กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. Mootang

    Mootang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2010
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +744
    ขอบคุณมากครับพี่นพ... _/\_
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +4,720

    นี่คือ...ความ*บังเอิญ* สดๆร้อนๆเช่นกัน
    (ข้างบนผมโพสต์เมื่อ วันเสาร์ที่ผ่านมานี้)
    "555 เรียกสั้นๆ "อาเก้า" ก็ได้ครับ"

    พอวันอาทิตย์ ดึงTips ข้างล่างนี้มา
    (เรียงตามลำดับไม่มีการข้าม)
    (และไม่มีเจตนาให้เกิดความพอดี)
    (เวลาดึงขึ้นกับอารมณ์...
    ...บางครั้งเป็นลักษณะกึ่ง
    ดลใจ)
    (อจ.นพ โพสต์ไว้เมื่อ20-5-18)
    "....ปกติถ้าคนรู้จักกัน
    ก็จะให้เรียก กัน ธรรมดา
    จะ พี่ ป๋า ลุง อา ตา น้อง แล้วแต่จะเรียก"


    555 ยังเคยเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง
    ...ตามที่ผมเคยเปรยว่า "แปลกดี"
    ...แต่ขี้เกียจค้นหาครับ
    :mad::confused::oops:o_O:rolleyes:
     
  3. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    สวัสดีค่ะ
    พอดีไข้ยังไม่สร่าง เป็น ไข้หวัดใหญ่ ที่ระบาดกันในเมืองนี้..

    ขอให้รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
    และ รู้ว่าต้องพักผ่อน แต่ ก็ยังไม่สงบพอจะข่มตาหลับได้

    ขออนุญาต คุณอาเก้า ลงพระชาดก ตอน ภูริทัตชาดก เพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อเพิ่มเติมความรู้
    เกี่ยวกับ ความเป็นมาของภพภูมิพญานาค กับพระพุทธศาสนา




    ภูริทัตชาดก บำเพ็ญศีลบารมี

    อรรถกถา ภูริทัตชาดกว่าด้วย พระเจ้าภูริทัตทรงบำเพ็ญศีลบารมี

    phraphuritat.jpg


    พระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า "พรหมทัต" ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโอรสทรงดำรงตำแหน่งอุปราช อยู่ต่อมาพระราชาทรงระแวงว่าพระโอรสจะคิดขบถแย่งราชสมบัติ จึงมีโองการให้พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเสียจากเมือง จนกว่าพระราชาจะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ


    พระโอรสก็ปฏิบัติตามบัญชา เสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำชื่อว่า "ยุมนา" มีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย ต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เกิดความว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้นมาจากน้ำท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตร นางนาคประสงค์จะลองใจดูว่า นักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้ จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงจัดประดับ ประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาค

    ครั้นพระราชบุตรกลับมา เห็นที่นอนจัดงดงามน่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืน รุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไป นางนาคก็แอบดูพบว่าที่นอนมีรอยคนนอน จึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัธรา เต็มเปี่ยม ยังคงยินดีในของสวยงาม ตามวิสัยคนมีกิเลส จึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก

    ในวันที่สาม พระราชบุตรมีความสงสัยว่า ใครเป็นผู้จัดที่นอนอันสวยงามไว้ จึงไม่เสด็จออกไปป่าแต่แอบดูอยู่บริเวณ ศาลานั่นเอง เมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน พระราชบุตรจึงไต่ถามนางว่า นางเป็นใครมาจากไหน นางนาคตอบว่า นางเป็นนาคชื่อมาณวิกา นางว้าเหว่าที่สามีตายจึงออกมาท่องเที่ยวไป

    พระราชบุตรมีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่ พระราชบุตรก็จะอยู่ด้วยกับนาง นางนาคมาณวิกาก็ยินดี ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา จนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่ง ชื่อว่า "สาครพรหมทัต" ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า "สมุทรชา"

    ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต บรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายไม่มีผู้ใดทราบว่าพระราชบุตรประทับอยู่ ณ ที่ใด บังเอิญพรานป่าผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่า ตนได้เคยเที่ยวไปแถบ แม่น้ำยมุนา และได้พบพระราชบุตรประทับอยู่บริเวณนั้น

    อำมาตย์จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่า จะไปอยู่ เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่ นางนาคทูลว่า
    "วิสัยนาคนั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้าย หากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวัง แล้วมีผู้ใดทำให้โกรธ เพียงหม่อมฉันถลึงตามอง ผู้นั้นก็จะ มอดไหม้ไป พระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิด ส่วนหม่อมฉันขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาคตามเดิม"

    พระราชบุตรจึงพาโอรสธิดากลับไปพาราณสี อภิเษกเป็นพระราชา อยู่มาวันหนึ่งขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่ง พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งที่วังน้ำวนในแม่น้ำยมุนา เต่าจมลงไปถึงเมืองนาค เมื่อถูกพวกนาคจับไว้ เต่าก็ออกอุบายบอกแก่นาคว่า
    "เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐ พระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายา ของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน"


    ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดี สั่งให้นาค 4 ตนเป็นทูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัว พระธิดามาเมืองนาค พระราชาทรงแปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคว่า
    "มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กัน จะแต่งงานกัน นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้"

    เหล่านาคได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่า พระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธุ์งู ไม่คู่ควรกับพระธิดา ท้าวธตรฐทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ฝูงนาค ขึ้นไปเมืองมนุษย์ ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดง อิทธิฤทธิ์อำนาจ ตามที่ต่างๆ แต่มิให้ทำอันตรายชาวเมือง ชาวเมืองพากันเกรงกลัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน

    ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่งนางสมุทรชาให้ไปเป็นชายาท้าวธตรฐ นางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐให้เหล่าบริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบาย จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ

    อยู่มาวันหนึ่ง อริฏฐะได้ฟังนาคเพื่อนเล่นบอกว่า พระมารดาของตนไม่ใช่นาค จึงทดลองดูโดยเนรมิตกายกลับเป็นงู ขณะที่กำลังกินนมแม่อยู่ นางสมุทรชาเห็นลูกกลายเป็นงูก็ตกพระทัยปัดอริฏฐะตกจากตัก เล็บของนาง ไปข่วนเอานัยน์ตาอรฏฐะบอดไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าได้ลงมาอยู่เมืองนาค


    ครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง 4 เติบโตขึ้น ท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต ทัตตะผู้เป็นโอรสองค์ที่สองนั้น มาเฝ้าพระบิามารดาอยู่เป็นประจำ ทัตตะเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไข ปัญหาต่างๆอยู่เป็นนิตย์ แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดา ทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นผู้ปรีชาสามารถ ได้รับขนานนามว่า ภูริทัตต์ คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญา

    ภูริทัตต์ได้เคยไปเห็นเทวโลก ว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่า จะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก จึงทูล ขออนุญาตพระบิดาก็ได้รับอนุญาต แต่ท้าวธตรฐสั่งว่ามิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอกเขตเมืองนาค เพราะอาจเป็นอันตราย

    ครั้นเมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาค ภูริทัตต์รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวารได้ห้อมล้อมปรนนิบัติเฉพาะในตอนเช้าเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมา ภูริทัตต์ก็ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวกใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา ภูริทัตต์ตั้งจิตอธิษฐานว่า แม้ผู้ใดจะต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้ได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์


    ครั้งนั้นมีนายพรานชื่อ เนสาท ออกเที่ยวล่าสัตว์ เผอิญได้พบภูริทัตต์เข้า สอบถามรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาค ภูริทัตต์เห็นว่าเนสาทเป็นพรานมีใจบาปหยาบช้า อาจเป็นอันตรายแก่ตนจึงบอกแก่พรานเนสาทว่า
    "เราจะพาท่านกับลูกชาย ไปอยู่เมืองนาคของเรา ท่านทั้งสองจะมีความสุข สบายในเมือง นาคนั้น"

    พรานเนสาทลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า "ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แล้วจะออกบวช รักษาศีลอย่างท่านบ้าง"

    ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตน แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงต้องพาพรานกลับไปเมืองมนุษย์ พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม

    มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วทางมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากิน นาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ ท้ายศาลาพระฤาษี จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นครุฑฉีกท้องนาคกินมันเหลวแล้วทิ้งร่างนาคลงไป จึงเห็นว่า มีต้นไทรติดมาด้วย ครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิดคือถอนเอาต้นไทรที่พระฤาษีเคยอาศัยร่มเงา จึงแปลงกายเป็นหนุ่ม น้อยไปถามพระฤาษีว่า เมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้ กรรมจะตก อยู่กับใคร พระฤาษีตอบว่า
    "ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มี เจตนาจะถอนต้นไทรนั้น กรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น"


    ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑ เมื่อพระฤาษี ช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่อ อาลัมพายน์ อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาคให้แก่พระฤาษี

    อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์ซึ่งเป็นหนี้ชาวเมืองมากมายจนคิดฆ่าตัวตายจึงเข้าไปในป่า เผอิญได้พบพระฤาษีจึงเปลี่ยนใจ อยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจ สอนมนต์อาลัมพายน์ให้แก่พราหมณ์นั้น

    พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้จึงลาพระฤาษีไปเดินสาธยายมนต์ไปด้วย นาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำได้ยินมนต์ก็ตกใจ นึกว่าครุฑมา ก็พากันหนีลงน้ำไปหมด ลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่ง พราหมณ์หยิบดวงแก้วนั้นไป

    ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่เห็นพราหมณ์เดินถือดวงแก้วมา จำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดู จึงออกปากขอ และบอกแก่พราหมณ์ว่า หากพราหมณ์ต้องการอะไรก็จะหามาแลกเปลี่ยน พราหมณ์บอกว่าต้องการรู้ที่อยู่ของนาค เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสาทจึงพาไปบริเวณที่รู้ว่าภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่ เพราะความโลภ อยากได้ดวงแก้ว โสมทัตผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์คิดทำร้ายมิตร คือภูริทัตต์ จึงหลบหนีไประหว่างทาง

    เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่า พราหมณ์คิดทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ ถ้าพราหมณ์เป็น อันตรายไป ศีลของตนก็จะขาด ภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีล ให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว พราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์ เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กดศีรษะอ้าปากออก เขย่าให้สำรอกอาหารออกมา และทำร้าย จนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต แต่ก็มิได้โต้ตอบ

    พราหมณ์จับภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่าย แล้วนำไปออกแสดงให้ประชาชนดูเพื่อหาเงิน พราหมณ์บังคับให้ภูริทัตต์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ให้เนรมิตตัวให้ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ให้ขด ให้คลาย แผ่พังพาน ให้ทำสีกายเป็น สีต่างๆ พ่นไฟ พ่นควัน พ่นน้ำ ภูริทัตต์ก็ยอมทุกอย่าง ชาวบ้าน ที่มาดูเวทนาสงสาร จึงให้ ข้าวของเงินทอง พราหมณ์ก็ยิ่งโลภ พาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดง จนมาถึงเมืองพาราณสี จึงกราบทูล พระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร


    ขณะนั้นสมุทรชาผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไปไม่มาเฝ้าจึงถามหา ในที่สุดก็ทราบว่าภูริทัตต์หายไป พี่น้องของภูริทัตต์ จึงทูลว่าจะออกติดตาม สุทัศนะจะไปโลกมนุษย์ สุโภคะไปป่าหิมพานต์ อริฏฐะไปเทวโลก ส่วนนางอัจจิมุขผู้เป็นน้องสาว ต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย

    เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสี สุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาคถูกจับมาแสดงให้คนดู จึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดง ภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้าของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขังของตนตามเดิม

    พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า
    "ท่านไม่ต้องกลัว ถึงนาคจะกัดท่านไม่ช้าก็จะหาย"

    สุทัศนะตอบว่า
    "เราไม่กลัวดอก นาคนี้ไม่มีพิษถึงกัดก็ไม่มีอันตราย"

    พราหมณ์หาว่าสุทัศนะ ดูหมิ่นว่าตน เอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า
    "เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีก จะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้"

    พราหมณ์ กล่าวว่าหากจะให้สู้กัน ก็ต้องมีเดิมพันจึงจะสมควร สุทัศนะจึงทูลขอพระราชาพาราณสีให้เป็นผู้ประกันให้ตน โดยกล่าวว่า พระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่างนาคกับเขียดเป็นการตอบแทน พระราชาก็ทรงยอมตกลงประกันให้แก่สุทัศนะ สุทัศนะเรียก นางอัจจิมุขออกมาจากมวยผมให้คายพิษ ลงบนฝ่ามือ 3 หยด แล้วทูลว่า
    "พิษของเขียดน้อยนี้แรงนัก เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐ ราชาแห่งนาค หากพิษนี้หยดลงบนพื้นดิน พืชพันธุ์ไม้จะตายหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนจะไม่ตกไป 7 ปี ถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด"

    พระราชาไม่ทราบจะทำอย่างไรดี สุทัศนะจึงทูลขอให้ ขุดบ่อ 3 บ่อ บ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรก ก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ ลามไปติดบ่อที่สองและสาม จนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมด ไฟจึงดับ พราหมณ์ตัวร้าย ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อถูกไอพิษจนผิวหนังลอก กลายเป็นขี้เรื้อนด่างไปทั้งตัวจึงร้องขึ้นว่า
    "ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ"

    ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็เลื้อยออกมาจากที่ขัง เนรมิตกายเป็นมนุษย์ พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมา ภูริทัตต์จึงตอบว่า
    "ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับนางสมุทรชา ข้าพเจ้ายอมถูกจับมา ยอมให้พราหมณ์ทำร้ายจนบอบช้ำ เพราะปราถนาจะรักษาศีล บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นอิสระแล้ว จึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม"

    พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของนางสมุทรชา น้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไป จึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่า เมื่อนางสมุทรชาไปสู่เมืองนาคแล้ว พระบิดาก็เสียพระทัยจึงสละราชสมบัติออกบวช พระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา


    พระราชาประสงค์จะให้ นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไปเฝ้าพระบิดาจะได้ทรงดีพระทัย สุทัศนะทูลพระราชาว่า
    "ข้าพเจ้าจะ กลับไปทูลให้พระมารดาทราบ ขอให้พระองค์ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิด ข้าพเจ้าจะพา พระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง"

    ทางฝ่ายพรานเนสาท ผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้วสารพัดนึก เมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้นั้น รับไม่ทัน ดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาค พรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้ว สูญเสียลูกชาย และเสียไมตรี กับภูริทัตต์ เที่ยวซัดเซพเนจรไป

    ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับนาคกลายเป็นโรคเรื้อนเพราะพิษนาคก็ตกใจกลัว ปราถนาจะล้างบาปจึงไปยังริมน้ำยมุนา ประกาศว่า
    "ข้าพเจ้าได้ ทำร้ายมิตร คือ ภูริทัตต์ ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป"

    พรานกล่าวประกาศอยู่ หลายครั้ง เผอิญขณะนั้น สุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้น เอาหางพันขาพราน ลากลงน้ำให้จมแล้ว ลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตาย ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพราน จึงร้องถามว่า
    "นี่ตัวอะไรกัน ทำไมมาทำร้าย เราอยู่เช่นนี้ ทรมาณเราเล่นทำไม"

    สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาค พรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าวแก่สุโภคะว่า
    "ท่านรู้หรือไม่ เราเป็นพราหมณ์ ท่านไม่ควรฆ่าพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟ เป็นผู้ทรงเวทย์ และเลี้ยงชีพด้วยการขอ ท่านไม่ควรทำร้ายเรา"

    สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงพาพรานเนสาทลงไปเมืองนาค คิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้อง เมื่อไปถึงประตู เมืองนาค ก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่ อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มา จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์ สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหม และกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคล ที่ไม่สมควรจะถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ การฆ่าพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง สุโภคะกำลังลังเลใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไร

    พอดีภูริทัตต์กลับมาถึง ได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่า อริฏฐะ นั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ และการบูชายัญของพราหมณ์ จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้าง มิให้ผู้ใด คล้อยตามในทางที่ผิด


    ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดงความเป็นจริง และในที่สุดได้กล่าวว่า
    "การบูชาไฟนั้น หาได้เป็นการบูชาสูงสุดไม่ หากเป็นเช่นนั้นคนเผาถ่าน คนเผาศพก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชา ไฟยิ่งกว่าพราหมณ์ หากการบูชาไฟเป็นสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริง พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชา แต่พราหมณ์กลับบูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า"

    อริฏฐะกล่าวว่า พรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างโลก ภูริทัตต์ตอบว่า
    "หากพรหมสร้างโลกจริง ไฉนจึงสร้างให้โลก มีความทุกข์ ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุข ทำไมพรหม ไม่สร้างให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เหตุใดจึงแบ่งคนเป็น ชั้นวรรณะ คนที่อยู่ในวรรณะต่ำ เช่น ศูทร จะไม่มีโอกาสมีความสุข เท่าเทียมผู้อื่นได้เลย พราหมณ์ต่างหากที่พยายามยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูง และเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่า โดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหม เช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร"

    ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริง ซิ่งอริฏฐะ ไม่อาจโต้เถียงได้ ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้ นำพรานเนสาทไปเสียจากเมืองนาคแต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใด จากนั้นภูริทัตต์ก็พาพี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดา กลับไปเมืองมนุษย์ เพื่อไปเฝ้าพระบิดา พระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว

    เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมือง ภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกา บำเพ็ญเพียร รักษาอุโบสถศีล ด้วยความสงบ ดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า
    "ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญความ ทุกข์ยากอย่างไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ ในศีลตลอดไป"

    "ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณ แต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล้ว"


    สาธุอนุโมทนาบุญกุศลร่วมกันทุกท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    มล ...ว่า ภาพเกาะดอนสวรรค์

    คือ มล หวังว่าจะวิปลาส นะ เพราะคิดว่าจิตมลปรุงแต่งละกัน
    เอ่อ ตรึม เลยเจ้าค่ะ มายก้อดดดดดดดดดดดดดด
     
  5. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
     
  6. ธารทอง

    ธารทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2015
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +2,442
    ได้รับพระธาตุเรียบร้อยแล้วนะคะ

    *** ขอบคุณมากค่ะ :) ***
     
  7. สะไบดินแดง

    สะไบดินแดง ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,062
    ได้รับพระธาตุ เรียบร้อยแล้วนะคะอาจารย์นพ
    งามมากเลย ใส่ปิ๊ง น่ารัก (ที่บรรจุ เรียกว่าอะไรนะคะ )
    ตอนแรก ที่เปิดออกมา คล้ายกับ หมากรุก เลย
    ใส่ สวย งามมมม มากคะอาจารย์นพ

    ขอขอบพระคุณอาจารย์นพ มาณ ที่นี้ด้วยค่า
     
  8. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ขอบพระคุณมากๆค่ะ ได้รับองค์พระธาตุแล้ว (เร็วมาก ยังกับหายตัวมา) นำท่านขึ้นหิ้งแล้ว เดี๋ยวถ้าหาฐานบัวได้จะจัดท่านประทับอีกพานค่ะ

    20180820_134916.jpg
     
  9. ธารทอง

    ธารทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2015
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +2,442
    ยินดีด้วยนะที่ได้บ้านใหม่แล้ว
    ที่บรรจุพระธาตุ เรียกว่าผอบแก้วจ้า ^_^
     
  10. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    479
    ค่าพลัง:
    +1,205
    ผมสงสัยท้าววิรูปักษ์ไม่ใช่เหรอที่เป็นราชาแห่งนาค
     
  11. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เข้าใจว่า เรื่องนี้คือชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สมันที่ท่านยังต้องบำเพ็ญบารมี จึงอาจเข้าใจว่า สมัยนั้นยังไม่มีการจัดลำดับ หรือ สถาปนา(โดยมนุษย์) ว่าท่านใดเป็นใหญ่สุด ต่างปกครองกันเองในบ้านเมือง ส่วนสมัยนี้ คงจะมีการจัดระบบระเบียบ เพื่อความเรียบร้อยกระมัง
     
  12. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +4,720
    ได้รับพระธาตุพระโพธิสัตว์
    กับพระสรีระองค์สีทองอร่าม แล้วครับ
    (ตามรูปที่ส่งมา)

    **ขอขอบพระคุณ**
    ท่านอาจารย์นพมากๆครับ

    ...พอรับกล่องจากบุรุษปณ.
    แล้วท่องคาถาใกล้ประตูบ้าน
    เพื่ออัญเชิญองค์พระธาตุ
    เสด็จเข้าไปในบ้านพอเป็นพิธีง่ายๆก่อน
    ขณะที่ท่อง **ขนลุกเลยครับ**


    ...หลังจากขอองค์พระธาตุบันทึกรูปแล้ว

    **ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ใจขึ้น**


    คือขณะเหลือบมองไปที่ผอบแก้ว

    เห็นพระธาตุกลมๆสีดำใส 2 องค์ปรากฏขึ้น
    ...ขนาดไข่ปลาเล็ก(เท่าเม็ดงาดำ)


    กลิ้งไปมาอยู่ใกล้ๆพระธาตุ 5 องค์
    "ขนลุกซู่เลยครับ"
    ทั้งที่ตอนแรกเปิดดู"ไม่มีครับ"
    (ที่กลิ้งไปน่าจะเพราะตื่นเต้นมือไม่นิ่งครับ)

    เป็นเรื่องที่น่าพิศวงยิ่งนัก
    จึงคิดไปว่า...

    "หรือองค์พระธาตุเสด็จมาเพิ่ม"
    ???

    (รูปที่ส่งมานี้ถ่ายก่อนครับ)
    (แม้จะถ่ายใหม่ก็ไม่น่าจะมองเห็นครับ)




    IMG_20180820_144220 - Copy.jpg IMG_20180820_143208 - Copy.jpg
     
  13. สะไบดินแดง

    สะไบดินแดง ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,062
    ขอบคุณมากค่าพี่ธารทอง ดีใจสุดๆเลยคะ
    มีแต่สิ่งดีดีเข้ามา
    ได้รู้จักพี่พี่ที่น่ารักทุกท่านในนี้
    ทุกๆวันไม่เบื่อเลย
    มีความสุข สุดๆคะ
     
  14. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    คือจะบอกว่า น้องสาวได้รับพัสดุจากอาจารย์นพ
    ตั้งแต่วันอาทิตย์ บ่ายสองค่ะ งง ว่า เร็วมาก

    รอการจัดส่งมา สหรัฐ ค่ะ (เสด็จข้ามมหาสมุทรกันทีเดียว)

    ขอบพระคุณนะคะ
     
  15. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    ดีใจที่ได้รับมิตรภาพดีดีเช่นกันค่ะ
     
  16. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    :) ได้คุณวงกรตน้ำ มาตอบ ขอบคุณค่ะ
     
  17. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +4,720
    ถือเป็นมงคลสูงสุด… สวด “คำไหว้พระธาตุรวม” ตำรับ “หลวงพ่อเกษม เขมโก” อานิสงส์มหาศาล ท่านบอกไว้ “สวดทุกๆวันดีมาก”
    Publish 2017-11-26 09:24:39

    24008275_852719188236326_1365015180_o.jpg


    “พระบรมสารีริกธาตุ” คือ “พระอัฐิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งก่อนปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงอธิษฐานให้คงเหลือพระบรมสารีริกธาตุไว้ ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแก่พุทธบริษัทสืบมา ส่วนคำว่า “พระธาตุ” จะใช้เรียกอัฐิของพระอรหันตสาวก แต่อย่างไรก็ดี ในภาษาพูดทั่วๆไปก็จะมักเรียกรวมกันสั้นๆว่า “พระธาตุ”

    สำหรับพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุนั้น ได้ถูกบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์หลายแห่ง หรือแม้แต่ในภพภูมิอื่นๆ เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็มีพระเจดีย์จุฬามณีที่บรรจุ พระเกศธาตุ กับพระเขี้ยวแก้วข้างขวาของพระพุทธเจ้าไว้ และในภพของพญานาค ก็มีพระธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำซ้าย ประดิษฐานอยู่ และยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อยที่อยากไปกราบสักการะ หรือ สวดบทบูชาพระธาตุทั้งหมดอันประดิษฐาน ณ สถานที่ต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล

    ฉะนั้นจึงขอกล่าวถึง ตำรับ “คำไหว้พระธาตุรวม” ที่เขียนไว้ โดย “หลวงพ่อเกษม เขมโก” สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง มีดังนี้


    23972770_852719011569677_1591801013_n.jpg

    "...วันทามิ เจติยัง สัพพัฏฐาเนสุ ปะติฏฐิตา

    สะรีระธาตุง มหาโพธิง พุทธะรูปัง สะกะลัง สะทา

    นาคะโลเก เทวะโลเก ตาวะติงเส พรัหมะโลเก

    ชัมภูทีเป ลังกาทีเป สะรีระธาตุโย เกสาธาตุโย

    อรหันตาธาตุโย เจติยัง คันธะกุฏิ จตุราสีติสะธัมมักขันธา

    ปาทะเจติยัง นะระ เทเวหิปูชิตา

    อะหัง วันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิทูระโต

    อะหังวันทามิ สัพพะโส.."

    ท่านยังบอกไว้อีกว่า “คำไหว้พระธาตุรวมหมดเท่านี้ เอาไหว้สวด ทุก ๆ วันดีมาก”


    สำหรับอานิสงส์ของการบูชาพระธาตุโดยทั่วไปนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล เช่น ส่งผลให้ตนเองและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ทำให้อุปสรรคทุกอย่างในชีวิตผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ได้รับการเคารพยกย่อง ไม่ตายด้วยศาสตราวุธ เทวดารักษาคุ้มครอง และอื่นๆอีกมาก

    อย่างไรก็ตาม ก่อนสวดคำไหว้พระธาตุรวม ต้องตั้งจิตเป็นสมาธิ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จะทำให้เกิดผลมาก อานิสงส์มาก และสิ่งที่ผู้ศรัทธาพึงตระหนักนอกจากการสวดมนต์ต่างๆ คือ การปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อพัฒนาจิตให้เกิดความสงบสุข ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง


    ขอบคุณข้อมูลและภาพบางส่วนจาก เพจ : หลวงพ่อเกษม เขมโก

    ขอบคุณ ข้อมูลจากเวปทีนิวส์

    เรียบเรียงโดย
    นภาพร เครือชัยสุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    องค์เล็กๆกลมจะเป็นพระสรีระ
    ส่วนตัวไม่เคยเห็นมีสีดำมาก่อนนะ
    เคยถ่ายรูปออกม่วงเข้ม แม้ภาพอาจดูดำ
    ถ้าสีออกคล้ายทองแดงเข้มแบบสีลูไซด์
    ม่วงเข้มเปลือกมังคุดนะพอมี

    ปล.ที่ให้ทุกคนไป จะเหมือนกันคือ
    มีพระธาตุเสด็จองค์ใหญ่สุด
    พระธาตุพระโพธิสัตว์สีใส
    พระสรีระเสด็จสีทอง รวมๆ
    เพราะสีทองมองเห็นง่ายสุด
    ดูมีเยอะหน่อย

    ภาพคือ ที่เปิดดูครั้งแรกหลังจากที่ได้มา
    น่าจะเกือบ ๑๐ ปีแล้วจำไม่ได้
    แจกไปแล้วรอบหนึ่งจำ
    ไม่ได้ว่าให้ใครไปบ้าง

    จะมีองค์กลางหนึ่งองค์
    และพระสรีระสีแดงเท่านั้น
    จำนวนไม่มาก. เต็มที่ไม่เกิน ๒๕ องค์
    พระสรีระสีแดงตอนที่ได้มา
    องค์จะเล็กกว่า
    สีทองที่ให้ไป ณ เวลานี้

    หลังๆก็ได้ สีทองแดง สีทองมาอย่างละ
    ไม่เกิน ๒ องค์ ได้พระธาตุมา ๙ องค์
    ได้พระธาตุพระโพธิสัตว์(สีใสที่ให้ไป)
    มาจำนวนหนึ่งจำไม่ได้เพราะไม่ได้นับไว้
    ตามภาพเดิมก่อนหน้า CBE41814-9D72-4560-ACE2-7299C4393ACF.jpeg

    ประมานนี้หละ.

    ผอบ ที่ให้ไปเป็นอะคริลิก คือจะไม่ขุ่น
    แม้ใช้ไปนานๆเหมือนพลาสติก
    แต่ผอบแก้วก็มี แต่แพง ๕๕

    ชาดกแต่งเพิ่มโดยสายมหายาน
    อ่านได้ฟังได้แต่อย่าไปยึด
    พอขำๆ ถือว่าได้ข้อมูลคนละแหล่ง
    หากรู้แตกต่างกัน เพราะไม่มีข้อสรุป

    ตำราที่ขึ้นเรือทางนครศรีธรรมราช
    สมัยพระเจ้าอโศกไม่มีแม้แต่รูปปั้นนะ
    ช่วงนั้นแบ่งเป็นเป็น ๙ สาย ไม่ใช่ ๙ เล่ม
    เมื่อก่อนบอกผิดขออภัย

    ถ้าเราสังเกตุพระเครื่องสมัยก่อนที่เก่าๆ
    จะมีเครื่องทรง ทั้งกำไล ที่แขน
    ยุคนั้นท่านเป็นกษัตริย์หรือบ้าง
    เรียกพระเจ้าจักพรรดิ์
    ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ. อย่าเข้าใจผิด
    ฟังหูไว้หู

    เรื่องภพภูมิ
    พึ่งมีมาเพิ่มช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา

    ยุคที่ทันพระอานนท์ กับพระอุบาลี
    มีแต่พระสูตรและพระวินัยเท่านั้น
    ย้ำว่าเท่านั้น พระอภิธรรมเริ่มเข้า
    มาแทรกครั้งแรกๆตอนงานศพ
    สังเกตุง่ายๆตายน้ำตื้นเรื่องเงิน

    พระธรรมเป็นคำสอน เขียนได้
    แต่งเสริมเพิ่มได้
    ธรรมะเป็นสภาวะธรรมในอริยสัจ
    ยังไงก็ไม่มีใครทำให้เปลี่ยนได้
    แยกพิจารณาให้ดีๆ ดังนั้น
    สบายใจได้ หายห่วง

    ทุกอย่างอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้
    ดังนั้นก็รู้ๆ ฟังๆ อ่านๆไป พอฮาๆ


    ท่านปู่ ใส่ขุดขาว เหมือน
    มวยมัดผมยาว ดูคล้ายพราหมณ์
    หน้าเรียวคม ชื่อขึ้นต้น มหากัสฯอะไรนิหละ
    จำชื่อท่านไม่ได้. เป็นต้นตำรา
    วิชาเดินธาตุโบราณ เป็นภูมิพนานาค
    ทริคเริ่มต้นคือตั้งธาตุกลางอากาศ ด้วยธาตุ น้ำ ดิน ไฟ ลม เป็นวงกลมตามลำดับ หมุนรวมกันด้านซ้าย
    (ขวาจะขยาย)ให้เล็กสุดแล้ว
    บังคับด้วยหน้าอก
    และดึงเข้ามาตั้งที่หน้าอก
    เป็นพื้นฐาน
    ที่เก่งๆคือที่ ที่เค้าทำหรือคลาย
    ที่เราเรียกเพชรพนานาคได้นั้นหละ
    ไม่ใช่อมไว้ในลำไส้นะคนละแบบ
    พวกสายตรงมักจะนั่งสมาธิได้นาน
    และนั่งเข้าไประดับสูงได้ถึงอรูปฌาน
    แต่ระวังอย่ายึดเรื่องภพชาติ
    โดยเฉพาะเรื่องloveๆ ในอดีตชาติต่างๆ
    จะปลอดภัย

    จบนิทานปนโม้
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ที่ปลายยอดพระจุฬามณีสีใสนั้น
    จะมีเทวดาองค์สีเขียวเข้ม ออกด้านๆ
    ที่ยกพับขาเหมือนภาพ
    ภาพเทวดานางฟ้าในผนังวัด ผนังโบสถ์
    ลอย(หรือเหาะท่ายกพับขา)
    เฝ้าพระบรมสารีกธาตุอยู่
    บริเวนรอบๆปลายยอดพระจุฬามณี

    ส่วนเมืองบาดาล ผ่านประตูเข้าไปได้
    จะเจอพระบรมสารีฯก่อนเลย
    แอน จะเจอท่านสีดำและสีขาว
    เฝ้าอยู่ ๒ ท่าน ถ้ามองผ่านไปใจกลางเมือง
    จะเจอปราสาท ของท่านมีชื่อ
    ที่ชื่อท่านปู่ศรี... แต่ภาพดูหนุ่มๆ
    เห็นในกระทู้นี้มีคนเอาภาพมาลง
    ดูคล้ายๆ ปราสาททองที่. กทม.นั่นหละ
    สาวนสถานที่บรรจุอื่นๆ
    เคยอ่านผ่านๆแต่ไม่เคยไป

    จบ นิทานปนโม้
     
  20. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    ขอบคุณค่ะ ที่มาเล่าให้ฟัง ชอบๆๆๆค่ะ

    :D
     

แชร์หน้านี้

Loading...