฆ่า เพื่อจะเอางา ก็ได้ทราบในทันที่ว่านี่คงเป็นเพราะเวรกรรม ที่นางจุลสุภัททาช้างพังในอดีต บัดนี้บังเกิดเป็นมเหสีของจอมกษัตริย์แห่งพาราณสี นางได้จองเวรพยาบาทต่อเรา เรามิควรที่จะก่อเวรต่อนางอีก

    พญาช้างคิดดังนี้แล้ว จึงให้นายพรานเลื่อยเอางาทั้งคู่ของตน ตามความปรารถนา พร้อมทั้งอธิษฐานว่า ขอเดชแห่งการบริจาคงาทั้งคู่ของเรานี้ จงเป็นปัจจัย ให้เราได้บรรลุพระโพธิญาณ ในอนาคตกาลนั้นด้วยเทอญ

    เมื่อนายพรานโสณุดร ตัดเอางาทั้งคู่เสร็จสิ้นแล้ว พญาช้างนั้น จึงได้กล่าวแก่พรานโสณุดรว่า เราจะสอนมนต์สัจจะคาถาให้แก่ท่าน เพื่อจะได้ใช้ป้องกันภัยทั้งหลายขณะเดินทาง ว่าแล้วพญาช้างฉัททันต์ ก็ได้กล่าวมนต์ ให้แก่นายพรานโสณุดร ได้เรียนจนสำเร็จ แล้วพญาช้างนั้นก็ถึงกาลกิริยา

    พรานโสณุดร ได้อาศัยมนต์ ของพญาช้างป้องกันภัย ที่เกิดขณะเดินทาง จนพาตนรอดปลอดภัย นำเอางาทั้งคู่ของพญาช้างฉัททันต์ เข้าไปถวายนางสุภัททาเทวี ณ เมืองพาราณสีจนสำเร็จ

    พระนางสุภัททาเทวี ครั้นพอได้เห็นงาทั้งคู่ ของพญาช้างฉัททันต์โพธิสัตว์ ก็ให้หวนคำนึงระลึกถึงความรัก ความหลัง ที่ตนมีแก่พญาช้างนั้น มาบัดนี้ เรากลับ ทำให้ผู้ที่เป็นที่รักของเรา ได้ตายจากเราไปเสียแล้ว พระเทวีคิดดังนี้แล้ว ก็บังเกิด ความโศกเศร้า เสียใจอย่างแสนสาหัส จนหัวใจวายตายในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2008
  9. Thai_narak_et

    Thai_narak_et Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +79
    บ้างอย่างก็ทำได้
    หลายอย่างทำไม่ได้เลย
    คงจะเหมือนหลวงปู่ชากล่าวไว้


    <center>[​IMG]</center>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  10. kyokonk

    kyokonk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +45
    เมตตาค้ำจุนโลก
     
  11. NCK2046

    NCK2046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    628
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ตอนนี้ยังโกรธอยู่มากอะ ยังไม่ใจกว้างขนาดนั้น

    แต่ถ้าค่อยๆทำไป ความใจกว้างก็จะค่อยๆมากขึ้นไปเองตามลำดับ

    แต่ขนาดยังไม่ใจกว้างเท่าไร คนรอบๆตัวยังบอกว่าเราใจกว้างผิดคนทั่วไปมากอยู่ ให้คนอื่นจนตัวเองไม่มีก็บ่อย แต่ก็ให้ ทำไงได้ มันเป็นสันดานไปแล้วนี่

    สำรอกกรรมไปเรื่อยๆ บารมีก็เต็มไปเอง
     
  12. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    เมื่อเราไปวัดปฏิบัติธรรม หรืออยู่บ้านเรานั่งสมาธิเสร็จใหม่ เราจะเราจะรักษาอารมณ์ได้สักครู่หนึ่ง ต่อไปอารมณ์ของเราก็จะเป็นไปตามโลก ท่านพยายามรักษาอารมณ์ให้ได้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทำงาน คุยกับเพื่อน มีบางสิ่งมกระทบให้โกรธ ก็ระงับไว้เสีย โดยไม่ตอบโต้แต่กลับแผ่เมตตาหรือให้อภัย คือมีสติ รู้อารมณ์ตลอดเวลา แล้วสมาธิของท่านจะก้าวหน้าเร็วครับ
     
  13. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.
    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที
     
  14. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    การจะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ได้...ต้องละความโกรธ ผูกพยาบาท จองเวร ให้ได้ก่อน...แล้วเกิดจิตเมตตา-กรุณา มหาศาล...จนกระทั่งยอมสละชีวิตของตนเองได้เพื่อผู้อื่นได้อยู่รอด...แม้ว่าสัตว์นั้นจะเป็นสิ่งชีวิตที่ดูไร้คุณค่าแค่ไหนก็ตาม...
    ดังนั้นลองสำรวจจิตตัวเองกันใหม่...และเร่งสร้างบารมีสำหรับผู้ปรารถนาทั้ง "พุทธภูมิ" และ "นางแก้วคู่บารมี" ...ขออนุโมทนา...ทุกๆท่านที่มีความตั้งใจดี (ตนเองขอแค่ได้ "จิตพระอรหันต์" ขอสิ้นทุกข์จากขันธ์ 5 พอแล้วค่ะ...ไม่อยากเวียนว่ายในสังสารวัฏนานเกินกว่า 5,000 ปีนี้จริงๆ ...ไม่ปรารถนาแม้แต่ยุคพระศรีอาริยเมตตรัย...ขอสิ้นทุกข์-ดับกรรม ในยุค "พุทธภมิของเจ้าชายสิทธัตถะ" นี้ ..เป็นปรารถนาอันสูงสุดแล้วค่ะ)
     
  15. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    ไม่ต้องให้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ในเมื่อกรรมฐานในพุทธศาสนายังเจริญถูกต้องอยู่ ถ้าต้องการทราบกำลังบารมีแห่งตน ก็จงกระทำดังนี้

    ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนถึงที่สุด ถึงสังขารุเบกขาญาณ (วิปัสสนาญาณที่ 11)

    แล้วความปรารถนาต่างๆ หรือการสร้างบารมีต่างๆ ก็จะทยอยปราฏกให้ทราบ วัดใจกันอีกที่ว่า จะดำเนินไปทางใหน?

    เพราะเพียงแค่ผ่าน นิพพิทานญาณ(วิปัสสนาญาณที่ 8) ก็ไม่เอาละทิ้งสิ่งต่างๆ หมดแล้ว

    ก็มาวัดกันที่ สังขารุเบกขาญาณ นี้แหละเป็นญาณที่จะตัดสินใจกัน

    ไม่ต้องไปท้าให้ใครมาตีมาต่อยหรอกครับ เพราะทางการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ตามธรรมมีอยู่ครับ .... แถมยังปรากฏให้ทราบในสิ่งที่ยังไม่ทราบอีกหลายๆ อย่าง
     
  16. coolz

    coolz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +1,337

    ขออนุโมทนาด้วย เป็นเพราะประโยคนี้แท้ๆ....(rose)
     
  17. Ball ^_^

    Ball ^_^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนาครับ

    พยายามคิดไว้เป็นตัวอย่างเหมือนกันว่า ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไร
    แต่ถ้าไม่เจอริงๆก็ไม่รู้หรอก ว่าถึงตอนนั้น อารมณ์จะเป็นอย่างไรและจะตอบโต้อย่างไร ได้แต่คิดไว้เล่นๆ
     
  18. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ดีครับ เป็นการตั้งใจงดเว้นจากความโกรธ
    ดีแล้ว ดีแล้ว ดีแล้ว จงเตือนตน
    คิดได้ครับแต่ไม่ควรกังวล เพราะบุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่เตรียมตัวไว้ก็ดีเหมือนกัน
    พอเจอเข้าจริงๆจะได้เอะใจว่าเราเคยตั้งใจว่าจะไม่โกรธครับ
    เหมือนมรณสติ ที่เราควรพิจารณาความตายอยู่เนืองๆดีครับ
     
  19. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    คุณ-ตติยะ-

    ไม่ต้องให้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ในเมื่อกรรมฐานในพุทธศาสนายังเจริญถูกต้องอยู่ ถ้าต้องการทราบกำลังบารมีแห่งตน ก็จงกระทำดังนี้

    ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนถึงที่สุด ถึงสังขารุเบกขาญาณ (วิปัสสนาญาณที่ 11)

    แล้วความปรารถนาต่างๆ หรือการสร้างบารมีต่างๆ ก็จะทยอยปราฏกให้ทราบ วัดใจกันอีกที่ว่า จะดำเนินไปทางใหน?

    เพราะเพียงแค่ผ่าน นิพพิทานญาณ(วิปัสสนาญาณที่ 8) ก็ไม่เอาละทิ้งสิ่งต่างๆ หมดแล้ว

    ก็มาวัดกันที่ สังขารุเบกขาญาณ นี้แหละเป็นญาณที่จะตัดสินใจกัน

    ไม่ต้องไปท้าให้ใครมาตีมาต่อยหรอกครับ เพราะทางการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ตามธรรมมีอยู่ครับ .... แถมยังปรากฏให้ทราบในสิ่งที่ยังไม่ทราบอีกหลายๆ อย่าง
    <!-- / message -->
    ท่านเขาไม่ได้หมายความว่า ให้ไปท้า ใคร แต่ เขาให้ลองถามใจตัวเองดู ถ้าเจอเหตุการณ์ แบบนั้นแล้วจะทำยังไง เขาไม่ได้บอกว่าให้กล้า หรือ กลัว แต่เขาให้หาวิธีฝึกใจ ตัวเอง ซึ่งเป็น เพียง ทฤษฎี เท่า นั้น นะครับ...สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...