วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    พี่หนูออกอย่างไรหรอ ผมพยามจะออกก็ไม่ออกสักที อยากไปเฝ้าพระพุทธบิดาครับ ภาวนานะมะพะ หร อ....คับ
     
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้มีประสบการณ์จะมาเล่าให้ฟังสักนิดค่ะ...

    เผอิญ?... ตอนนี้ต้องย้ายบ้านจากในกทม. มาอยู่ที่นนท์...
    รื้อข้าวของที่แอบซื้อเตรียมไว้ให้ทุกๆ คนในบ้าน (ถ้าทุกคนยอมมาอยู่รวมกันหมดจริงๆ) ซึ่งมีประมาณ 10 ถึง 14 คน... ประกอบไปด้วย...
    คนสูงอายุ 2 คนท้องเกือบแก่ 1 เด็กเล็กที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ (ในยามที่มีภัย) อีก 4 มีคนที่พอจะมีแรงช่วยตัวเองและคนอื่นเหลืออยู่จริงๆ 3 - 5 คน... อ้อ! อาจจะมีคนอื่นเพิ่มมาอีกด้วย...

    ซื้อสิ่งที่เป็นปัจจัย 4 ... อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
    (มีของสำหรับใช้ได้ประมาณ แค่ 2 - 3 เดือนเท่านั้น...)

    พอขนของออกมากองรวมกัน... โอ้โฮ! ถ้าขนเที่ยวเดียวนี่ ต้องใช้รถบรรทุกเล็กเลยนะนี่...

    แล้วถ้าเกิดภัยขึ้นจริงๆ แต่ละคนคงอยากเอาของของตัวเองไปด้วยให้มากที่สุดแน่ๆ... ซึ่งคงไม่มีทางเป็นไปได้แน่... แค่นี้เองก็คงไม่ต้องรอให้ภัยนอกบ้านเกิดขึ้นแน่...

    ถ้าคนในบ้าน ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่เป็นสัมมาทิฐิ เห็นแก่ตัว... เท่านี้เอง สงครามในบ้านก็เกิดขึ้นได้แล้ว... แค่แย่งกันขนของของตัวขึ้นรถเก๋ง หรือกระบะก็เถอะ... แค่นี้ก็ทะเลาะกันได้ ถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันก็ยังได้... นับประสาอะไรที่จะไปเอาชีวิตอยู่รอดจากภัยนอกบ้าน...

    แต่ถ้าคนในบ้านเป็นสัมมาทิฐิจริง... จะหนีกันยังไง จะอพยพกันอีท่าไหน แค่แบกกระเป๋าคนละใบ... ถ้าต้องเดินเท้า... ยังไม่ถึงกิโลละมั้ง... คงต้องทิ้งของลงตามๆ กันแน่... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีคนที่พอจะแข็งแรงอยู่บ้าง เพียงแค่ 3 - 5 คน ที่จะต้องทั้งคอยดูแล ช่วยจับ ช่วยพยุง และถือของให้แทนคนที่เหลือ... ถ้าไม่มีจิตใจคิดจะสงเคราะห์กันจริงๆ คงต้องตัวใครตัวมันกันในที่สุดเป็นแน่...

    อยากจะเตือนทุกๆ ท่านให้ระวังตัวกันมากกว่ายามปกติสักหน่อย อย่าเผลอ อย่าประมาทนะคะ นับแต่ตอนนี้ไป...

    เมื่ออกุศลมารวมตัวกันมากๆ เข้า... คำโบราณที่พูดเอาไว้ว่า เมื่อมีภัย สันดานเดิมแท้ของแต่ละคนจะโผล่ออกมา...

    นั่นหมายความว่า... ความเลวทั้งหลายของทุกๆ คน ที่เคยคิดว่าไม่มีบ้าง มีนิดเดียวคงไม่เป็นไรบ้าง หรือแกล้งทำเป็นไม่มีบ้าง... จะพากันปะทุออกมา...

    ถ้ามีศีล มีธรรม คอยคุ้มกันจิต มีสติตามรู้เท่าทันอวิชชา ไม่หลง ไม่เป็นมิจฉา... ก็คงพอจะรีบระงับ หรือแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้โดยไม่ยากเย็น...

    แต่ถ้าขาดเสียแล้วซึ่งหลักชัยของจิต... ทุกท่านลองนึกภาพดูเถิดว่า จะขนาดไหน

    นี่คือเหตุผลว่า ทำไมพวกเราถึงต้องมาฝึกจิต ฝึกสติ กันแบบที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  3. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เข้าใจถึงดวงจิต เลยครับพี่ธร ขอบคุณครับ

    จริงอย่างที่พี่ว่า ปกติคนเราจะแอบเห็นแก่ตัว เป็นธรรมดาครับ ซึ่งก็หาเหตุผล

    เข้าข้างตัวเองเสมอว่า นิดหน่อยเองไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น

    ได้คงต้องพัฒนาเรื่องจิตของตนเองก่อน เป็นสิ่งสำคัญ ไม่งั้นเรื่องจะไปช่วย

    ผู้อื่น คงได้แค่คิด พอเวลาจริงๆ ก็ต่างคนต่างหนีไป


    ปล.ผมก็เป็นนะครับ แอบเห็นแก่ตัว ก็ต้องมาฝึกปรับความคิดกันใหม่ เริ่มที่
    ตัวเองก่อนเป็นสำคัญ
     
  4. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อนุโมทนาด้วยจ้ะ... ที่เป็นคนกล้าที่จะยอมรับในข้อด้อยของตนเอง และที่สำคัญ คิดจะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น

    ขอให้ทำสำเร็จสมดังตั้งใจนะคะ
     
  5. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    hi

    ขอท้าวความที่พี่ๆส่งจดหมายมาเตือนเรื่องวางกำลังใจใหม่
    สรุป
    โดยรวบเกี่ยวกับอุปกิเลสหรืถือตัวตน อวดตน เพ่งโทษโกรธชาวบ้าน
    และเรื่องความอยากได้อภิญญาุ

    ขอแสดงความเห็นหน่อยครับ
    อย่างที่หลวงพ่อบอกต้องตัดสังโยชน์10เพื่อหายโง่จะได้เลิกเกิดซักที
    เราจะเริ่มจากสังโยชน์3คิดอยู่เสมอมีใครไม่ตายมั่ง คนทุกคนเลือกเวลาตายไม่ได้เราตายเช้าสายบ่ายคำ่ ต่อมาทรงศีล5บริสุทธิ์
    เป็นอย่างน้อย และไม่สงสัยพระรัตนตรัยทรงให้ได้ทั้งวัน(ตัวนี้พอจะทรงแรกๆ
    จิตมันคิดปรามาสพระรัตนไตรอยู่ตลอดของผมด่าพระด่าเทพแทบทั้งวันผมก็ขอขมามันทั้งวันเหมือน สักพักเลิกเจอคนบ้ามันก็ถอย) ต่อมาตัดตัวอวิชชา
    สามโลกไม่เอาต้องมาเจอของเลวๆ ของเป็นทุกข์แบบนี้
    ต่อมาทรงพรหมวิหาร4 รักเขาเสมอด้วยตัวเราแผ่ไปสุดประมาณทั้ง3โลก
    เรารักเขาแล้วก็รู้สึกถ้าเขาลำบากเราจะช่วยเขา เขาได้ดีก็ยินดีไม่อิฉฉา
    สุดท้ายสำคัญมากครับถ้าช่วยเขาไม่ไหวจริงๆทำทุกอย่างแล้วก็เชื่อว่ากฎแห่งกรรม
    ช่วยไม่ไหว
    เสริมนิดครับเรื่องธาตุ4 รา่งกายเรามันประกอบด้วย ดินนำ้ลมไฟ ดินเช่นตับไตไส้ปอดเนื้อหนัง น้ำ้เช่นนำ้เลือดนำ้หนอง ไฟคือสิ่งให้ความอบอุนกายเรา ลมลมหายใจเรา เเยกมันออกมาเราก็คิดภาพตามนั่งดูมีอะไรเป็นของดี ของเราบ้างป่าวเนี่ย เลือกเอาตามชอบครับอย่างน้อยควรทรงอารมณ์ตัดสังโยชน์3+ตัดอวิชชาและพรหมวิหาร4อย่างน้อย

    ถ้ามาถึงตอนนี้ยิ่งฝึกมโนมยิทธิคือจับภาพพระ รู้ลมหายใจ3ฐานปลายจมูก อก ท้อง เข้าสมาธิให้ลึกนิ่ง เบา ใสที่สุดถอยมาพิจารนาถ้าพิจารณาและทรงอารมณ์ได้ตลอดวันจะทราบว่ามันแทบไม่เหลือ
    อะไรให้ยึดเลย ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา ยิ่งทำต่อไปกับอรูปณาน8ว่างจะมาเล่าให้ฟังครับ
    มันแทบพูดภาษาคนลำบากว่า ว่าง(ความโง่) ว่างจริงๆ

    ถึงตอนนี้อดยึด ยึดยังไงได้ล่ะ ถือตัวตนมันไม่มี ใช่ไหมครับ
    เรืิองอยากต้องเลิกอย่าโง่อย่างผม(good) อยากนั่นอยากนี่ผมอยากมาเป็นปีเสียเวลาเปล่า กฏแห่งกรรมมันแปลกเลิกอยากมันกลับได้เป็นกรณีพิเศษ ถ้าอ
    ยากอด(*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  6. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    (เฉลย)เรื่องวิชาที่จะทำให้เราอยู่รอดในยุคภัยพิบัติ

    ต้องขอโทษเพื่อนๆสมาชิกด้วยถ้าคำเขียนของผมไม่ถูกกับจริตกับท่านใด.....

    ก่อนอ่านขอให้เพื่อนๆทำสมาธิ.......สัก5นาที(หลับตา).....เมื่อท่านอ่านขอ

    ให้ทำใจเป็นกลาง(คิดว่าฟังนิทาน)นะครับ

    1.เรื่องที่ผมบอกเพื่อนๆว่าให้ทำสมาธิสัก10-20นาที่(ก่อนนอนและหลังตื่น

    นอน)ครั้งแรก24/25/51

    1.2เรื่องทำสมาธิเพิ่มจาก10-20นาที...เพิ่มเป็น30-60นาที(ก่อนนอนและ

    หลังตื่นนอน)2/3/51

    1.3.ตอนทำสมาธิให้ระลึกรู้ว่าวันนี้เราทำดีหรึอทำไม่ดี....แล้วเราจะเลือก

    ปฏิบัติแบบไหน...(ตอบในใจท่าน)

    ผมขอเฉลยข้อ1,2,3,(รวม)ว่าทำไมต้องทำและ........ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับ

    เรื่อง(ภัยพิบัติ)

    เพราะคนที่รอดจากภัยพิบัติมี 3 กลุ่ม

    1.สติวิปาลาศสิ้นเชิง(เป็นบ้า)

    2.สติวิปาลาศชั่วคราว(เดี่ยวดี...เดี่ยวบ้า)

    3.มีสติสัมปะชัยะดี (มีสติตลอด)

    ทำไมสมาธิต้องเกียวข้องด้วย.(เกียวครับ)....จริงๆการทำสมาธิทุกท่านก็มีแนว

    ทางที่ฝึกกับครูบาอาจารย์มาพอสมควร...และฝึกตามจริตของที่ท่านชอบ....

    จริงๆ..การทำสมาธิคือทำจิตให้สงบ....ไม่ให้จิตคิดฟุ้งซาน(คิดไปเรื่อย

    เปลือย)....ที่ผมบอกว่าตอนทำสมาธิให้คิดถึงว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง....ทำ

    ดีหรึอไม่ดี.....(เพราะเป็นพื้นฐานของผู้เริ่มฝึก).....ก็เพื่อให้จิตจดจอกับกับสิ่ง

    ที่เราทำผ่านมาใน(วันนั้น)มาพิจารณาและแยกออกในจิตว่าจะเลือกทำแบบไหน

    1.เช่นถ้าทำสิ่งดีๆทำบุญและช่วยผู้อื่นใจก็มีปิติสูข(เหมือนขึ้นสรรค์)

    2.เช่นถ้าทำไม่ดี....ขโมยของผู้อื่นและว่าผู้อื่นให้เสียใจ..(.ใจเป็นทุกข์)....(เหมือนลงนรก)

    เหมือนที่สุภาษิตว่าสรรค์ในอก....นรกอยู่ในใจ(อยู่ที่ตัวเราเองทั้งหมด)

    ทุกอย่างอยู่ที่จิตตัวเดียวถ้าเราเลือกทำสิ่งดีจิตก็ดี.....และไม่ไปทำชั่ว....(เริ่ม

    เกิดพื้นฐานในจิต...คือมีศีล )

    3.ความสงบ......ทำให้จิตใจเย็นลง...ทำอะไรมีเหตุผล(คือมีสติ)แยกแยะและพิจารณาโดยใช้(ปัญญา)

    เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติทางสายกลางคือ1.กายไม่ทำชั่ว2.วาจาไม่ทำชั่ว3.(จิต)ใจไม่ทำชั่ว


    (ส่วนตัว)การทำสมาธิไม่ต้องมีหลักการเยอะไม่จำเป็นต้องเรียนสูง.....แม้จบ




    ป.1หรึอไม่เรียนหนังสือก็ทำได้(ชาวบ้านในป่าในเขา)....ขอให้เรามีพื้นฐาน

    ของจิตใจ



    ทีทำดีให้กับตัวเองและผู้อื่น....และไม่เลือกฐานะ(รวยหรึอจน)....ไม่แบ่งหญิง

    หรึอชาย...เด็ก,ผู้ใหญ่,คนแก่,...ไม่เลือกเวลา...และสถานที่...ทำได้ตลอด

    เวลา....แม้ลืมตาหรึอหลับตา.....ขอให้เรามีสติ(คือจิตระลึกรู้ในกายว่ายืน,

    เดิน,นั่ง,นอน),ตามดูถ้า(จิตหลุด)ก็ไม่เป็นไรตามดูใหม่..เพราะว่าจิตคนเราซน

    เหมื่อนลิง...ใหม่ๆ..ก็เป็นอย่างนี้.....อย่าท้อ......ไม่ต้องไปหวังอะไร(กับการ

    ทำสมาธิ)...ให้ตามดูจิตสงบก็รู้..ไม่สงบก็รู้....แล้วมาพิจารณาโดยใช้สติ.....

    แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือจิตใจสงบ(ได้จิตดี)

    ก็เหมื่อนเราเรียนดูสภาวะของจิต(ในทางธรรม)ปฏิบัติไปแล้วจะรู้เองครับ

    สรุปการทำสมาธิ....คือการพักจิต....ทำจิตให้สงบ.....แล้วเกิดสติ(จิต)...มา

    พิจารณา....(กาย).....ให้รู้(ในความไม่แน่นอนของสังขารตัวเราเอง)ความ

    แก่,ความเจ็บ,.....ทำให้เกิดปัญญารู้....ว่าสังขารเราไม่ยั่งยืน....และเราต้อง

    ตายแน่....หนีไม่พ้น

    ถ้าเราทำสมาธิตลอด....เมื่อภัยพิบัติมาถึง....เราได้เตรียมตัวไว้แล้ว.....ถ้า

    รอด......เราจัดอยู่กลุ่มคนที่........

    เพื่อนๆต้องการอยู่กลุ่มไหน.....อยู่ที่ตัวท่าน(ตัวเราเอง)

    (จำลองเหตุการภัยพิบัติ)

    2.เรื่องทานอาหาร 3 มือ ให้ลดเหลือ 2 มือ และทานสัตว์บางชนิดให้ทานผัก

    และวิตามินมากๆ

    เหตุผลคือเมื่อเกิดภัยพิบัติมาถึงจะหาอาหารยากมาก และอาหารเป็นพิษ

    แต่ถ้าท่านฝึกไว้หมายความว่าท่านเตรียมพร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า....ยิ่งปัจจุบัน

    ตอนนี้ท่านมีอาหารอุดมสมบรูณ์....แต่ท่านทวนกระแสคือท่านอาหารน้อย....เ

    เป็นการฝึกจิตใจมาก(ลดความอยากของปาก)แต่เป็นผลดีกับตัวเองถ้าเจอ

    สถานะการจริงคือ(ภัยพิบัติ)ท่านจะอดทนได้ดี(พร้อมรับมือ)

    3.การนอนน้อย....ช่วยทำให้เราตื่นตัวตลอด.....เพราะถ้าเกิดเหตุการจริง(ภัย

    พิบัติ)เราจะไม่ได้นอนต้องระวังตัวตลอด(น้ำท่วมและสัตว์มีพิษและที่สำคัญคือคน)

    4.เรื่องการขึ้นรถเมล์และเดินลงรถเมล์ก่อนถึงที่ทำงาน(สำหรับคนนั่งรถเมล์)

    คนขับรถไปทำงานจอดรถและขึ้นลิฟท์ถ้าอยู่ชั้น10ให้กดชั้น8และเดินขึ้นบันไดแทน(คนมีรถ)ทำทุกวัน

    เป็นการเตรียมพร้อมทางร่างกาย(ออกกำลังกายโดยไม่รู้ตัว)เพราะทุกวันนี้คน

    เราจะอ้างไม่มีเวลา....เลยให้ออกกำลังกายทางนี้แทน.......ถ้าเหตุการมาถึง
    (ภัยพิบัติ)อย่างน้อยเราก็มีกำลังกายพร้อม....ที่ต้องวิ่งหนีน้ำและคนปล้น

    ทุกอย่างต้องพร้อมคือ

    1.ด้านจิตใจคือมีสติ(ทำสมาธิ)

    2.ความอดทน(ทานน้อย)

    3.สภาพกาย(นอนน้อย)

    4.พละกำลัง(ออกกำลังกาย)

    คือต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

    แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...ตัวเรา

    บางคำเขียนของผมอาจจะไม่ถูกต้องเพราะเป็นความเชื่อ(ส่วนตัว)จากการที่

    ปฏิบัติมา(ในป่าช้า)ก็คิดว่าเป็นนิทานอ่านสนุกๆนะครับแต่ไม่มีตำรามาจากจิต

    ล้วนๆ...

    ถ้าเห็นว่าดีก็นำไปใช้ได้ครับ.....ถ้าไม่ถูกต้องก็ถือว่าเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังนะ

    ครับ.....สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเห็นสัจธรรมในชีวิตและเห็นดวงตาธรรมในชาติปัจจุบันทุกๆคนด้วยเทอญ...สัวสดีครับ(good)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  7. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ขอบคุณ พี่ชานน กับ พี่ pat ที่สอนนะครับ ของผมยังทำไม่ได้บ่อยๆ คือข้อ 2 และ 4 แหะๆ แต่นอนน้อยๆ นี่ทำจนชินเป็นประจำไปแล้ว
     
  8. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    พี่ๆเพื่อนครับ คนที่เห็นแก่กินเนี่ย ใช้อาหารเรปฏิกูลสัญญาแล้วถ้าเอาไม่อยู่ ทำยังไงต่อดีล่ะ ไม่ไหว่ล่ะอ้วนซะมากมาย หมดเงินไปกับการกินเยอะประมาณ 70/100 กลัวหนีน้ำไม่รอด เพราะ วิ่งไม่ทัน อิๆๆ
     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ดีจังเลยค่ะ... ที่เอาหลักและผลของการปฏิบัติมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง... อนุโมทนาด้วยค่ะ...

    ขอเสริมสักนิดนะคะ... หลวงพ่อฤาษีท่านสอนเอาไว้ ให้ทำง่ายๆ แต่ได้ผลมาก... นอกจากจะพิจารณาถึงความตายแล้ว ขอให้พิจารณาเผื่อไว้เลยค่ะ ว่า สังขารร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เราไม่มีในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ไม่มีในเรา...
    มองให้เห็นตามความเป็นจริงว่า กายหยาบที่เราจับต้องกันได้อยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงที่พักอาศัย ที่เรามายืมใช้อยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงเวลา ถึงอายุขัย ตายลง ณ เวลาใด เราก็ต้องย้ายบ้าน... อทิสมานกาย หรือกายใน / กายทิพย์ ของเราก็ต้องไปแสวงหาบ้านใหม่ ตามผลของกรรมที่เราทำเอาไว้...

    ถ้าทำผิด ทำชั่วไว้มาก ก็ต้องไปอยู่ในที่พักที่เป็นสัตว์นรก รับการลงทัณฑ์ หรืออาจต้องมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย
    ดีขึ้นมาอีกนิด ก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน... ถ้าเคยฆ่าปลาไว้ ก็ต้องมาเกิดเป็นปลาให้เขาทุบหัวไป - แล้วก็ตาย แล้วเกิดเป็นปลาอีก แล้วก็โดนทุบอีก... โดนจนกว่าจะหมดกรรม
    ถ้าจิตยังพอมีดีอยู่บ้างก็อาจได้เกิดมาเป็นคน... แต่ก็อาจได้รับเศษของกรรม อีกนิดๆ หน่อยๆ เช่น อาจต้องเป็นคนพิกลพิการ โดนกลั่นแกล้งสารพัด มีอุปสรรคนับไม่ถ้วน...

    แต่ถ้าเคยทำทานเป็นปกติ (อย่าทำจนตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนนะ)... เกิดมาอีกทีก็จะมีกินมีใช้ ไม่ขัดสนเงินทอง หรือถ้าต้องขัดสนจริงๆ ก็จะได้รับการช่วยเหลือ ไม่ทำให้เดือดร้อนแสนสาหัสนัก...

    ถ้ามีศีล ก็ยิ่งดี ก็ได้ที่พักพิงที่สวยๆ งามๆ หล่อๆ มีคนนับหน้าถือตา มีคนเชื่อฟัง ยอมรับฟังในสิ่งที่เราพูด เราเสนอ

    ยิ่งถ้าปฏิบัติธรรมภาวนาด้วยแล้ว จะเกิดมามีปัญญาดี ความจำเป็นเลิศเสริมเข้าไปอีก...

    หรือถ้าก่อนตาย จิตจับอยู่ในกุศลผลบุญที่เคยทำแล้ว... ก็สามารถเลือกที่จะไปอยู่ในปราสาท ในวิมานทิพย์ ในสวรรค์ชั้นฟ้าได้ตามชอบใจ

    ถ้าจิตก่อนตายทรงอารมณ์ฌานได้ เช่นกำลังภาวนาพุท-โธ พุท-โธ พุท-โธ
    พร้อมจับลมหายใจเข้า - ออก ไปด้วย ก็จะไปอยู่เป็นพรหมได้สบายๆ...

    แต่ถ้าเบื่อแล้ว... ทุกข์พอแล้ว ไม่อยากที่จะต้องมาเผชิญกรรม ต้องมาเจอการกระทบกระทั่งจากคนรอบข้าง ต้องมาพลัดพรากจากคนรัก จากของรัก ไม่อยากที่จะต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วย ทนทุกข์ทรมาณกับสังขารร่างกายที่ผุๆ ผังๆนี้อีก ก็ต้องอธิษฐานว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ ดวงจิตออกจากร่างเมื่อไหร่ ขอให้ดวงจิตของเราพุ่งตรงสู่พระนิพพานในทันทีด้วยเถิด

    นี่แหละ... ความหมายของคำว่า สังขารร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา...

    ในโลกมนุษย์นี้ ที่พักที่อาศัย ตึกราบ้านช่อง จะหรูหรา โอ่อ่า หรือซอมซ่อแค่ไหน เราสามารถหาซื้อได้ด้วยกำลังของเงิน (ซึ่งก็เกิดจากกำลังของทานอยู่ดีนั่นแหละ)...
    แต่ในโลกทิพย์ ที่พักอาศัยของเราได้มาจากการใช้กำลังของกุศลผลบุญบันดาลให้เกิดขึ้นมีขึ้น...

    ลองเลือกกันดูนะคะ... คุณอยากมีบ้านแบบไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ... คุณชานนอธิบายได้ชัดเจน แจ่มแจ้งมากค่ะ... แฝงไว้ซึ่งความปรารถนาดีต่อผู้อื่น มีทั้งความจริงใจ และจริงจังให้เพื่อนพ้อง...

    เรื่องแบบนี้ไม่ใช่นิทานหรอกค่ะ... เป็นสิ่งดีๆ ที่มอบให้กัน...

    ขอนำข้อ 4 - กำลังกาย ไปปรับใช้ค่ะ เพราะยังพร่องอยู่มากเลย...

    ขอบคุณค่ะ
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    แสดงว่า เวลาที่ใช้อาหาเรแล้ว จิตไม่ได้นึกน้อมให้เห็นภาพตามความเป็นจริงของอาหารไปด้วย... ใช้เพียงแค่สัญญาความจำเท่านั้น...
    ถ้านึกน้อมให้เห็นภาพตามไปด้วย... จะถึงขั้นพะอืดพะอม ไม่กล้า และไม่อยากที่จะกินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเลย... (ประสบการณ์ตรง เคยเป็นมาแล้วค่ะ)...

    ตามความเป็นจริง อาหารที่เราเลือกแล้ว เฟ้นหาแล้วว่า เลิศที่สุด อร่อยที่สุด ถูกปากที่สุด (ณ ขณะจิตนั้นๆ)... เมื่อนำมาวางทิ้งไว้โดยไม่กิน มันจะเริ่มเซ็ง ไม่สด ไม่น่ากินเหมือนตอนที่ทำ หรือซื้อมาใหม่ๆ

    ถ้ายังไม่กินอีก ก็จะเริ่มมีรสชาติแปลกๆ สีสันเริ่มเพี้ยนเป็นคล้ำลงบ้าง เขียวหรือขาวขึ้นบ้างจากการที่มีเชื้อราเกิดขึ้น... แถมกลิ่นก็เริ่มฉุน เริ่มเหม็นเน่า จากน้อยๆ ก็มากขึ้นๆ จนสุดจะทน...

    ถ้าทิ้งไว้นานอีกสักหน่อย... ก็จะเริ่มเห็นหนอนสีขาวๆ ยุ่บยั่บๆ ยั้วเยี้ย ไต่เต็มไปหมด... ถ้าถึงขั้นนี้ยังมีอารมณ์อยากที่จะกินอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่...

    ลองหยิบอาหารที่มีหนอนยั้วเยี้ยนี้ขึ้นมาด้วยมือเปล่า... จะมีเมือกเหนียวๆ เหนอะหนะๆ ไหลย้อยจากอาหาร ผ่านมือ ลงไปสู่จาน แถมอาหารนั้นก็เละเทะไม่มีชิ้นดี ยิ่งกลิ่นด้วยแล้ว... เหม็นจนต้องวิ่งไปอ๊อก ออกที่ในห้องน้ำ แถมกลิ่นก็อาจเหม็นติดมือไปอีกหลายวัน... หนอนหรือก็พยายามไต่ขึ้นไต่ลงอยู่บนมือของเรา...

    ดังนั้นเมื่อจิตเริ่มรับรู้ถึงสภาวะของอาหารที่จะกินตามความเป็นจริงแล้ว... ความอยากอาหารจะลดลงเรื่อยๆ ตามความถี่ความบ่อย ของการพิจารณา และน้อมนำให้เห็นภาพตามไปด้วย...

    เมื่อทำได้แบบนี้ จนจิตเริ่มนึกขยาดไม่อยากที่จะกิน ที่จะแตะต้องอาหารแล้ว... ก็ให้พิจารณาแบบใหม่สำทับเข้าไปว่า...
    อย่างไรเสีย เราก็ยังต้องอาศัยอาหารนี้ในการดำรงซึ่งธาตุขันธ์ของเรา จนกว่าจะถึงอายุขัยของเรา... ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะทานอาหาร เพียงเพื่อดำรงธาตุขันธ์ของเราไว้ เพื่อยังประโยชน์แก่ตัวเอง และผู้อื่น เราจะไม่หลงยึด หลงติดอยู่ใน รูปของอาหารที่ชวนให่น่ากิน ไม่ติดในรสชาติความอร่อยใดๆ ไม่หลงในกลิ่นหอมจนชวนน้ำลายสออีกต่อไป...

    เมื่อไหร่ก็ตาม... ที่ความอยากในอาหารมันกำเริบเสิบสานขึ้นมา... ก็นำวิธีแรกข้างบนมาพิจารณา

    แต่ถ้าพิจารณาไปแล้วก็อย่าลืมนำคำอธิษฐานข้างล่างมาเป็นตัวช่วยกำกับ...

    มิเช่นนั้นแล้ว... ท่านจะกลายเป็นซาก เหมือนกับอาหารที่ท่านกำลังพิจารณาอยู่
     
  12. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613

    ไม่ใช่พี่หนูจ้า ถ้าใช่ละก็แจ๋วเลย จะได้ไปเรียนธรรมกับสมเด็จท่าน หรือหลวงพ่อที่ข้างบนดีก่า ไม่งั้นก็ไปนอนที่วิมานให้สบาย

    พี่เค้าก็บอกไว้แค่ว่า หลวงพ่อนึกถึงลมที่กระทบจมูก ภาวนานะมะพะทะ นะมะ-หายใจเข้า พะทะ-หายใจออก แล้วพ่อก็เรียกกายเขาให้ออกไป เค้าก็งงนะว่าทำไมมันออกไปง่ายจัง
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันนี้จะขอแนะนำเกี่ยวกับด้านร่างกายบ้างครับ เนื่องจากว่าทุกๆคนควรจะพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผมจึงจะขอเสนอวิธีการใช้พลังจิตมาปรับใช้กับร่างกาย

    -แนะนำให้ฝึกตื่นนอนเช้าเพื่อมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และให้จับลมสบาย พร้อมกับอธิษฐานขอให้พลังแห่งสัมมาทิฏฐิ พลังแห่งพระนิพพาน พลังแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยสงเคาะห์ ฟอกทั้งกายหยาบและกายทิพย์ให้สะอาดทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บ มิจฉาทิฏฐิ และกิเลสต่างๆ หลังจากนั้นให้จินตนาการว่ามีพลังเป็นลำแสงเป็นเพชรใสประกายพรึก ไหลเข้ามาตามลมหายใจ และชำระล้างร่างกายของเรา ให้จินตนาการด้วยว่าร่างกายหยาบของเรา กลายเป็นกายเพชรแบบกายทิพย์ เป็นการฟอกอวัยวะต่างๆ ให้เดินเล่นสบายๆ พร้อมกับทำตามไปเรื่อยๆ แล้วแต่ความเหมาะสมแก่เวลา

    -ให้เราอัดลมและล้างลมหยาบ ตอนเช้าๆ เพราะว่าอากาศบริสุทธิ์
    หายใจเข้า กักลมเอาไว้ แล้วภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปที่ท้อง ระยเวลาให้แล้วแต่บุคคล จากนั้น หายใจออก ทำซ้ำประมาณ 16 ครั้ง

    -ให้จินตนาการและทำความเชื่อว่า ร่างกายนี้เป็นร่างกายที่มีความกำยำแข็งแรง สามารถที่จะวิ่งได้เป้นระยะเวลา และระยะทางที่ยาวนาน โดยไม่เหนื่อยแม้แต่นิดเดียว สามารถยกวัตถุที่มีความหนักได้โดยไม่เหนื่อยอะไร ปอดของเราสามารถหายใจได้มีประสิทธิภาพมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า และอื่นๆ
    จินตนาการเห้นว่าร่างกายเราแข็งแรงด้วยก็ได้
    ขั้นตอนนี้มีผลต่อการปรับร่างกาย เพราะว่าใช้สมาธิที่เป็นฌาณ จึงส่งผลต่อร่างกาย

    -ภายในระยะเวลาไม่กี่วันจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยสามารถจะวิ่งออกกำลังกายได้นานขึ้น ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิม

    -เราสามารถออกกำลังกายท่าต่างๆ โดยจับลมไปด้วย พร้อมใช้จินตนาการประกอบ เช่นเห็นว่ากล้ามเนื้อตรงบริเวณนั้น เป็นมัดๆ

    -ให้เราอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยมาช่วยทุกครั้ง และอธิษฐานด้วยว่าเราหาได้มีความยึดติดในร่างกายนี้ไม่ แต่เราต้องการให้ร่างกายมีความแข็งแรงเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และพระพุทธศาสนาในอนาคต

    -จับลมสบายสามารถช่วยให้เหนื่อยน้อยกว่าคนปกติมากๆ ที่ร.ด. เพื่อนๆของผมเหนื่อยกันแทบแย่ แต่ผมยังยิ้มได้อยู่ บางคนหาว่าผมแอบอู้ แหะๆเป็นงั้นไป

    วิธีนี้พี่คณานันท์เคยแนะนำในกระทู้ เมื่อนานมาแล้ว จึงนำกลับมาให้อ่านกัน
    แต่เป็นเวอชั่นที่ผมเขียนเอง อาจจะไม่มีความแม่นยำเท่าอันเดิม แนะนำให้ลองหามาอ้างอิงดูครับ

    คิดว่าอาจจะมีการจัดฝึกร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมกันด้วย เพราะว่าจำเป็นจริงๆ สำหรับการอยู่รอด

    หากผิดพลาดประการใด ขอกราบขอขมา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  14. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807

    ขอบคุณครับน้อง Xorce พอดีเลย ตอนนี้กลับไปฝึกดาบ พบว่าร่างกายไม่มีกำลังเหมือนก่อน จะลองใช้วิธีที่แนะนำดูครับ ซักสัปดาห์จะกลับมารายงานผล
     
  15. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    "คนไม่สนใจธรรม ธรรมก็ไม่เข้าถึงใจคน จึงกลายเป็นคนก็สักว่าคน ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมาก และแสดงธรรมให้ฟังทั้งพระไตรปิฏก จึงเป็นเหมือนเทน้ำใส่หลังหมา มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคน เหมือนน้ำไม่มีความหมายบนหลังหมา ฉันนั้น"

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  16. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    จากธรรมะข้างต้น

    ผมก็มาสนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง

    พี่ท่านหนึ่งก็ถามว่า

    กัลยาณมิตร : แล้ว เทยังไง ให้ หมา มันรับไว้ทั้งหมด ^^ ?
    Nakamura : อันนี้ต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด
    Nakamura : จะสอนเขายังไงละให้รับได้
    Nakamura : บัวมี 4 เหล่า
    กัลยาณมิตร : แล้ว ถ้า เป็น ปทปรมะ จะไปสอนยังไง ^^
    Nakamura : ถ้าเราไปสอนเขา เราก็เก่งเกินพระพุทธเจ้า ^^
    Nakamura : เราอยากทำตัวให้เหนือพระพุทธเจ้าไหมละ ?
    Nakamura : ฉะนั้นเราก็ต้องเลือกบัว
    Nakamura : ให้เวลาคอยพัฒนาจิตใจเขาเหล่านั้นให้บัวค่อยๆโผล่ขึ้นมา แล้วบานออก แล้วถึงเวลาของเรา
     
  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อย่ากลัวดี... หลวงพ่อเคยสอนไว้... คนที่กลัวดี จะไม่ได้ดี...
    สิ่งที่คุณ bnbk เล่ามาให้ฟัง... ขออนุญาตตอบในส่วนที่ธรเองเข้าใจแล้วกันค่ะ...

    หลวงพ่อท่านมาโปรด... ท่านมาแนะนำวิชชาให้... เพื่อนคุณ bnbk ท่านนี้โชคดีมากเลยนะคะ... อย่าให้มันเป็นเพียงแค่ความฝันนะคะ...

    เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว... นำสิ่งที่หลวงพ่อท่านแนะนำมาปฏิบัติอย่างจริงๆ จังๆ อย่าแค่ "ลองทำดู" ...

    ก่อนจะทำ ขอแนะนำให้
    - จับลมที่ปลายจมูก ทั้งเข้า และ ออก จนจิตสบาย (ยังไม่ต้องภาวนา นะมะ พะทะ)

    - ต่อจากนั้นให้น้อมนึกถึงพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมา มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... นึกอธิษฐานว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมสักการะบูชาคุณแห่งองค์พระรัตนตรัย ขอน้อมนำมาเป็นที่พึ่งสูงสุดของข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว

    - เสร็จแล้วนึกน้อมนำกุศลผลบุญทั้งหมดที่เคยได้สร้างไว้ตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ ขอให้มารวมตัวกันเป็นดอกบัวแก้ว... นำดอกบัวแก้วนั้น น้อมถวายแทบเบื้องพระบาทแห่งองค์บรมครูทุกๆ พระองค์ องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน (ใช้วิธีการนึกเอานะคะ จะนึกให้เห็นภาพหรือไม่เห็นก็ได้)

    - เมื่อทำเสร็จแล้ว ตั้งจิตระลึกถึงศีลว่า ณ ขณะจิตนี้ข้าพเจ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์

    - แล้วอธิษฐานขอขมาพระรัตนตรัยว่า... หากข้าพระพุทธเจ้าเคยคิดประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัยไป ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี หรือด้วยมโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระชินสีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    - เสร็จแล้วนึกให้เห็นกุศลผลบุญที่เราเคยทำไว้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต ให้มารวมตัวกันที่ดวงจิตของเรานึกว่าดวงจิตของเราสว่างสดใส เป็นแก้วระยิบระยับ แล้วอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า... ข้าพเจ้าขอน้อมแผ่กุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ อีกทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน จากดวงจิตของข้าฯ ไปยังเหล่าสรรพสัตว์ สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เจ้ากรรมนายเวร อีกทั้งดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้ โดยไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาในส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับความสุข ความเจริญเฉกเช่นเดียวกับที่ข้าฯ จะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    - สิ่งสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ คือการพิจารณาตัดขันธ์ 5 (เพราะยิ่งตัดขันธ์ 5 ให้ละเอียด ลึกซึ้ง ได้มากเท่าไหร่ ความแจ่มใสของดวงจิต ของวิชชามโนมยิทธิ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น)...

    - ต่อไป คือ การ จับลมหายใจที่ปลายจมูกอีกครั้ง (สำหรับท่านอื่นๆ ที่เคยจับลมที่ฐานอื่น... ให้จับตามที่ตัวเองถนัดได้เลยค่ะ) แล้วภาวนา... หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะทะ... จับลมภาวนาไปจนกว่าจะพอใจ

    - เมื่อจะเลิกจากกรรมฐาน ให้นึกกราบพระบาทองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านแล้วค่อยๆ หายใจเข้า - ออก ลึกๆ 3 ครั้ง ครั้งแรก ภาวนา พุท - โธ... ครั้งที่ 2 ธัม - โม... ครั้งที่ 3 สัง - โฆ


    ขอให้ทุกๆ ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันด้วยเทอญ
     
  18. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอบคุณพี่ธรครับ พี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ทุกคน จะเอาไปปฏิบัติดูครับ ขออนุโมทนากับเพื่อนๆพี่ๆในการปฏิบัติธรรมครับ


    __________________________________________
    ขอยึดมั่นในธรรมอันประเสริฐ ธรรมก่อเกิดปัญญาอัชฌาสัย
    นำมาซึ่งความบริสุทธฺแห่งจิตใจ กิเลสไซร้สูญสิ้นถึงนิพพาน
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    เมื่อวานนี้ ได้แนะนำข้อธรรมะ เรื่องการพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ซึ่งเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง จากทั้งหมด 40 กองด้วยกัน...

    วันนี้จะมาต่อเรื่องอาหาเรฯ ตอนที่ 2 : ซึ่งความแตกต่างระหว่างเนื้อหาของเมื่อวานนี้ กับวันนี้ คือ
    - เมื่อวานอาหารอยู่นอกกาย และมีการเน่าเปื่อย เสื่อมสลาย ไปตามกาลเวลา เป็นไปตามกฎของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน...
    - ส่วนวันนี้ จะมาพาทุกๆ ท่านท่องเที่ยวไปตามระบบทางเดินอาหารภายในร่างกายของตัวเราเอง ซึ่งเข้าทางประตูด้านบน - และออกทางประตูด้านล่างค่ะ...

    หลังจากที่ทำความรู้จักกับกรรมฐานกองนี้แล้ว...

    ธรจะค่อยๆ นำ คำสอนหลายๆ เรื่อง - เริ่มตั้งแต่พื้นฐาน - ที่อาจารย์คณานันท์เคยแนะนำไปแล้วตั้งแต่หน้าแรกๆ มาปัดฝุ่นกันเสียใหม่ในสไตล์ของธรเอง ;) ... และคงจะมีการเพิ่มเติมอะไรต่อมิอะไรกันไปเรื่อยๆ ตามแต่วาระ และโอกาสจะชักนำให้เป็นไปนะคะ...

    ดังนั้นถ้าท่านใดมีข้อธรรมะใดที่อยากจะพูดคุย สอบถาม หรือแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนคติกัน (ถ้าไม่เกินภูมิธรรม ความรู้ความสามารถที่พระท่านเมตตาสงเคราะห์ให้ด้วยค่ะ) ก็เชิญเลยนะคะ แต่ขอให้เป็นไปในแนวทางของสัมมาทิฐิด้วยนะคะ...

    เอาล่ะค่ะ... แนะนำตัวกันเป็นทางการแล้ว... เรามาเริ่มเนื้อหากันเลยนะคะ...

    อาหาเรปฏิกูลสัญญา (ตอนที่ 2 : อาหารภายในร่างกาย)

    1. เริ่มจากจับลมสบาย โดยการจับลม 1 ฐาน, 3 ฐาน หรือจับลมเป็นสายพลิ้วไหว

    2. ระลึกนึกถึงคุณขององค์พระรัตนตรัย โดยอธิษฐานว่า...
    "ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมระลึกถึง และก้มกราบซึ่งพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ และครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมามีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษี เป็นที่สุด
    ข้าฯ ขอน้อมอาราธนาพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งสูงสุด ที่พึ่งอื่นใดที่จะประเสริฐไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"

    3. ต่อจากนั้นตั้งจิตอยู่ในคุณแห่งศีล อธิษฐานว่า...
    "ณ ขณะจิตนี้ ข้าฯ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักทรัพย์ใคร ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้ ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย และเล่นการพนัน... ข้าฯ มีศีล 5 (ศีล 8) สมบูรณ์บริบูรณ์...

    4. เมื่อเสร็จแล้ว เรามากราบขอขมาองค์พระรัตนตรัยกันค่ะ...
    "ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัยไป ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี ด้วยมโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บนมศาสดาได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    5. หลังจากนั้นให้นึกถึงคุณงามความดีทั้งหลายที่เราเคยปฏิบัติมาให้มารวมตัวกัน แล้วจึงทำการอุทิศส่วนกุศล และแผ่เมตตาอัปปมาณฌาน (อ่านว่า อับ-ปะ-มา-นะ-ชาน ค่ะ) ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณ...
    "ข้าฯ ขอตั้งจิตระลึกถึง คุณงามความดี กุศลผลบุญทั้งหลายที่ข้าฯ ได้เคยกระทำมาดีแล้วตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ ที่กระทำในปัจจุบันนี้ และที่จะกระทำต่อไปในอนาคต... ขอให้กุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านั้นจงมารวมตัวกันกับ เมตตา กรุณา มุทิต่ อุเบกขา และอภัยทาน ณ ดวงจิตของข้าฯ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด"
    เมื่ออธิษฐานแล้วให้นึกน้อมเห็นดวงจิตของตัวเองสว่างไสว เป็นประกายระยิบระยับ พร้อมมีความชุ่มเย็ยแห่งพรหมวิหารสี่เต็มเปี่ยม... (ยิ้มให้ตัวเองในดวงจิตก็ยิ่งดีค่ะ)... เสร็จแล้วให้นึกเห็นแสงสว่างแห่งความเมตตานั้นแผ่ออกไปจากดวงจิตของเรา ขยายขอบเขตออกไปให้กว้างไกลไม่มีประมาณ พร้อมอธิษฐานว่า...
    "ข้าฯ ขอน้อมอุทิศ และแผ่ซึ่งกุศลผลบุญ อีกทั้งความปรารถนาดี พรหมวิหาร 4 และอภัยทานนี้ให้แก่เหล่าพรหม-เทพเทวา เทวดาอารักษ์ เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ และเหล่าดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนา และได้รับซึ่งกุศลผลบุญ อีกทั้งความปรารถนาดีนี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าฯ จะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    (การอธิษฐานทั้ง 5 ข้อข้างต้นนี้ - และจะมีเพิ่มอีกเล็กน้อย แล้วแต่กรณี - อาจทำให้รู้สึกว่า... แหม! ยาวยืดยาด จังเลย... แต่ขอให้ปฏิบัติทุกครั้ง และทุกวันนะคะ เพราะทุกครั้งที่เราอธิษฐาน ดวงจิตของเราเองจะยิ่งแนบแน่นกับองค์พระรัตนตรัย ศีล พรหมวิหารสี่ และกรรมฐาน ซึ่งเป็นบาทฐานเริ่มแรกของการเป็นคนดี... และยังจะน้อมนำให้ผลของการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ...)

    6. เสร็จแล้วเรามาพิจารณาอาหาเรฯ กันเลยค่ะ... ในขณะที่พิจารณานั้น ขอให้ทุกท่านนึกเห็นภาพตามไปด้วยนะคะ...
    เมื่อจะเริ่มทานอาหาร... ให้นั่งนึกเห็นอาหารที่อยูตรงหน้าตามความเป็นจริงว่า...
    - อาหารเหล่านี้ล้วนประกอบไปด้วยซากศพของพืช และสัตว์ทั้งสิ้น
    - เมื่อตักเข้าปากแล้ว โดนบดทับด้วยฟันจนแหลกละเอียด คลุกเคล้าไปกับน้ำลาย จนหาความสวยงาม น่าดูน่ากินไม่ได้... ถ้าเราคายอาหารนี้ออกมาตอนนี้ เราคงไม่กล้าตักกลับเข้าไปกินอีกเป็นแน่ เพราะมีแต่สภาพน่ารังเกียจ สกปรกโสโครก น่าสะอิดสะเอียน...
    - หลังจากอยู่ในปากสักระยะ... อาหารเหล่านั้นจะถูกกลืนและโดนบีบรัดตัวให้ค่อยๆ ไหลลงไปตามหลอดอาหาร ในขณะที่เคลื่อนตัวผ่านไปนั้นก็จะทิ้งรอยเมือกเหนียวๆ ไหลเลอะเป็นทาง ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง... ยิ่งถ้าดื่มน้ำตามเข้าไป ก็จะยิ่งมีสภาพเป็นอาเจียนดีๆ นี่เอง...
    - เดินทางผ่านหลอดอาหารมาได้สักพัก อาหารก็จะถูกคลุกเคล้ากับน้ำกรดในกระเพราะอาหาร... ซึ่งในกระเพาะนี้แทบจะไม่มีการดูดซึมสารอาหารสักเท่าไหร่เลย มีแต่การคลุกเคล้าเป็นหลัก... ตอนนี้สภาพของอาหารที่น่ากิน ไม่มีเหลือให้เห็นอีกแล้ว
    - เมื่อได้ที่... อาหารจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ต่อไป ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทาง สั้น - ยาว ต่างกันตามความหนัก - เบาของธาตุ และกระบวนการย่อยอาหารของแต่ละท่าน...
    ที่ลำไส้เล็กนี้ สารอาหารจะค่อยๆ ถูกดูดซึมไป และมีการเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ... ลำไส้มีการบีบ - คลายตัวเป็นระยะๆ อาหารจึงค่อยๆ เริ่มแยกตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน และเคลื่อนไปตามจังหวะของการบีบและคลายตัวนั้น... ตอนนี้ อาหารที่ถูกคลุกเคล้าผสมผเสปนเปกัน เริ่มถูกจุลินทรีย์น้อยใหญ่ย่อยสลายไปตลอดทาง ... ทิ้งไว้ซึ่งเมือกสีคล้ำๆ เหนียวๆ เละๆ เขละขละ แถมผลของการหมักหมมและย่อยสลาย ก็จะทำให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ตามไปด้วย... กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการในลำไส้เล็กก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่...
    - หลุดออกมาจากลำไส้เล็ก... อาหารซึ่งตอนนี้เรียกว่าเป็น ของโสโครก หรือที่เรารู้จักกันดีว่า อุจจาระ ได้เต็มปากเต็มคำ ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านลำไส้ใหญ่ไปช้าๆ (ถ้าใครธาตุหนัก อุจจาระอยู่ในลำไส้ใหญ่นานๆ อุจจาระก็จะยิ่งแข็งตัว เพราะโดนลำไส้ดูดเอาน้ำออกไปมากขึ้นๆ... ตอนนี้กลิ่นเหม็นของของเสียก็สุดจะบรรยาย ลองนึกภาพซากสัตว์ที่ที่ตายลงและเหม็นเน่าสุดๆ จนกลิ่นฉุนติดจมูกดูก็ได้...
    ถ้าถึงเวลาที่ต้องถ่ายออก... แต่ไม่ถ่าย ... ของเสียทั้งหลายจะถูกดูดกลับไปตามกระแสเลือด ไหลเวียนกลับไปทั่วร่าง... ทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งของการที่มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก เหม็นเป็นที่น่ารังเกียจ... นอกจากนั้นยังนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บหลายๆ ประการ เพราะสิ่งที่ถูกดูดกลับเข้าร่างกายไปนั้น มีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่เต็มไปหมด...
    - เมื่อหลุดออกมาเป็นก้อน คงไม่มีมนุษย์ธรรมดาหน้าไหน (ที่จิตใจปกติดี) นึกอยากจะนำเอา ก้อนขี้ (ขออภัยค่ะ) นั้น กลับมายัดใส่ปากกินเป็นแน่...

    7. เมื่อเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้ว ขอให้อธิษฐานว่า...
    "ข้าฯ ได้เห็นสภาพตามความเป็นจริงของสังขารร่างกายนี้ สมดังพระวัจนะแล้ว... สังขารร่างกายนี้เป็นถุงอุจจาระ ปัสสาวะที่เคลื่อนที่ได้ มีความสกปรก เน่าเหม็น น่ารังเกียจ และเป็นรังของโรค... ข้าฯ ไม่ปรารถนาซึ่งการเกิดมาร่วมกับสังขารร่างกายที่น่าสกปรกสะอิดสะเอียนนี้อีกแล้ว จุดเดียวที่ข้าฯ ปรารถนา คือ พระนิพพาน"


    8. แล้วอย่าลืมอธิษฐานว่า ...
    "อย่างไรเสีย เราก็ยังต้องอาศัยอาหารนี้ในการดำรงซึ่งธาตุขันธ์ของเรา จนกว่าจะถึงอายุขัยของเรา... ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะทานอาหาร เพียงเพื่อดำรงธาตุขันธ์ของเราไว้ เพื่อยังประโยชน์แก่ตัวเอง และผู้อื่น เราจะไม่หลงยึด หลงติดอยู่ใน รูปของอาหารที่ชวนให่น่ากิน ไม่ติดในรสชาติความอร่อยใดๆ ไม่หลงในกลิ่นหอมจนชวนน้ำลายสออีกต่อไป..."

    9. เสร็จแล้วนึกแยกอทิสมานกายของตนเองออก และให้อทิสมานกายเหล่านั้นน้อมกราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ และครูบาอาจารย์ทั้งหลายโดยถ้วนทั่วกัน...
    แล้วค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ โดยการ... ค่อยๆ หายใจ เข้า - ออก ช้าๆ สามครั้ง ครั้งที่ 1 ภาวนา พุท - โธ ครั้งที่ 2 ธัม - โม ครั้งที่ 3 สัง - โฆ

    ใครปฏิบัติได้อย่างไร ช่วยมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังบ้างนะคะ...

    อนุโมทนากับผลการปฏิบัติของทุกๆ ท่าน...
    และขอให้ทุกๆ ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2008
  20. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    เสริมให้นิดนึง จะได้อานิสงค์ยิ่งๆขึ้นไป

    ก่อนทานอาหารให้สัพเพแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้อาหารมื้อนี้ สายใยอาหารทั้งหมดทั้งมวล บุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาหารมื้อนี้ ก่อน ตามวิํัธีของแต่ละท่าน (พรหมวิหาร4)

    เสร็จแล้วตั้งจิตยกจิตขึ้นสู่พระนิิพพาน ขอถวายอาหารมื้อนี้เป็นพุทธบูชา _/\_ (พุทธานุสสติกรรมฐาน+อุปสมานุสสติกรรมฐาน+จาคานุสสติกรรมฐาน)
     

แชร์หน้านี้

Loading...