ถามเรื่องความสำคัญของศีล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 8 กรกฎาคม 2017.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    หัวมันอยากทราบว่าศีลมีความสำคัญในการปฏิบัติธรรม
    แลัช่วยยกระดับภูมิปัญญาของมนุษย์อย่างไร
    อบากทราบประสบการณ์ของท่านทั้งหลาย
    ทั้งทางจิต และทางรูปธรรม
    อย่าติเตียนว่าถามอะไรโง่ๆ เลยนะคะ
    อยากได้มุมมองแปลกใหม่เป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมค่ะ

    ขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมชี้แนะให้ความสว่างแก่ดวงจิตข้าน้อยค่ะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ทางรูปธรรมหาอ่านได้จาก Google
    ส่วนทางนามธรรม
    การที่จิตเรามีศีลที่มั่นคงต่อเนื่องได้ยาวนาน
    นอกจากที่จะทำให้จิต เป็นปกติและหนุน
    ให้เกิดความสงบได้ง่ายขึ้น
    จากเรื่องที่จะเข้ามารบกวนจิตใจต่างๆแล้ว

    ดวงจิตเราจะได้รับความเคารพยำเกรง
    จากภาคส่วนภพภูมิครับ ถามว่าตรงนี้มีส่วน
    สำคัญไหม สำคัญครับ เพราะสำหรับผู้ปฏิบัติ
    บางกลุ่ม การที่ได้ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ
    หรือภาคส่วนภพภูมิต่างๆมาแนะนำนั้น
    จะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้น ก้าวผ่านและเข้าถึง
    ในกรรมฐานกองนั้นๆได้เร็วมากครับ

    เช่น บางกองทั่วไปอาจฝึกเป็น ๕ ปี ๑๐ ปี
    แต่ผู้ปฏิบัตินั้นอาจจะสำเร็จได้ภายในเวลา
    ไม่กี่เดือน เพราะว่า สภาวะต่างๆนั้นมันเป็น
    นามธรรม มักจะไม่มีอธิบายในตำรา
    ดังนั้น ความมั่นคงของศีล ที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง
    จึงเปรียบเสมือนให้เราเข้าถึงเรื่องนามธรรม
    ที่เป็นสภาวะต่างๆในการปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
    ไม่ว่าจะเรื่องกรรมฐานต่างๆ
    หรือการก้าวผ่านสภาวะนามธรรมต่างๆ
    ในขณะที่เราฝึกเกี่ยวกับเรื่อง สติ ปัญญา ฯลฯ

    ส่วนเรื่องความมั่งคงของศีล ตัวเราเองที่จะรู้ตัว
    เองดีที่สุดครับ และไม่จำเป็นจะต้องไปบอกใคร
    ไม่งั้นจะกลายเป็นการอวดดีครับ

    แล้วก็ให้มาดู ที่ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ
    ของเราว่า ไปได้ช้าหรือเร็ว ถ้าช้า เหตุเพราะ
    ๑.เราฝึกกรรมฐานโดยมุ่งเพื่อตัวเองฝ่ายเดียวหรือไม่
    ๒.เราลูบๆคลำศีลหรือไม่
    ๓.เรารู้จัก ทำเรื่องสมมุติทางโลกต่างๆ
    ของเราให้เรียบร้อยหรือยัง
    ๔.เราเผลอไปปรามาส บุคคลหรือสิ่งที่ไม่ควรปรามาสหรือไม่
    ๕.เราปฏิบัติแบบเอื่อยๆ เฉี่อยๆหรือไม่
    ๖.เราไปคาดหวังผลในสิ่งที่เรากระทำมากเกินไปหรือไม่
    ๗.พื้นฐานทางด้านจิตใจเราดีหรือยัง เช่น ยังขี้เหนี่ยวอยู่ไหม
    มีเมตตาเพิ่มขึ้นไหม ยังแยกแยะ แบ่งฝ่ายอยู่หรือไม่ ฯลฯ
    นี่แค่ตัวอย่าง
    เราปฏิบัตืเพื่อให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
    เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ อย่างแยบยล
    ตัวเราไม่รู้ ไม่ใช่ตัวที่เป็นกายเนื้อเรามันรู้
    แต่ที่รู้มันคือปัญญาทางธรรมครับ
    ดังนั้น อย่ายึดมั่น อย่าฟันธง
    ในภาคส่วนครูบาร์อาจารย์ หรือภพภูมิต่างๆ
    ก็อย่าไปยึด แต่ควรให้ความเคารพนับถือ
    ปล.อย่าไปเปรียบกับบุคคลที่เราเข้าใจว่าเค้าไม่ศีล
    แต่ทำไมเค้าทำโน้นนี่ได้ โดยที่เราไม่ทราบหรือไม่รู้
    หรือสัมผัสด้วยตัวเราเองจริงๆ ความสามารถมันมี
    แบบที่เสื่อมได้และจำกัด กับ แบบที่พัฒนาได้ของมัน
    เรื่อยๆตามแต่ละดับกิเลสในใจที่น้อยลงครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ดูดีๆนะครับ ถ้าสงสัยเรื่องศีล
    ให้ระวังการคบหามิตรให้ดี....

    ให้สังเกตุ การไปยึดติดในลาภ
    ยศ สุข สรรเสริญให้ดีๆ

    และให้ระวังเรื่อง กลจิตนะครับ

    มายาจิตเป็นแค่เพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยึดไม่ได้นะครับ

    เข้าใจนะ เห็นตาเปล่าๆยังยึดไม่ได้นะครับ
     
  4. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ขอบพระคุณท่านนพกานต์ค่ะ
    หัวมันเองก็รักษาศีลได้ไม่บริสุทธิ์เท่าไหร่
    แต่ก็พยายามรักษาข้อ 3 ข้อ 5 ให้บริสุทธ์
    ก็ยังได้สัมผัสอานิสงค์ของศีลชัดเจนพอสมควร
    ทั้งความสงบของจิตใจ ความเดือดร้อนรำคาญต่างๆ ลดลงมาก
    จิตใจมีพละกำลังสดชื่น กระชุ่มกระชวย
    การทำงานต่างๆ ที่เคยติดขัด มีอุปสรรค มีเรื่องให้กังวลตลอดเวลา ก็สำร็จง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ
    อัศจรรย์ใจจริงๆ ค่ะ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
    ตามวาระแห่งตนเองครับ
     
  6. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    แฮ่ แค่เปรียบเทียบชีวิตก่อนกับหลังรักษาศีล นะคะ
    คือมันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนที่มีภูมิธรนมสูงแล้ว
    แต่สพหรับหัวมัน มันก็ยิ่งใหญ่ระดับนึงนะ อย่างน้อยก็ทพให้ศรัทําและชื่อมั่นในอานิสงค์ของศีลมั่นคงขึ้น
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สีล สำคัญมาก

    ในแง่ที่ทำให้รู้ชัดว่า. ลูบคลำสีลพรต

    คือ. ไปเข้าใจว่า. รักษาสีลให้ดี แล้วจะบรรลุธรรม

    อีก ตัวหนึ่งคือ. สมถะ หรือ สมาธิ

    สำคัญกว่าสีล เพราะจะยิ่งทำให้รู้ชัด คือ. การลูบคลำถือพรต

    รวมเปน. สีลพรตปรามาส. เปนสังโยชน์

    เปนตัวพ่อของกิเลส. อวิชชา

    แต่ได้ยินแบบนี้ กรุณา. อย่าถือเอาตาม ตรรกภาษา

    ให้ เอาผลการปฏิบัตที่ทำได้นั่นแหละ. ลูบคลำแค่ไหน
    เอาแค่นั้น. หากทำได้มากกว่านั้น ก้เอาหัวขวิด. ก้นแตก
    ทางจงกรมนองไปด้วยเลือด

    ยิ่งประกอบมาก. ยิ่งรู้ชัดมาก. ลูบคลำสีล ลูบคลำรูปวจรจิต. อรูปวจรจิต

    ลองหา. พุทธวัจจนะ. อ่านดู

    สาทะ. รสอร่อยของเวทนา. อทุขมสุข

    รสอร่อยของสีล. ของพรต คือ. อาการตนไม่เดือดร้อน
    ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน.

    หากยังพอใจแค่ ตนไม่เดือดร้อน. คนอื่นไม่เดือดร้อน

    พระพุทธตรัสว่า. หากยังเพลินในเวทนา. ก้ไม่ต้อง
    ปรารภถึง. สัมมาทิฏฐิ การพ้นนรก

    ปล. การมีสีล มีพรตแล้ว. ยินดีพอใจในความไม่เดือดร้อน

    แน่นอนว่า. จะไปเกิดเปนเทวดา. เปนพรหม

    แต่หลังจากหมดบุญ. ก้ยังแล่นลงนรกได้อยู่ดี


    เราจึง หมั่นมีสีล. หมั่นบำเพ็ญพรต. เพื่อใช้เปนอุบาย.
    กำหนดรู้เวทนาสาม

    ถ้าเรากำหนดรู้เวทนา เกิด ดับ. ได้ขณะจิตเดียว

    เทพ มาร. พรหม หัวแตกเปนเจ็ดเสี่ยงแน่ ถ้า คุณไปเคารพพวกเขา
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อานิสงคของ สีล. จะส่งไปเปนเทวดา มีศักดิ์

    การยินดีใน อามิส. จะส่งไปเกิดเปน. เปรตนรก

    ถ้าไม่ถนัดกำหนดเวทนา. ให้กำหนดดู จิตไม่เที่ยง
    ไม่ใช่เรา. มีเบา. มีหนัก. มีฟู มีแฟบ มีมืด. มีสว่าง
    ล้วนเปน. ความปรกติของจิต. ที่จะต้องแปรปรวน
    อย่างนั้น

    สุขสั้นนิดเดียว. จาก. การมีสีล

    หลังจากนั้นโลภ. เผลอเพลิน
     
  9. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ขอบพระคุณค่ะ ที่เมตตาชี้แนะข้าน้อย
    ใช่ค่ะ มีแต่ศีล แต่ไม่เจริญสมาธิ และสติ ปัญญาก็ไม่เกิด ย่อมไม่พ้นทุกข์ถาวร

    กำหนดรู้เวทนา เกิดดับได้ในขณะจิตเดียว เป็นสภาวะจิตของอริยะ ระดับใดหรือเจ้าคะ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เปน ขั้น ปุถุชนขาดการสดับ

    ถ้ากำหนดได้ ก้ต้อง. หมั่นประกอบ

    จนกว่าจะ รู้รสบางอย่าง. ที่ ไม่ต้องถามใคร

    ไม่มีคนใดแสดงได้ ตัวคนภาวนาเองก้ไม่เกี่ยว

    ก้จะ. ค่อยเปน. ปุถุชนหมั่นสดับ. หรือตามเหน
    สัจจ นั้น

    จนกว่าจะ. ไม่ถือมั่น. ญาณอริยสัจจ นั้นด้วย

    ค่อยว่ากันเรื่อง. สัมมาทิฏฐิ สัททาที่ไม่เหนศาสดาอื่น
     
  11. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    เฮ่อ บางครั้งจิตใจอ่อนแอ ท้อถอย อยากได้รับการชี้แนะบ้าง แน่นอนละ ถ้าเก่งขนาดท่านว่า ข้าพเจ้าคงไม่เสียเวลาตั้งกระทู้ถามแน่นอน
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    หลักๆคือ อย่าไปดึง อย่าไประลึก อย่าไปนึก
    อย่าไปคิด ทุกเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว
    ย้ำว่า ทุกเรื่องในอดีต
    และทุกเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
    เข้ามาปรุงแต่งทุกๆกรณี....

    เพราะการระลึก นึกขึ้น คิดขึ้นได้
    มันเป็นวิบาก(กระแสที่จรมาเรื่อยๆ)ทางจิต
    ซึ่งถ้าเราเผลอไปปรุงแต่ง
    มันจะส่งผลให้เกิดเวทนาทางกายในลำดับต่อมา

    ต้องใช้สติเพื่อให้ทันเรื่องพวกนี้ให้ได้ก่อน
    เมื่อรู้จัก ควบคุมความคิด รู้จักควบคุมพฤติกรรมของจิตแล้ว
    แต่ไป จิตมันถึงจะเริ่มปล่อยวาง
    เรื่องที่เคย ระลึก เคยนึก เคยปรุง เคยคิดขึ้นได้
    เมื่อปล่อยวางได้แล้ว จิตถึงจะเข้าสู่สภาวะที่เป็นกลาง
    เป็นกลางคือ แค่รู้ แต่ไม่ไปปรุงร่วมกับมัน

    สภาวะจิตแบบนี้ ถึงจะสามารถเดินปัญญา
    เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้ในอนาคต

    ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยการเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    บวกกับกำลังสมาธิสะสมต่างๆเพื่อที่จะมาหนุน
    ในส่วนนี้ เรียกได้ว่า ทั้งศีล สมาธิ สติ หรือปัญญา
    มันเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกันอยู่ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้...

    จากนั้นให้มาดูผลว่า ในระหว่างวันที่เราใช้ชีวิตปกตินั้น
    จิตเราสามารถสงบ สามารถคลายตัวเอง
    ได้โดยธรรมชาติของมันเองหรือเปล่า
    โดยที่ไม่ต้องใช้อะไรไปกระทำให้มันคลายตัว

    ตรงนี้เป็นการตรวจสอบตัวเราเองไปในตัว
    เรื่องอื่นๆทางนามธรรมที่เกิดขึ้นมาต่างๆ
    ในระหว่างทางนั้น พวกนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก
    มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมันครับ

    ซึ่งจะส่งผลต่อ ตัวโลภะ โทสะ โมหะเรา
    ที่จะไปดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวเราอย่างไม่รู้ตัวได้นั่นเองครับ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ไตรสิกขา ได้แก่ สิกขา/ข้อศึกษา ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ และปัญญา สิกขา ๓ ย่อมาจาก มรรค มีองค์ ๘ เรียกเต็มว่า อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ตามลำดับ

    ศีล ควบคุมข้างนอก คือ กาย กับ วาจา ส่วน สมาธิ กับปัญญา เรื่องจิตกับปัญญา เรื่องยาวเรื่องใหญ่
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    หลักสั้นๆมีอยู่ว่า

    การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ชื่อว่า ศีล
    การรักษาใจมั่น ชื่อว่า สมาธิ
    ความรอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่า ปัญญา
     
  15. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +165
    มีสติอยู่กับปัจจุบันกาล ศีลก็บริสุทธิ์แล้วครับ...

    ส่วนตัวคิดว่า พระอรหันต์ไม่ได้มานั่งนับหรอกครับว่า ศีลมีกี่ข้อ และมานั่งระวังไม่ให้ผิดศีล... แต่การปฏิบัติทางจิตของท่านต่างหากที่เป็นตัวรักษาศีลของท่านเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ศีลคือการเข้าถึงความปกติของจิตในระดับการกระทำ ผู้ที่จิตบริสุทธิ์จะมีศีลเป็นปกติ ศีลส่งเสริมสมาธิและปัญญา
     
  17. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ศิล คือความปรกติของใจ ถ้าใจเราปรกติได้ ความสงบตั้งมั่นของจิตย่อมเกิดได้ง่าย
    ศิลขั้นเริ่มต้น ต้องอาศัยเจตนา เช่นอาราธนาศิล5 แล้วตั้งใจรักษาศิล ซึ่งการมีสติ
    หมั่นสำรวม กาย วาจา ใจ ให้สุจริต นี้แหละคือการรักษาศิล กายสุจริตคือไม่ไป
    เบียดเบียนผู้อื่นทางกาย เช่นไม่ลงมือฆ่าสัตว์ มีสติรักษาวาจาให้สงบ ไม่พูดคำโกหก
    เพ้อเจ้อ หยายคาย หรือยุแยงคนอื่น นี้คือมีสติรักษาวาจา และสติรักษาใจให้ปรกติไม่ให้
    คิดในทางไม่ดี คือความคิดในทางพยาบาท เบียดเบียนผู้อื่น เพราะทุกอย่างเริ่มที่ใจ ถ้าใจ
    คิดในทางไม่ดี ก็ให้รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปซะ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ รักษาใจให้ปรกติ

    ศิลที่รักษาด้วยสติ เมื่อเรารักษาศิลไปนานๆด้วยสติ และที่สุดศิลจะกลับมารักษาใจเราให้ปรกติ
    ถ้าเราจะทำผิดศิลข้อใดๆ สติจะระลึกหรือเตือนเราทันที ที่จะทำผิดศิล เช่นแต่ก่อนยุงบินมาเกาะ
    แขนก็จะตบทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าสติเตือนเรา เราจะหยุดยั้งความคิดที่จะตบ มือเราก็หยุดได้
    ทันที นี้แหละ ศิลที่มีสติเรียกว่า ศิลสังวรณ์ เป็นศิลที่ข้ามพ้นการยึดถือแบบงมงาย คือถือศิลแล้ว
    คิดว่าต้องได้เป็นเทวดามั่ง ได้นั่นได้นี้บ้าง นี้คือศิลที่ถือแบบงมงาย ศิลที่รักษาด้วยสตินี้จึงเป็น
    ศิลที่รักษา เพื่อสำรวมกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ศิลนี้จึงเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน...
     

แชร์หน้านี้

Loading...